TH | EN
TH | EN
spot_imgspot_imgspot_img
หน้าแรกMedia Alertโทรทัศน์ไทยในวันที่รายการเด็กหายไป สังคมควรทำอย่างไร ?

โทรทัศน์ไทยในวันที่รายการเด็กหายไป สังคมควรทำอย่างไร ?

ย้อนกลับไปวัยเด็ก ยุคที่ยังไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีอินเทอร์เน็ต สื่อที่สร้างความเพลิดเพลิน เพิ่มเติมสาระความรู้ และทักษะใหม่ ๆ แก่เด็ก คงหนีไม่พ้น “สื่อโทรทัศน์” ที่เต็มไปด้วยรายการโทรทัศน์สำหรับเด็กอย่างเจ้าขุนทอง สโมสรผึ้งน้อย ทุ่งแสงตะวัน หนูดีมีเรื่องเล่า ดิสนีย์คลับ ซูเปอร์จิ๋ว เทเลทับบีส์ กล้วยหอมจอมซน เป็นต้น

แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป การเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีสื่อสาร ทำให้เด็ก ๆ มีเครื่องมือให้เลือกเปิดรับเนื้อหาที่ตัวเองสนใจเป็นการเฉพาะมากขึ้น การเกิดขึ้นของแพลตฟอร์มสื่อรูปแบบใหม่ วิกฤตความอยู่รอดของสื่อดั้งเดิมต่อรายการโทรทัศน์สำหรับเด็ก ซึ่งเป็นเรื่องยากในการหาผู้สนับสนุนรายการ ทำให้รายการสำหรับเด็กบนหน้าจอโทรทัศน์ค่อย ๆ ลับหายไปตามกาลเวลา ที่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน นอกจากการ์ตูนจากต่างประเทศแล้ว มักเป็นรายการที่ให้เด็กมาแข่งขันกัน เช่น แข่งขันร้องเพลง แข่งขันทำอาหาร ซึ่งเน้นความสนุกสนานบันเทิง และสามารถขยายฐานผู้ชมจากเด็กไปยังผู้ใหญ่ได้ เช่น ผู้ปกครอง ประชาชนทั่วไป ที่ชอบดูความน่ารักของเด็ก 

รายการทีวีสำหรับเด็ก

ประเทศไทยกับเส้นทางวิบากของโทรทัศน์สำหรับเด็ก    

คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ออกประกาศ “หลักเกณฑ์การจัดทําผังรายการสําหรับการให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ พ.ศ. 2556” เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเนื้อหาสำหรับเด็กอย่างเหมาะสมผ่านสื่อโทรทัศน์ ซึ่งเป็นสื่อที่เข้าถึงกลุ่มผู้ชมทั่วประเทศได้อย่างครอบคลุมและรวดเร็ว และเป็นสื่อที่เข้าถึงวัยเด็กได้ง่าย โดยกำหนดให้สื่อโทรทัศน์จัดสรรเวลาอย่างน้อย 60 นาทีให้กับรายการสำหรับเด็ก ในช่วงเวลา 16.00-18.00 น..ของทุกวัน และช่วงเวลา 07.00 – 09.00 น. ในวันเสาร์-อาทิตย์  และเมื่อมีการเปิดประมูลโทรทัศน์ดิจิทัลในปี 2557 กสทช.ก็กำหนดให้มีช่องโทรทัศน์สำหรับเด็ก เยาวชน และครอบครัว 3 ช่อง ที่ผลการประมูล คือ ช่อง MCOT Family (บมจ. อสมท.) ช่อง 3 Family (บมจ. บีอีซี เวิลด์)  และ LOCA (บจก. ไทยทีวี) แต่ภายในเวลาเพียง 1 ปี ช่อง LOCA ประกาศยุติการออกอากาศ  และบริษัท ไทยทีวี ยื่นฟ้อง กสทช. จากเหตุความล่าช้าในการขยายโครงข่าย และดำเนินการแจกคูปองโทรทัศน์ดิจิทัล จนชนะคดีในปี 2564 กสทช. ต้องจ่ายคืนเงินค่าใบอนุญาต รวมถึงต้องคืนหนังสือค้ำประกันทั้งหมด หากคืนไม่ได้ ต้องคืนเป็นเงินสดจำนวน 1,750 ล้านบาท (อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/marketing/news-626338) ตามมาด้วยการขอคืนใบอนุญาตของ ช่อง MCOT Family ที่ได้รับค่าชดเชยการคืนใบอนุญาตสุทธิ จำนวน 161,034,083.65 บาท  (อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.mcot.net/view/8t1mYej) และช่อง 3 FAMILY ได้รับค่าชดเชยการคืนใบอนุญาตสุทธิ จำนวน 158,604,975.10  บาท  (อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://techsauce.co/news/nbtc-paid-compensation-to-3sd-3-family) ปิดฉากการมีช่องโทรทัศน์สำหรับเด็ก เยาวชน และครอบครัว ด้วยเหตุผลเพราะไม่สามารถสร้างความสำเร็จในทางธุรกิจ เหลือเพียงรายการเด็กในผังรายการช่องโทรทัศน์ทั่วไปที่ก็มิได้มีสัดส่วนตามกำหนดในประกาศ กสทช. กับ ช่อง ALTV ที่องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ได้รับใบอนุญาตในกลุ่มช่องบริการสาธารณะ หมวดหมู่เด็ก เยาวชน และครอบครัว

ข้อมูลจากหนังสือ ‘5 ปีบนเส้นทางทีวีดิจิทัล บทเรียนและการเปลี่ยนแปลง’ โดยสำนักงาน กสทช. ตีพิมพ์ในปี 2562 ระบุว่า ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมาของการออกอากาศในระบบโทรทัศน์ดิจิทัล ช่อง MCOT Family เป็นช่องที่มีรายได้รวมน้อยที่สุด ที่ 157 ล้านบาท ด้วยเหตุผลว่า กลุ่มช่องหมวดหมู่ เด็ก เยาวชน และครอบครัว เป็นช่องที่หารายได้ในเชิงธุรกิจยาก เพราะต้องมีเนื้อหารายการสำหรับเด็กและเยาวชน ส่งผลให้มีข้อจำกัดในการหารายได้จากโฆษณาที่เหมาะสมกับกลุ่มผู้ชมดังกล่าว

ผลสำรวจผังรายการสำหรับเด็กจากโทรทัศน์ดิจิทัล 19 ช่อง ในเดือนตุลาคม 2564 โดย กสทช. (ไม่รวมช่องรายการเด็ก ALTV ซึ่งอยู่ระหว่างทดลองออกอากาศในปีดังกล่าว และช่องกีฬา T-Sports) สะท้อนปัจจัยที่ทำให้รายการสำหรับเด็กในช่องโทรทัศน์ดิจิทัลลดน้อยลงมาก เหตุเพราะอุตสาหกรรมโทรทัศน์ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ ซ้ำเติมด้วยการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 การคืนใบอนุญาตของกลุ่มช่องบริการธุรกิจ หมวดหมู่เด็ก เยาวชน และครอบครัว การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยียุคดิจิทัล ทำให้รายการสำหรับเด็กที่เป็นรายการสำหรับผู้ชมเฉพาะกลุ่ม กระจายตัวไปสู่ช่องทางออนไลน์มากขึ้น รวมถึงปัญหาการผลิตรายการสำหรับเด็กที่ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างความประทับใจให้แก่ผู้รับชม เพื่อให้รายการได้รับความนิยมในวงกว้าง และความยากในการหาผู้สนับสนุน กลายเป็นข้อจำกัดทางธุรกิจ

เปิดผลสำรวจโทรทัศน์ไทย มี.ค. 67 พบรายการเข้าข่ายรายการเด็ก 2.68% ขณะรายการเด็กประเภท ป และ ด เป็นศูนย์  

Media Alert กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ทำการศึกษาเพื่อสำรวจสัดส่วนรายการสำหรับเด็กจากผังรายการโทรทัศน์ดิจิทัลเดือนมีนาคม 2567 ของทุกช่อง รวม 21 ช่อง โดยใช้หลักเกณฑ์การจัดทำผังรายการฯ ของ กสทช.ที่กำหนดรายการสำหรับเด็กเป็นรายการประเภท ป (ปฐมวัย) สำหรับวัย 3-5 ปี รายการประเภท ด (วัยเรียน) สำหรับวัย 6-12 ปี  ร่วมกับการจำแนกเป็นรายการที่เข้าข่ายรายการสำหรับเด็กทั้งระดับ ป และ ด ทั้งที่แสดงหรือไม่แสดงระดับความเหมาะสม หรือแสดงเป็น ท (ทุกวัย) ตามเกณฑ์ 5 ข้อ ที่พัฒนาจากการศึกษาเรื่อง “รายการโทรทัศน์สำหรับเด็ก” โดยมีเดียมอนิเตอร์ (มกราคม 2549) ได้แก่ 1)  ชื่อรายการสื่อเนื้อหาและกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็ก เช่น จิ๋วซ่านักประดิษฐ์ 2) เรื่องย่อ คำอธิบายรายการ และเนื้อหาที่ระบุ หรือมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็ก 3) มีตัวละคร ผู้ร่วมรายการ ผู้ดำเนินรายการหลักที่เป็นเด็ก นักเรียน ครู หรือผู้ปกครอง และมีการสื่อสารที่มุ่งถึงกลุ่มเด็ก 4) รูปแบบการนำเสนอดึงดูดความสนใจกลุ่มเป้าหมายเด็ก เช่น การ์ตูน แอนิเมขัน หุ่นเชิด และ 5) ผู้สนับสนุนหลักเป็นสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้องกับเด็ก หรือมีกลุ่มเป้าหมายเป็นเด็ก เช่น ขนมขบเคี้ยว นม ของเล่น

ผลการศึกษา พบว่า เมื่อพิจารณาจาก “รายการที่มีเนื้อหาเหมาะสมสำหรับเด็ก” มีเพียงรายการเข้าข่ายรายการสำหรับเด็ก รวม 81 รายการ แต่ไม่พบการระบุระดับรายการสำหรับเด็กประเภท ป และ ด เลย ทั้งพบว่า ทั้ง 81 รายการ มีเวลาออกอากาศรวมเพียง 5,668 นาที/สัปดาห์ หรือ ร้อยละ 2.68 ต่อสัปดาห์ จากเวลาออกอากาศของทั้ง 21 สถานี รวม 211,680 นาที/สัปดาห์ เมื่อพิจารณาการจัดระดับเนื้อหารายการ พบเป็นรายการที่ไม่ระบุระดับ 62 รายการ รวม 2,765 นาที/สัปดาห์ หรือร้อยละ 1.31 โดยรายการส่วนใหญ่มาจากช่องทีวีเรียนสนุก ALTV มากที่สุด จำนวน 51 รายการ  ที่เหลือมาจากช่องบริการสาธารณะอื่น ๆ 11 รายการ เช่น โทรทัศน์รัฐสภา และพบรายการที่ระบุระดับ ท จำนวน 19 รายการ คิดเป็นเวลา 2,903 นาที/สัปดาห์ หรือร้อยละ 1.37 โดยส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดเป็นรายการจากกลุ่มช่องประเภทบริการธุรกิจ แต่พบบ้างในช่องประเภทบริการสาธารณะ เช่น สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก (ททบ.5) และโทรทัศน์รัฐสภา

สำหรับการออกอากาศตามช่วงเวลา พบว่า มี 45 รายการ จาก 81 รายการ ที่ออกอากาศตรงกับช่วงเวลาสำหรับเด็ก เยาวชน ครอบครัว ตามเกณฑ์ของ กสทช.

เมื่อนำมาทั้ง 81 รายการ มาจำแนกตาม “ประเภทใบอนุญาต” พบรายการที่เข้าข่ายรายการสำหรับเด็กในกลุ่มช่องประเภทบริการสาธารณะ 65 รายการ โดยพบมากที่สุด 51 รายการ ในช่อง ALTV อีก 16 รายการ พบในกลุ่มช่องประเภทบริการธุรกิจ โดยช่อง True4U  มีจำนวนรายการออกอากาศมากที่สุด 4  รายการ แต่เมื่อเปรียบเทียบจำนวนเวลาการออกอากาศระหว่างช่องประเภทบริการสาธารณะ และประเภทบริการธุรกิจโดยภาพรวมทั้งหมด กลับพบว่า มีสัดส่วนใกล้เคียงกัน คือ ประเภทบริการสาธารณะ 2,835 นาที/สัปดาห์ และ ประเภทบริการธุรกิจ 2,833 นาที/สัปดาห์ สะท้อนให้เห็นว่า รายการโทรทัศน์สำหรับเด็กที่มีจำนวนรายการมากขึ้น ไม่ได้ทำให้เวลาออกอากาศโดยรวมของรายการโทรทัศน์สำหรับเด็กที่พบ มีจำนวนเวลาการออกอากาศมากตามไปด้วย

เปรียบเทียบผลสำรวจเดือนม.ค. 66 และ มี.ค. 67 พบเพิ่มทั้งจำนวนรายการและเวลาแต่ในสัดส่วนที่ยังต่ำ

เมื่อเปรียบเทียบผลสำรวจรายการที่เข้าข่ายรายการสำหรับเด็กในผังรายการของเดือนมกราคม 2566 กับ เดือนมีนาคม 2567 ที่ดำเนินการโดย Media Alert พบว่า มีจำนวนรายการเพิ่มขึ้นจาก 57 รายการ เป็น 81 รายการ มีสัดส่วนเวลาในการออกอากาศจากเดิมร้อยละ 1.5ต่อสัปดาห์ เพิ่มเป็นร้อยละ 2.68 ต่อสัปดาห์ โดยกลุ่มช่องประเภทบริการสาธารณะที่มีรายการเพิ่มขึ้น ได้แก่ ข่อง ALTV, NBT และ ททบ.5 แต่พบเท่าเดิมในช่อง Thai PBS, โทรทัศน์รัฐสภา และ T-Sports

กลุ่มช่องประเภทบริการธุรกิจพบรายการเพิ่มมากขึ้นในช่อง TNN24, True4U,  MCOT HD และ 3HD แต่พบเท่าเดิมในช่อง Workpoint Mono29, Thairath TV, และ 7HD  กับพบจำนวนรายการลดลงในช่อง GMM25 คือ จาก 2 รายการเหลือ 1 รายการ และ One31 จาก 1 รายการ เป็นไม่มีอยู่ในผังรายการ ส่วนกลุ่มที่ไม่พบรายการที่เข้าข่ายรายการสำหรับเด็ก จากการสำรวจผังรายการทั้ง 2 ครั้ง ได้แก่ ช่อง JKN18, Nation, ช่อง 8, Amarin TV และ PPTV HD

เปรียบเทียบผลสำรวจเดือนม.ค. 66 และ มี.ค. 67 พบเพิ่มทั้งจำนวนรายการและเวลาแต่ในสัดส่วนที่ยังต่ำ

สถานการณ์รายการโทรทัศน์สำหรับเด็กที่ไม่เป็นไปตามนโยบาย ทั้งไม่เติบโตทางธุรกิจ

ความพยายามของประเทศไทยในการส่งเสริมให้โทรทัศน์ดิจิทัลออกอากาศรายการที่มีเนื้อหาสำหรับเด็กและเยาวชน ไม่ได้มีแค่เพียงประกาศของ กสทช. แต่ยังมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พ.ศ.2558 และการจัดตั้งกองทุน เพื่อให้สื่อมีแหล่งเงินทุนในผลิตและเผยแพร่เนื้อหาสำหรับเด็กที่มีคุณภาพ ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็กและเยาวชน

ผลการศึกษาผังรายการในเดือนมกราคม 2566 และเดือนมีนาคม 2567 โดย Media Alert  ชี้ให้เห็นว่า การจัดระดับความเหมาะสมของรายการประเภท ป และ ด ไม่ได้มีการบังคับใช้อย่างจริงจัง สังเกตจากการพบรายการที่มีเนื้อหาเข้าข่ายรายการสำหรับเด็ก แต่ไม่ระบุความเหมาะสม หรือจัดให้อยู่ในประเภท ท หรือ สำหรับผู้ชมทั่วไป สะท้อนถึงการไม่ให้ความสนใจในการระบุว่ามีเนื้อหาเหมาะสมสำหรับผู้ชมที่เป็นเด็ก อีกทั้งแต่ละช่องมีการจัดความเหมาะสมของเนื้อหาที่แตกต่างกัน และยังขาดการกำกับดูแลอย่างจริงจังจากหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ ส่วนสัดส่วนเวลาในการออกอากาศ แม้เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.5 ต่อสัปดาห์ ในปีที่แล้ว มาเป็นเพียงร้อยละ 2.68 ต่อสัปดาห์ในปีนี้ ก็สะท้อนว่า โทรทัศน์ดิจิทัลไทยยังไม่ให้ความสำคัญมากพอต่อการให้ช่วงเวลาเพื่อรายการสำหรับเด็ก

ALTV กลายเป็นโทรทัศน์ดิจิทัลกลุ่มช่องประเภทบริการสาธารณะ หมวดหมู่รายการเด็ก เยาวชน และครอบครัว ที่รับภาระในการผลิตและออกอากาศเนื้อหารายการสำหรับเด็ก ขณะที่โทรทัศน์ดิจิทัลกลุ่มช่องประเภทบริการธุรกิจ หมวดหมู่รายการเด็ก เยาวชน และครอบครัว ได้แก่ ช่อง 3 Family ช่อง MCOT Family และช่อง LOCA ก็ปิดตัวไปแล้ว สะท้อนว่า การกำหนดให้มีใบอนุญาตโทรทัศน์ดิจิทัล ประเภทบริการธุรกิจ หมวดหมู่รายการเด็ก เยาวชน และครอบครัว ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง ส่วนการกำหนดกลุ่มเป้าหมายผู้รับชมให้กว้างมากขึ้น ไม่เจาะจงเพียงเด็กแต่ เป็น “เด็ก เยาวชน และครอบครัว” ก็แสดงถึงการไม่ให้ความสำคัญกับการพัฒนารายการโทรทัศน์สำหรับเด็ก โดยเฉพาะเจาะจง

Media Alert ขอความชัดเจนของนโยบาย นิยาม และมาตรการสนับสนุน “รายการโทรทัศน์สำหรับเด็ก” และ เสนอให้ ALTV เป็นสถานีโทรทัศน์แห่งชาติเพื่อการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็ก

ผลการศึกษาของ Media Alert เกี่ยวกับการจัดระดับความเหมาะสมของรายการโทรทัศน์สำหรับเด็ก พบว่า การกำหนดหมวดหมู่เป็นโทรทัศน์สำหรับ เด็ก เยาวชน และครอบครัว รวมทั้งการเปิดให้รายการเพื่อสร้างสรรค์สังคม จัดอยู่ในกลุ่มรายการโทรทัศน์สำหรับเด็ก เยาวชน และครอบครัว ทำให้ผู้ประกอบการสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้กว้าง แทนการออกอากาศรายการที่ออกแบบเฉพาะสำหรับเด็ก ดังนั้น การกำหนดนิยามและลักษณะสำคัญของรายการที่แยกขาดจากกลุ่มรายการประเภทอื่น ๆ คือให้เป็นรายการโทรทัศน์สำหรับเด็กอย่างเฉพาะเจาะจง โดยไม่รวมถึงรายการสำหรับเยาวชน ครอบครัว หรือ รายการประเภทสร้างสรรค์สังคมอื่น ๆ  น่าจะแสดงถึงความรับผิดชอบอย่างจริงจังของสังคม โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ ต่อรายการโทรทัศน์สำหรับเด็ก

โดยสรุป Media Alert เสนอให้ปรับแก้กฎหมาย และระเบียบหรือประกาศที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

  1. กำหนดให้รายการโทรทัศน์สำหรับเด็ก คือ รายการสำหรับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ซึ่งสอดคล้องกับข้อกำหนดของผู้ให้บริการเนื้อหาในระดับสากลหรือระหว่างประเทศ ที่ระบุให้วัย 18+ เป็นวัยผู้ใหญ่ (อ้างอิงจากผลสำรวจ “การจัดระดับความเหมาะสมและการขึ้นคำเตือนในทีวีดิจิทัล Netflix และ Prime Video : พบการจัดเรตต่างกันของละครที่ออกอากาศข้ามแพลตฟอร์ม” โดย Media Alert กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ระหว่างวันที่ 15-30 ธันวาคม 2566 ที่พบว่า Netflix และ Prime Video มีการจัดช่วงอายุของผู้ใหญ่ที่เหมือนกัน คือที่ 18+) ซึ่งเป็นวัยที่ควรได้สิทธิ์ในการเข้าถึงสื่อโทรทัศน์ภาคพื้นดิน หรือ การบริการทั่วไป เพื่อพัฒนาการเรียนรู้และประสบการณ์ชีวิต
  2. ควรมีนโยบายที่มุ่งส่งเสริมและสร้างแรงจูงใจให้ทีวีดิจิทัลแต่ละช่องมีรายการสำหรับเด็กอย่างน้อย 1 รายการ ใน 1 สัปดาห์ ในความยาวตามสมควร โดยเป็นรายการที่โดดเด่นเป็น Flagship ที่มีคุณภาพ มีเอกลักษณ์ สร้างทัศนคติทั้งต่อสถานีหรือผู้รับใบอนุญาตและผู้สนับสนุนรายการว่า การมีรายการโทรทัศน์สำหรับเด็ก คือ การแสดงทั้งความรับผิดชอบต่อสังคม และสะท้อนศักยภาพในการสร้างสรรค์รายการ ทั้งเป็นการปฏิบัติตามประกาศ กสทช.
  3. เสนอให้ ALTV กำหนดบทบาทอย่างชัดเจนในการเป็น “โทรทัศน์แห่งชาติสำหรับเด็ก” เพื่อระดมองค์ความรู้และประสบการณ์จากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา องค์กรด้านการพัฒนา เด็ก ฯลฯ ที่ร่วมส่งเสริมให้เกิดรายการต้นแบบที่มีคุณภาพสำหรับเด็กในช่องโทรทัศน์ดิจิทัลไทย
  4. ประกาศให้รายการสำหรับเด็กทางโทรทัศน์ระบบภาคพื้นดินเป็นสิทธิ์ในการเข้าถึงและใช้บริการของเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี และเป็นหน้าที่ในการกำกับดูแลของหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่หรือผู้ให้ใบอนุญาต และเป็นหน้าที่ในการให้บริการขององค์กรผู้รับใบอนุญาต

ประเทศไทยต้องมีรายการโทรทัศน์สำหรับเด็ก ด้วยช่องทางที่เข้าถึงได้ง่าย เป็นการบริการแบบทั่วไปที่ทั่วถึง ตอบสนองสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร เพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้และประสบการณ์ชีวิตสำหรับเด็กทุกคนในทุกช่วงวัย ทั้งช่วงอายุ 3-5 ปี (ประเภท ป) ช่วงอายุ 6-12 ปี (ประเภท ด) ตามประกาศของ กสทช. รวมถึงเพิ่มความสำคัญต่อการจัดระดับ รายการโทรทัศน์สำหรับเด็กในช่วงอายุ 13-17 ปี หรือ ต่ำกว่า 18 ปี ที่ยังไม่มีการระบุในประกาศของ กสทช. โดย กสทช. ต้องจริงจังในการกำกับดูแล และทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ รวมทั้ง สถาบันการศึกษา องค์กรด้านการพัฒนาเด็ก ฯลฯ เพื่อให้ “สื่อโทรทัศน์ดิจิทัลมีบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบในการเป็นสื่อเพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็กหรือผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ทุกคน”

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ใคร ? กำหนดวาระการสื่อสารบนโลกออนไลน์

“กระแสบนออนไลน์” สะท้อน “ความสนใจของคนในสังคม” หรือไม่? 

“ถามหารายการสำหรับเด็ก” ที่หายไป ….

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