รีเล็กซ์ โซลูชั่น (RELEX Solutions) ซอฟต์แวร์ค้าปลีกจากฟินแลนด์ เล็งเปิดสำนักงานในไทย ขยายธุรกิจหลัง ได้ “แม็คโคร” เป็นลูกค้ารายแรก เดินหน้าพันธกิจช่วยธุรกิจค้าปลีกไทย สู่ Digital Retail
บริษัทซอฟต์แวร์สัญชาติฟินแลนด์อายุ 15 ปี ก่อตั้งด้วยวิศวกร 3 คน ที่โฟกัสการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่ออุตสาหกรรมค้าปลีก จนปัจจุบันมีสำนักงานกว่า 20 แห่ง มีตลาดมากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก มีพนักงาน 1,500 คน ราว 400 คนเป็นนักวิจัยที่โฟกัสการทำวิจัยและพัฒนา เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้าที่เป็นธุรกิจค้าปลีกค้าส่งรายใหญ่ 400 รายทั่วโลก
รีเล็กซ์ โซลูชั่น ขยายเข้ามาทำตลาดในเอเชียแปซิฟิกเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา มีธุรกิจในออสเตรเลีย ฮ่องกง สิงคโปร์ และฟิลิปินส์ และมีสำนักงานในทุกประเทศยกเว้นที่ฟิลิปินส์ บริษัทมีแผนจะเข้ามาตั้งสำนักงานในประเทศไทยปี 2566 หลังจากปีนี้ 2565 ได้เข้ามาทำตลาดอย่างเป็นทางการ กับลูกค้ารายแรกในประเทศไทย คือ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ปัจจุบันมีพนักงานในประเทศไทยแล้ว 10 คน มีแผนจะเพิ่มเป็น 30-40 คน
รีเล็กซ์ โซลูชั่น ถือเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ที่มีอัตราการเติบโตสูง คือ เติบโตเฉลี่ยปีละ 50% ต่อเนื่อง 5 ปีที่ผ่านมา มีรายได้รวมในปี 2564 ประมาณ 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มี 3 ตลาดสำคัญ คือ ยุโรป อเมริกา และเอเชีย โดยเอเชียสร้างรายได้คิดเป็นสัดส่วนเพียง 6.5% ยังมีโอกาสทางการตลาดในภูมิภาคนี้ให้เติบโตได้อีกมาก
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา รีเล็กซ์ โซลูชั่น ได้รับการลงทุนครั้งใหญ่จำนวน 500 ล้านยูโร จาก Blackstone Growth (BXG) โดยจะนำเงินลงทุนนี้มาใช้ในการขยายตลาดโดยเฉพาะในเอเชียแปซิฟิก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นตลาดสำคัญ มีอัตราการเติบโตสูง และใช้เพื่อลงทุนในงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี
สเตฟาโน สกันเดลลี รองประธานอาวุโส บริษัท รีเล็กซ์ โซลูชันส์ (RELEX Solutions) กล่าวกับ The Story Thailand ว่า 3 ปีต่อจากนี้ (2566 – 2568) คือ 3 ปีที่บริษัทจะโฟกัสในการขยายธุรกิจในตลาดเอเชียแปซิฟิก โดยมีตลาดเป้าหมาย คือ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประเทศไทย
“ตลาดในยุโรปยังคงเติบโต ในเอเชียเราเห็นถึงการเติบโต เรากำลังเข้ามาทำตลาดในจีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่มาก รวมถึงญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตลาดรีเทลที่ใหญ่มาก เราโฟกัสที่ตลาดรีเทล” สเตฟาโน สกันเดลลี กล่าว
ปัจจัยที่ทำให้บริษัทเติบโตได้ปีละ 50% คือ เทคโนโลยี เป็นผลมาจากการทุ่มเทงบลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา ทำให้แพลตฟอร์มของรีเล็กซ์ โซลูชั่น เป็นโซลูชันครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำในระบบซัพพลายเชนสำหรับธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง อาหารและเครื่องดื่ม อีคอมเมิร์ซ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยี และอื่น ๆ
บริษัทใช้เงิน 25% ของรายได้ในแต่ละปีทุ่มลงในงานวิจัยและพัฒนา ซึ่งถือเป็นเม็ดเงินที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของงบลงทุนด้าน R&D ของตลาดที่อยู่ที่ 10-15% ทำให้บริษัททีแพลตฟอร์มที่ครบและฉลาดที่จะช่วยให้ลูกค้าแข่งขันและเติบโตได้
การเข้ามาทำตลาดในแต่ละประเทศ บริษัทจะใช้วิธีเป็นพันธมิตรในท้องถิ่นควบคู่ไปกับการทำงานกับพันธมิตรในระดับโลก 2 ราย คือ Accenture และ Logic Information Systems
รีเล็กซ์ โซลูชั่น ได้เปิดตลาดประเทศไทยผ่านลูกค้ารายแรก คือ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) หรือ MAKRO ค้าปลีกรายใหญ่รายหนึ่งของประเทศไทย บริษัทตั้งเป้าว่าจะมีลูกค้าในประเทศไทยราว 5-7 รายใน 1 ปีของการเข้ามาทำตลาดอย่างเต็มที่
