TH | EN
TH | EN
หน้าแรกBusinessCarTrust มุ่งปลดล็อกตลาดรถมือสองไทย ซื้อขายจัดหาไฟแนนซ์ได้อย่างมั่นใจ

CarTrust มุ่งปลดล็อกตลาดรถมือสองไทย ซื้อขายจัดหาไฟแนนซ์ได้อย่างมั่นใจ

เมื่อการถอยรถใหม่ป้ายแดงออกจากโชว์รูมเป็นเรื่องที่เกินกำลังของใครหลายคน แต่แนวทางหรือเป้าหมายการดำรงชีวิตจำเป็นต้องมีรถยนต์ไว้ใช้งาน “ตลาดรถยนต์มือสอง” จึงกลายเป็นทางเลือกยอดนิยมของคนที่กำลังมองหารถยนต์สักคันไว้เป็นเพื่อนคู่ใจยามเดินทาง

กระนั้น ด้วยความที่เป็นทรัพย์สินชิ้นใหญ่ และสามารถแปลงเป็นทุนได้ในกรณีที่การเงินขาดสภาพคล่อง การซื้อขายรถยนต์เกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นมือหนึ่งมือสองจึงต้องพึ่งพาการกู้เงินจากธนาคารหรือสถาบันการเงินชั้นนำทั้งหลาย การซื้อขายรถยนต์มือสองยังต้องการวัดใจกันไปอีกขั้นว่าจะเจอรถคุณภาพดีคุ้มราคา ไม่โดนหลอกหรือย้อมแมวขายให้เจ็บใจ หรือกลับกันในกรณีที่ต้องการขายรถยนต์เพื่อนำเงินมาใช้ เจ้าของรถก็ย่อมหวังจะเจอ “เต็นท์รถคุณภาพ” ที่ไม่เอารัดเอาเปรียบหรือกดราคามากเกินไป 

“เราต้องการสร้างพื้นที่ที่คนจะสามารถซื้อรถยนต์มือสองราคาดี คุณภาพดี ไม่ถูกเอาเปรียบ เกิดความเชื่อมั่นในรถยนต์มือสอง ทำให้ผู้บริโภคโดยเฉพาะผู้หญิงวางใจที่จะซื้อรถมือสอง ซึ่งที่ไทยไม่มี ทั้งในแง่ของข้อมูล กฎหมายคุ้มครอง และการบริการดูแล” โสภณ อัศวานุชิต อดีตผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Co-founder & CEO) บริษัทคาร์ทรัสจำกัด (CarTrust) กล่าวกับ The Story Thailand ถึงที่มาของการลาออกจากการเป็นผู้บริหารระดับสูงที่ธนาคารเพื่อรวมตัวกับกลุ่มเพื่อนสร้างคาร์ทรัสขึ้นมาในปี 2014

ทั้งนี้ ในมุมมองของโสภณ “รถยนต์” ถือเป็นเครื่องมือทางการเงินที่เจ้าของสามารถนำไปต่อยอดพัฒนาในเชิงธุรกิจ หรือช่วยแก้ปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน ตลอดจนมีส่วนช่วยให้คน ๆ หนึ่งทำตามความฝันที่ตั้งเป้าเอาไว้ได้

รถยนต์จึงเป็นมากกว่ายานพาหนะ เป็นเรื่องของการเงินส่วนบุคคล ดังนั้น การทำให้การซื้อขายรถยนต์เป็นไปได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น คล่องขึ้น จึงเป็นสิ่งจำเป็น

“เราอยากให้รถยนต์เป็น ‘ทรัสต์’ ที่สามารถไว้ใจได้ เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ดี เราตั้งคาร์ทรัสต์ขึ้นภายใต้จุดมุ่งหมายนี้ เพราะต้องการให้ตลาด (รถมือสอง) มีประสิทธิภาพ คุณภาพและราคาที่เป็นธรรมกับผู้ซื้อหรือผู้ขายไม่โดนเต็นท์รถยนต์หลอก โดยเราเริ่มจากการให้บริการตรวจสภาพรถยนต์แบบเบ็ดเสร็จโดยช่างมืออาชีพ เพื่อให้ลูกค้ามีข้อมูลเกี่ยวกับรถกำลังจะซื้อหรือขาย มากยิ่งขึ้น”

