กัว ผิง ประธานกรรมการบริหารแบบหมุนเวียนตามวาระของหัวเว่ย กล่าวภายในงาน MWC Barcelona 2022 ว่าบริษัทฯ จะสานต่อยุทธศาสตร์เชิงโลกาภิวัฒน์ (Globalization) และเพิ่มการลงทุนเชิงกลยุทธ์ไปกับเทคโนโลยีพื้นฐานมากยิ่งขึ้น โดยหัวเว่ยหวังว่าการลงทุนเหล่านี้จะช่วยปฏิรูปทฤษฎีพื้นฐาน สถาปัตยกรรมพื้นฐาน และซอฟต์แวร์พื้นฐาน ซึ่งเป็นรากฐานของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี รวมทั้งเสริมศักยภาพในการแข่งขันทั้งในระยะกลางและระยะยาวให้กับหัวเว่ย และความยั่งยืนในระยะยาวของอุตสาหกรรมไอซีที
ในคำปราศัยออนไลน์ในหัวข้อ “มองไปข้างหน้า จุดประกายแห่งอนาคต (Just Look Up, Let’s Light Up the Future)” กัว ผิง เน้นย้ำ 2 ประเด็นสำคัญที่นำมาทั้งความท้าทายและโอกาส ซึ่งก็คือการเปลี่ยนผ่านเชิงดิจิทัล และความเป็นกลางทางคาร์บอน
ทฤษฎีปัจจุบัน ไม่รองรับการเติบโตด้านดิจิทัล
มีการคาดการณ์ว่าภายในปี พ.ศ. 2565 กว่า 50% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศทั่วโลก (จีดีพี) จะมาจากเทคโนโลยีดิจิทัล โดยเศรษฐกิจดิจิทัลระดับโลกที่พัฒนาอย่างรวดเร็วส่งผลให้ความต้องการผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลทะยานสูงขึ้นเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้
กัว ผิง อธิบายว่าทฤษฎีของแชนนอน (Shannon’s theorem) และสถาปัตยกรรมฟอนนอยมันน์ (von Neumann architecture) ยังคงเผชิญกับปัญหาอย่างรุนแรงเรื่อยมา ภาคอุตสาหกรรมจึงจำเป็นต้องสำรวจทฤษฎีและสถาปัตยกรรมใหม่ ๆ เพื่อปฏิรูปกระบวนทัศน์เทคโนโลยีและสร้างความยั่งยืนเชิงดิจิทัล
การลดการปล่อยก๊าซ ส่งผลต่อศักยภาพระยะยาวของเศรษฐกิจดิจิทัล
กัว ผิง กล่าวเกี่ยวกับประเด็นด้านความเป็นกลางทางคาร์บอนว่า “ความสามารถในการรองรับความหนาแน่นของการเชื่อมต่อและพลังของการประมวลผล จะเป็นตัวชี้วัดความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจดิจิทัล แต่เราจำเป็นต้องคำนึงถึงศักยภาพในระยะยาวของเศรษฐกิจดิจิทัลด้วย จึงต้องพิจารณาความเป็นไปได้ในมิติใหม่ ๆ อย่างการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์”
ปัจจุบัน หัวเว่ยยึดมั่นตามกลยุทธ์ “บิตมากขึ้น วัตต์น้อยลง” ซึ่งนอกเหนือจากการปรับปรุงประสิทธิภาพทางดิจิทัลขั้นพื้นฐานแล้ว ยังมุ่งมั่นที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 2.7 เท่า ด้วยการพัฒนาในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านทฤษฎี ด้านวัสดุ และด้านอัลกอริธึม ซึ่งการพัฒนานี้จะทำให้อุตสาหกรรมไอซีทีสามารถช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ ลดปริมาณก๊าซคาร์บอนที่ปล่อยออกมาได้ ซึ่งอันที่จริง วิธีนี้จะสามารถลดปริมาณก๊าซคาร์บอนได้มากกว่าปริมาณที่อุตสาหกรรมไอซีทีปล่อยออกมาเองถึง 10 เท่า
เพิ่มการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในเทคโนโลยีพื้นฐาน
หัวเว่ยกำลังเพิ่มการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในเทคโนโลยีพื้นฐาน และทำงานร่วมกับพันธมิตรเพื่อปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ทางเทคโนโลยีใน 3 ด้าน ได้แก่
- ทฤษฎีพื้นฐาน