“แพลตฟอร์มสามารถขยายได้ รองรับระบบให้กับแม็คโคร รวมถึงองค์กรขนาดใหญ่ได้ เป็นคลาวด์เบส สามารถรองรับการทำออมนิแชนแนลที่ซับซ้อนได้ เป็นระบบที่จัดการของสดได้ดี (optimized fresh) มีลูกค้ามากกว่า 70 รายที่ใช้ระบบนี้” สเตฟาโน สกันเดลลี กล่าว
พอล ฮาววี ประธานเจ้าหน้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ The Story Thailand ว่า MAKRO มุ่งที่จะเป็นค้าปลีกที่ mult-channel มากขึ้น แม้ว่าในปัจจุบันสัดส่วนการขายจะมาจากช่องทางหลักคือร้านแม็คโครสูงถึง 80% และที่เหลืออีก 20% จะมาจากช่องทางอื่น ๆ รวมกัน ได้แก่ อีคอมเมิร์ซ มาร์เก็ตเพลส ตัวแทนขายตรง รวมถึงเครดิตเซล และอื่น ๆ ที่จะเพิ่มขึ้นมาในอนาคต แต่บริษัทมีแผนจะเพิ่มสัดส่วนการขายจากช่องทางอื่น ๆ มากขึ้น ในขณะเดียวกันลูกค้าของแม็คโครมีความหลากหลายและจำนวนมาก (multi-customer segment) ทั้งร้านโชห่วย และร้านอาหารต่าง ๆ เป็นต้น
“สิ่งเหล่านี้ เรียกว่า Digital Transformation ของเรา คือขยายจากช่องทางเดียวสู่หลากหลายช่องทาง และจับกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายกลุ่ม” พอล ฮาววี กล่าว
ในแต่ละวันแม็คโครจำหน่ายสินค้าจำนวนมากให้กับลูกค้าจำนวนมากในหลากหลายช่องทาง การบริหารจัดการสต็อกอย่างมีประสิทธิภาพถือเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในธุรกิจค้าปลีกแบบ B2B แบบแม็คโคร
แม็คโครสาขาใหญ่มีสินค้าประมาณมากกว่า 30,000 SKUs ส่วนร้านเล็กจะมีประมาณมากกว่า 3,000 SKUs จำนวน SKU ขึ้นกับแต่ละร้าน แม็คโครโฟกัส B2B แต่ก็มีลูกค้าคอนซูเมอร์ด้วย
ที่ผ่านมาแม็คโครมีการใช้ระบบซอฟต์แวร์มาช่วยบริหารจัดการ แต่ทว่า สำหรับในอนาคตที่ต้องการขยายธุรกิจและเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของธุรกิจ ลดต้นทุน เพิ่มยอดขาย เพิ่มความพึงพอใจลูกค้า แม็คโครจำเป็นต้องหาตัวช่วย และพบว่าเทคโนโลยีของรีเล็กซ์ โซลูชั่น ตอบโจทย์ตรงความต้องการ จึงเกิดการเป็นพันธมิตรขึ้น ซึ่งแม็คโครไม่เปิดเผยมูลค่าการลงทุนในระบบเทคโนโลยีของ รีเล็กซ์ โซลูชั่น บอกเพียงแต่ว่าจะมีการขยายการใช้งานเพิ่มขึ้นตามปริมาณงานและความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น
ทิศทางของแม็คโครมุ่งสู่การเป็นค้าปลีกแบบออมนิแชนแนล หรือ O2O และจะขยายไปตลาดต่างประเทศ เทคโนโลยีจากผู้ให้บริการที่เชี่ยวชาญในตลาดรีเทล คือ ตัวช่วยสำคัญ ระบบโซลูชันของรีเล็กซ์ โซลูชั่น ที่เก่งเรื่องข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลจะเข้ามาช่วยแม็คโครใช้ข้อมูลจากยอดขายจากทุกช่องทางมาวิเคราะห์สต็อกรวมถึงนำข้อมูลจากการขายและพฤติกรรมลูกค้ามาวิเคราะห์เพื่อวางแผนธุรกิจและการทำการตลาด โดยใช้ต้นทุนให้เกิดประโยชน์สุงสุดได้ (TCO: Total Cost of Onwership)
ดังนั้น ซอฟต์แวร์ที่นำมาใช้งานตอนนี้สามารถทำให้แมคโครสามารถบริหารสต็อกได้อย่างดีที่สุด สามารถคาดการณ์ยอดขายของแต่ละสาขา แต่ละช่องทาง และเติมเต็มสินค้าในชั้นวางได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม็คโครเปลี่ยนจากการขายแบบช่องทางเดียว เป็นออมนิแชนแนล
“การทำออมนิแชนแนลมีความแตกต่างจากแบบเดิมที่ขายผ่านหน้าร้านเพียงอย่างเดียวรีเล็กซ์ โซลูชั่น มีเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิ่ง (ML) ในการวิเคราะห์ยอดขาย ณ ช่วงเวลานี้ แต่ละร้านค้า และศูนย์กระจายสินค้า ต้องมีสต็อกเท่าไร และแต่ละช่องทางมีความต้องการมากน้อยขนาดไหน Relex สามารถพิสูจน์ได้ว่าสามารถทำมัลติแชนแนลได้ ต้องบริหารคาดการณ์และยอดขายที่ซับซ้อนเหล่านี้ได้” พอล ฮาววี กล่าวทิ้งท้าย
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
บลูบิค แนะธุรกิจปรับทัพการทำตลาดด้วย Marketing Transformation รับมือการแข่งขันในโลกเศรษฐกิจดิจิทัล