ข้อมูลที่ว่านี้ ครอบคลุมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับรถยนต์ทั้งหมด ตั้งแต่การรู้ว่ารถเป็นอย่างไร พร้อมวิเคราะห์และตรวจสภาพอย่างดี ซึ่งจะช่วยลดความวิตกกังวลว่าจะถูกหลอก พร้อมให้คำแนะนำลูกค้าว่าทำอย่างไรจึงจะ ซื้อหรือขายรถยนต์ ในราคาที่เหมาะสมที่สุด ก่อนจัดหาสถาบันการเงินเพื่อจัดการไฟแนนซ์ และประกัน ช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นในการซื้อขายรถยนต์มือสองให้มากยิ่งขึ้นไปอีก

จาก “ตรวจสภาพรถ” สู่ “รีไฟแนนซ์รถ”

อย่างไรก็ตาม ด้วยติดขัดปัญหาในการเข้าไปตรวจสอบสภาพรถยนต์มือสองตามเต็นท์รถมือสองที่มีอยู่ทั่วประเทศไทย บวกกับปัญหาของลูกค้าที่พบเจอบ่อย คือ ไม่รู้ว่าจะเอารถไปต่อยอดทำทุน รีไฟแนนซ์ และปิดเล่ม คาร์ทรัสต์จึงค่อย ๆ ปรับโมเดลธุรกิจด้วยการโฟกัสที่ธุรกิจไฟแนนซ์เป็นหลัก ให้บริการจัดหาไฟแนนซ์และรีไฟแนนซ์รถยนต์มือสอง โดยเฉพาะการให้บริการปิดเล่มทะเบียนรถยนต์จนกลายมาเป็นธุรกิจหลัก

“เป็นธุรกิจที่โตเร็ว เพราะประเทศไทยมีปัญหาของระบบสถาบันการเงินที่ไม่ค่อยตอบโจทย์บุคคลบางกลุ่ม และรถยนต์เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่ทำให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน”​

การยื่นขอรีไฟแนนซ์ ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับใครหลายคน โสภณ กล่าวว่า ลูกค้าหลายคนยังไม่รู้ว่า สามารถทำเรื่องกู้ได้ทั้งที่ยังผ่อนไม่หมด และสามารถจะรีไฟแนนซ์เพื่อนำเงินไปต่อยอดทำอย่างอื่นได้ โดยที่ต้นทุนค่าใช้จ่ายของการรีไฟแนนซ์ต่ำ และถูกกว่าต้นทุนอย่างอื่น เช่น เครดิตการ์ด หรือสินเชื่อบุคคล การที่ลูกค้าไม่ทราบตรงนี้ ทำให้ตลาดมีมูลค่าต่ำกว่าที่ควรจะเป็น

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในตลาดรถยนต์มือสองที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยยอดขายเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1,200,000 คันต่อปี หรือราว 100,000 คันต่อเดือน แต่ปัจจุบันมีลูกค้าใช้บริการรีไฟแนนซ์รถยนต์เพียงประมาณ 5,000 คันต่อเดือน ตลาดรีไฟแนนซ์รถยนต์จึงเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่ค่อนข้างใหม่ และมีศักยภาพที่จะขยายตัวเติบโตต่อไปได้อีกมาก 

แม้ปัจจุบันจะมีธนาคารและสถาบันทางการเงินมากมายออกมาตอบสนองการเงินในตลาดรถมือสองของไทยมากมาย แต่ปัญหาปัจจุบันคือถ้าลูกค้าต้องการ ไฟแนนซ์รถยนต์ต่างธนาคาร อย่างเช่น ลูกค้ามีสินเชื่อเช่าซื้อเดิมเหลืออยู่ 24 งวด จำนวน 240,000 บาท ต้องการรีไฟแนนซ์ไป ธนาคารใหม่ที่ให้สินเชื่อ เพิ่ม เป็น 400,000 บาท ทำให้ลูกค้ามีวงเงินส่วนต่าง 160,000 บาทไปใช้สอย แต่ติดที่ธนาคารใหม่แจ้งให้ลูกค้านำเงิน 240,000 บาท ไปปิดเล่มทะเบียนที่ธนาคารเดิมก่อนเอง แล้วนำเล่มทะเบียนไปส่งมอบให้ธนาคารใหม่ ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่สามารถหาเงินจำนวนดังกล่าวและไม่เข้าใจขบวนการดำเดินการ 

ลูกค้าจึงต้องการบริการปิดเล่มทะเบียนเพื่อรีไฟแนนซ์รถยนต์เป็นจำนวนมาก แต่ตลาดปิดเล่มทะเบียนเพื่อรีไฟแนนซ์รถยนต์ ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจท้องถิ่น ที่จำกัดวงอยู่ในเฉพาะเต็นท์รถยนต์มือสอง และธุรกิจเงินทุนท้องถิ่น ซึ่งไม่ค่อยมีมาตรฐานในการให้บริการ และค่าบริการที่ค่อนข้างแพง แถมยังมีข้อจำกัดค่อนข้างมาก ต้องจอดรถ และไม่ครอบคลุมทั่วประเทศ 

ทั้งหมดเป็นเหตุผลที่ทำให้  คาร์ทรัสต์ เข้าสู่ธุรกิจปิดเล่มทะเบียนและให้บริการจัดหาไฟแนนซ์และรีไฟแนนซ์รถยนต์แบบครบวงจร (one-stop car financing service provider) ที่ช่วยให้การทำธุรกรรมใด ๆ เกี่ยวกับการรีไฟแนนซ์รถยนต์เป็นไปได้อย่างง่ายขึ้น สะดวกขึ้น และเร็วขึ้น ทั่วประเทศ

โสภณ เชื่อมั่นว่า หากคาร์ทรัสนำบริการที่มีระบบที่ดีกว่า สะดวกกว่า ใช้งานได้ง่ายขึ้น ในค่าบริการที่สมเหตุสมผล ราคาไม่แพง ย่อมต้องได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าในตลาดได้ไม่ยาก และช่วยเพิ่มส่วนแบ่งตลาดของคาร์ทรัสต์ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ

“เราอยากให้ คาร์ทรัสต์เป็น the most trusted brand แพลตฟอร์มที่ผู้บริโภคนึกถึงต้องการทำอะไรเกี่ยวกับรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นจะซื้อขายรถทำอย่างไร ใช้ไฟแนนซ์ที่ไหน ผ่อนต่อไม่ไหวทำอย่างไร อยากย้ายแบงค์นำเงินไปทำธุรกิจทำได้ไหมอยากให้ลูกค้านึกถึงเราเป็นคนแรก อะไรที่เกี่ยวกับรถยนต์มือสอง เราทำให้ลูกค้าได้ทั้งหมด เราสามารถให้คำปรึกษาได้ เราเป็นเพื่อนคู่คิดของลูกค้า และที่สำคัญ คือ เราให้คำปรึกษาฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย” 

ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับคุณภาพ

เป้าหมายการดำเนินธุรกิจคาร์ทรัสต์  คือ การสร้างแบรนด์คาร์ทรัสต์ให้เป็นที่รู้จัก ให้คนทั่วไปรู้ว่าคาร์ทรัสต์ทำอะไรได้บ้าง และเป็นประโยชน์อย่างไร รวมถึง ผลักดันให้คาร์ทรัสต์ขยายตัวเติบโตต่อไป โดยเป็นเบอร์หนึ่ง ของวงการตลาดรีไฟแนนซ์รถยนต์ และการซื้อขายจัดหาแหล่งเงินทุนที่เกี่ยวกับรถยนต์ 

นอกจากการขยายเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ เช่น ธนาคารชั้นนำเพื่อจัดการไฟแนนซ์และรีไฟแนนซ์รถยนต์แล้ว อีกหนึ่งยุทธศาสตร์สำคัญในการขยายและรักษาตำแหน่งผู้นำของคาร์ทรัสต์ คือ การใช้ แพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อพัฒนาคุณภาพการให้บริการ ไม่ว่าจะเป็นการปิดเล่ม หรือการเข้าถึงลูกค้าให้ได้เร็วขึ้น และง่ายขึ้น แต่ราคาค่าบริการกลับถูกลง

ต่อยอดแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์ไปสู่ธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องที่จะเพิ่มมูลค่าให้กับลูกค้า โดยใช้ฐานลูกค้าเดิมที่มีอยู่ เช่น ขยายเข้าสู่ตลาด ชื้อขายรถยนต์มือสองแบบ C2C (Customer to Customer) ที่ลูกค้าดำเนินการซื้อขายระหว่างกันเองโดยไม่ต้องมีตัวกลางอย่างเต๊นท์รถเข้ามากินส่วนแบ่ง 

“ตอนนี้เริ่มต้น คือ รีไฟแนนซ์ แต่ในอนาคตธุรกิจที่เราจะเข้าไป คือ การไฟแนนซ์สำหรับตลาด C2C คือ การซื้อขายกันเอง ที่เราจะช่วยจัดหาแหล่งเงินทุนและรับปิดเล่มเพื่อให้ลูกค้าได้ซื้อขายกันเองผ่านช่องทางออนไลน์กันได้ง่ายยิ่งขึ้น”

ความตั้งใจของคาร์ทรัส คือ ทำอย่างไรให้ตลาด C2C มันมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำอย่างไรให้คนขายรถยนต์มือสองไม่ต้องถูกเต็นท์กดราคาจนหายไป 15-20% ส่วนต่างควรจะเหลือแค่ 5% หรือไม่ควรเกิน 10% ซึ่งส่วนที่ประหยัดไปนั้น ทำให้คนมีเงินเพิ่มขึ้น ตลาดก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งคาร์ทรัสต์มีแผน ที่จะให้เครื่องมือทำให้ทุกคนมีความสามารถในการตั้งตัวเป็นเต็นท์ได้ ทำให้ทุกคนเป็นเต็นท์รถด้วยตนเองได้

ปัจจุบัน ในกรณีที่ต้องการขายรถยนต์ด้วยตัวเอง คาร์ทรัสต์จะเข้าไปช่วยในเรื่องของการตรวจสอบสภาพ ทำความสะอาด ตกแต่งรถยนต์ให้อยู่ในสภาพดี ก่อนประกาศขาย แล้วดูแลรับฝากขายให้ หากลูกค้าต้องการเงินจากการขายล่วงหน้าไปก่อนบางส่วน หรือไฟแนนซ์เพื่อปิดเล่มทะเบียนกับไฟแนนซ์เดิม คาร์ทรัสต์ก็จะเป็นธุระจัดหาให้ตามความเหมาะสม 

รักษาความเป็นผู้นำด้วยการสร้างเครือข่ายพันธมิตรจุดให้บริการและนวัตกรรม

ปัจจุบันคาร์ทรัส เป็นผู้ให้บริการจัดหาไฟแนนซ์และปิดเล่มทะเบียนรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยมีส่วนแบ่งของตลาดประมาณ 10% และยอดปิดเล่มปีละกว่า 6,000 คัน อีกทั้งยังเป็นพันธมิตรให้บริการปิดเล่มหลักให้ แก่ธนาคารชั้นนำ อาทิ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงศรี ธนาคารทหารไทยธนชาติ และ ธนาคารเกียรตินาคิน  

ภายในระยะเวลา 3 ปี คาร์ทรัส กำหนด จะมุ่งหน้าขยายส่วนแบ่งตลาดให้ได้ประมาณ  20% ด้วยการเพิ่มพันธมิตรสถาบันการเงิน ขยายเครือข่ายลูกค้าช่องทาง online และ ขยายจุดให้บริการในต่างจังหวัด เพื่อ สร้างแบรนด์คาร์ทรัสต์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น

ในส่วนของคู่แข่ง โสภณยอมรับว่า คู่แข่งคาร์ทรัสต์มีหลายส่วนแบ่งตามธุรกิจที่ให้บริการ เริ่มจากธุรกิจหลัก คือการเป็นที่ปรึกษาการรีไฟแนนซ์ และการปิดเล่มทะเบียนรถยนต์ ซึ่งธนาคารไม่ใช่คู่แข่งแต่เป็นพันธมิตร 

ส่วนคู่แข่ง คือ คนที่บอกว่าตนเองเป็นที่ปรึกษาในการหาไฟแนนซ์ และรับปิดเล่มทะเบียนรถยนต์ เช่นเต็นท์รถยนต์หรือไฟแนนซ์ท้องถิ่น ขณะที่คู่แข่งที่ให้บริการทั่วประเทศ ที่คล้าย ๆ กับคาร์ทรัสต์ก็พอมีเหมือนกัน ซึ่งมาทีหลังมีบริการปิดเล่ม จัดหาไฟแนนซ์ และซื้อขายรถยนต์ให้ เพียงแค่ขนาด (scale) ยังเล็กกว่าคาร์ทรัสต์หลายเท่า 

ดังนั้น คู่แข่งของคาร์ทรัสต์จึงค่อนข้างหลากหลาย แต่ไม่มีคู่แข่งโดยตรงจริงๆ จังๆ  

สำหรับความโดดเด่นที่ทำให้คาร์ทรัสต์แตกต่าง คือ 1) บริการมืออาชีพเพื่อตอบสนองความสะดวกและความพอใจของลูกค้าเป็นหลัก 2) ความเป็นมืออาชีพในการให้บริการปิดเล่มที่มีมากกว่าและดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นเอกสาร หลักฐานต่าง ๆ  3) ราคาสมเหตุสมผล เมื่อเทียบกับเจ้าอื่น ๆ ที่ให้บริการปิดเล่มในตลาด ราคาบริการของคาร์ทรัสต์ถือได้ว่าต่ำกว่าคู่แข่ง  4) เป็นบริษัทที่มีพื้นที่บริการครอบคลุมทั่วประเทศไทย จึงสะดวกในเรื่องของบริการโอนเล่มปิดย้ายข้ามจังหวัด และสุดท้าย 5) คือ แพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์ ที่ทำให้ลูกค้าสามารถติดตามตรวจสอบกระบวนการโอนย้ายได้ว่าอยู่ในขั้นตอนใดแล้ว เมื่อไรจะได้เงิน เมื่อไรจะเสร็จ ตรวจสอบได้ตลอดเวลายังไม่นับรวมระบบฐานข้อมูลที่กำลังดำเนินการอยู่เพื่อให้อนาคตลูกค้าสามารถดำเนินการเรื่องเอกสารและเซ็นรับรองผ่านออนไลน์ได้ โดยคาร์ทรัสเป็นบริษัทให้บริการปิดเล่มรายเดียวในประเทศไทยที่มีระบบดังกล่าว 

ทิศทางการเติบโตในอนาคตยังสดใส 

แม้การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ผ่านมาจะทำให้การซื้อขายรถยนต์ในไทยซบเซาลงไปบ้าง แต่โสภณ เชื่อมั่นว่า ตลาดรถยนต์มือสองของไทยยังมีพื้นที่ให้สามารถขยายตัวเติบโตต่อไปได้ เพราะตราบใดที่คนยังมีรถอยู่ ยังใช้รถอยู่ ยังเป็นเจ้าของรถอยู่ ธุรกิจนี้ก็จะเติบโตได้ต่อไป โดยไม่เกี่ยงว่ารถยนต์คันนั้นจะเป็นรถยนต์เครื่องยนต์เบนซิล-ดีเซล ไฮบริด หรือไฟฟ้า (EV) ยกเว้นว่าในอนาคตคนเลิกใช้รถ ความต้องการใช้รถลดลง ตลาดย่อมจะลดลงตาม

ขณะเดียวกัน ถึงจะเป็นบริษัทน้องใหม่ที่เพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน แต่ด้วยศักยภาพตลาดและความโดดเด่นในการบริการทำให้ช่วงกว่า 7 ปีที่ผ่านมา คาร์ทรัสต์สามารถขยายตัวเติบโตมาได้เรื่อย ๆ ยืนยันได้จากยอดปิดเล่มต่อเดือนก่อนหน้าโควิด-19 คาร์ทรัสต์สามารถปิดเล่มได้เฉลี่ย 100-200 ล้านบาท และทำกำไรมาตลอด 5 ปีติดต่อกัน 

“คาเรกเตอร์ของเรา คือ High growth, very profitable แล้วก็ใช้เทคโนโลยีในการเติบโต และเติบโตได้อย่างรวดเร็ว”

นอกจากนี้ แม้ว่าจะมีข้อได้เปรียบที่ผู้ก่อตั้งมีทุนที่แข็งแกร่ง ทำให้ที่ผ่านมาไม่จำเป็นต้องระดมทุน กระนั้น เพื่อให้คาร์ทรัสต์ขยายสาขาได้อย่างรวดเร็วหรือไปยังธุรกิจอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ทั้งในและต่างประเทศได้ เมื่อถึงจุดหนึ่งก็จำเป็นต้องระดมทุน และการขอสินเชื่อจากธนาคารก็อาจจะไม่เพียงพอ 

“อีก 2 ปีข้างหน้า คาร์ทรัสต์มีความตั้งใจที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ โดยการสร้างแพลตฟอร์มให้พร้อม ขณะเดียวกัน การระดมทุนก็จะทำให้เราสามารถขยายกิจการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น แล้วก็อาจเคลื่อนไหวเพื่อควบรวมกิจการ และขยายแพลตฟอร์มไปสู่ธุรกิจอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เช่นPlatform ซื้อขายรถยนต์ online, คาร์แคร์, จัดส่งเอกสาร หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้เกิด Synergy เช่น รายได้ขยายตัวเร็วขึ้น คุณภาพการบริการของเราดีขึ้น แต่ต้นทุนการดำเนินงานลดลง”

ทั้งนี้ หลังเข้าตลาดหลักทรัพย์ โสภณเผยว่า คาร์ทรัสต์มีแผนขยายพื้นที่ให้ครอบคลุมภูมิภาค แต่ตราบใดที่ยังไม่ใช่เบอร์หนึ่งของประเทศไทยอย่างแข็งแรง ก็ยังไม่สมควรที่จะเดินออกไปข้างนอก 

“แม้ยังไม่มั่นใจว่าประเทศอื่นจะมีโครงสร้างแพลตฟอร์มเหมือนกับประเทศไทยไหม แต่เราเชื่อว่า ระบบการดูแลจัดการไฟแนนซ์รถยนต์ และการปิดเล่ม มันน่าจะมีประโยชน์กับอีกหลายๆ ประเทศที่มีโครงสร้างคล้ายๆ กัน ซึ่งถ้าจะขยาย คงจะมองตลาดที่มีคาแรกเตอร์ใกล้เคียงกับไทยและเราเองมีความเชี่ยวชาญ ก็น่าจะเป็นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ตลาดไฟแนนซ์รถยนต์ขยายตัวเร็วแต่ค่อนข้างพัฒนาแล้วระดับหนึ่ง เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม”

ด้านเป้าหมายการเติบโตในปีนี้ โสภณกล่าวว่า คาร์ทรัสต์จะมองในเป้าหมายของยอดปิดเล่มเป็นหลัก ซึ่งช่วงก่อนปี 2019 ปิดเล่มให้ลูกค้าเกือบ 1,100 ล้านบาท ก่อนที่ปี 2020 จะลดลงไปเหลือประมาณ 600 ล้านบาท ส่วนปี 2021 นี้แม้ต้นปียังค่อนช้า แต่หลังจากเดือนเมษายนฟื้นตัวเร็วขึ้นมากโดยปัจจุบัน บริษัททะลุ all time high มาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 

“ปีนี้ผมคิดว่าเราน่าจะกลับไปสู่จุดเดิมประมาณ 1,200 ล้านบาท แล้วปีหน้าก็น่าจะไปถึง 2,000 ล้านบาทได้ไม่ยาก” โสภณ กล่าวทิ้งท้าย

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

AnyMind มอง MarTech คือ หัวใจของการตลาดยุคดิจิทัลครบวงจร

Zen Group กับพันธกิจ ร้านอาหารแบรนด์ไทย “ตำมั่ว” และ “เขียง”

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