- สถาปัตยกรรมพื้นฐาน
- ซอฟต์แวร์พื้นฐาน
การลงทุนดังกล่าวจะค่อย ๆ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพในการแข่งขันของผลิตภัณฑ์หัวเว่ย ซึ่งหวังว่าจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาในระยะยาวและยั่งยืนของทั้งบริษัทและอุตสาหกรรมไอซีทีในภาพรวม
ทำให้บริษัทเข้าใกล้ขีดจำกัดของแชนนอน
การลงทุนครั้งนี้ยังมุ่งเน้นในการทำให้บริษัทเข้าใกล้ขีดจำกัดของแชนนอน (Shannon’s Limit) มากขึ้น หรืออาจจะถึงขั้นเกินขีดจำกัดไปเลย ทั้งนี้ ด้วยการสำรวจทฤษฎีและเทคโนโลยีใหม่ ๆ อาทิ เจเนอเรชันใหม่ของ MIMO และปัญญาประดิษฐ์ไร้สาย ทำให้หัวเว่ยสามารถผลักดันเทคโนโลยีของตนให้เข้าใกล้ขีดจำกัดของแชนนอนมากขึ้น ในขณะเดียวกัน ก็ได้มีการวิจัยในทฤษฎีใหม่ ๆ อาทิ การสื่อสารเชิงความหมายซึ่งจะชี้นำภาคอุตสาหกรรมไอซีทีไปสู่ทฤษฎีพื้นฐานใหม่ ๆ
นอกจากนี้ หัวเว่ยยังพัฒนาสถาปัตยกรรมใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้นอีกด้วย โดยปัจจุบันกำลังผสานรวมเทคโนโลยีการสร้างและการควบคุมแสง (โฟโตนิก) เทคโนโลยีวงจรไฟฟ้า (อิเล็กทรอนิกส์) รวมทั้งออกแบบสถาปัตยกรรมการเชื่อมต่อแบบเพียร์ทูเพียร์ (P2P) เพื่อแก้ปัญหาความท้าทายทางเทคโนโลยีหรือปัญหาที่ติดขัด
ในด้านซอฟต์แวร์ หัวเว่ยกำลังสร้างซอฟต์แวร์แบบ Full-Stack ที่มีปัญญาประดิษฐ์เป็นศูนย์กลางและอีโคซิสเต็มซอฟต์แวร์ใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างมากสำหรับความสามารถในการประมวลผลที่เกิดจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของปัญญาประดิษฐ์
การทำงานร่วมกันระหว่างซอฟต์แวร์กับฮาร์ดแวร์ เป็นหนทางไปสู่อนาคต
กัว ผิง ได้อธิบายในตอนท้ายว่า ประสบการณ์อันยอดเยี่ยมของผู้ใช้งานมาจากการทำงานประสานกันเป็นหนึ่งเดียวระหว่างซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ โดยเขาได้ใช้สองตัวอย่างเพื่อแสดงให้เห็นว่า หัวเว่ยนำแนวคิดนี้ไปใช้กับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ไอซีที และนวัตกรรมทางเทคโนโลยีเพื่อวิวัฒนาการเครือข่าย
ตัวอย่างแรกคืออัลกอริธึมที่ได้รับการปรับให้เหมาะสมสำหรับ AHR Turbos และช่วยให้ MetaAAUs ใช้พลังงานน้อยลงทั้งยังช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน ตัวอย่างที่สองคือความก้าวหน้าของอัลกอริทึมในเลนส์โฮโลกราฟิกทำให้ OXCs สามารถเชื่อมต่อแบบ one-hop ได้
มั่นใจ บริษัทมีศักยภาพไอซีทีครบวงจร
ในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา วิวัฒนาการของเครือข่ายอยู่ในขั้นตอนของการนำแนวทางปฏิบัติด้านไอที (IT) ไปสู่ซีที (CT) ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่เรื่อง IP ไปจนถึงเทคโนโลยีคลาวด์ และปัญญาประดิษฐ์ในปัจจุบัน ในฐานะบริษัทที่มีศักยภาพด้านไอซีทีอย่างครบวงจรในอุตสาหกรรมดิจิทัล กัว ผิงได้กล่าวว่า หัวเว่ยมั่นใจที่จะเป็นผู้นำในการพัฒนาเครือข่ายซึ่งใช้ปัญญาประดิษฐ์เป็นพื้นฐานในอนาคตได้
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
LET จับมือ ด้าหัว เสริมแกร่ง ‘โมเดิร์น ซิเคียวริตี้’ รุกตลาดเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัย