ปี 2564 ดัชนีตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนการลงทุน (ไม่รวมอัตราเงินปันผล) เท่ากับ 14.36% โดยหุ้นขนาด เล็ก-กลาง สร้างอัตราผลตอบแทนที่ดีกว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมอย่างน่าตื่นเต้น ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่ของไทยเอง แกว่งตัวไม่มากนักระหว่างปี ซึ่งสะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจของไทยได้ดี
หากพิจารณาอัตราผลตอบแทนรวม 12 เดือนของตลาดหุ้นไทยรูปสกุลดอลลาร์สหรัฐจะเท่ากับ 2.74% เทียบกับดัชนี Emerging Market ซึ่งเป็นตัวแทนตลาดหุ้นในระดับเดียวกับเรานั้น อัตราผลตอบแทนติดลบ 1.89% ถือว่าดีกว่าเล็กน้อย ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนาม, ยุโรป และสหรัฐฯ นั้นให้อัตราผลตอบแทนโดดเด่นเท่ากับ 35.72%, 10.31% และ 26.89% ตามลำดับ ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 50% ขณะที่ราคาทองคำกลับลดลง 3.61%
ตลาดหุ้นทั่วโลกได้รับแรงสนับสนุนจากการอัดฉีดสภาพคล่องการเงิน และอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเป็นประวัติศาสตร์อย่างยาวนาน ท่ามกลางกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ฟื้นตัวจากการปิดเมืองในปี 2563 เราจึงเห็นอัตราเติบโตของกำไรบริษัท และเศรษฐกิจที่มากกว่าปกติ
อย่างไรก็ดี คาดว่าอัตราการเติบโตเศรษฐกิจทั่วโลกจะเข้าสู่ภาวะปกติในปี 2565 นี้ ดังนั้นอัตราเติบโตของเศรษฐกิจและกำไรในหลายแห่งทั่วโลกก็จะชะลอลงก็ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลแต่อย่างใด เหตุจากฐานตัวเลข แต่การฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของความต้องการในหลายประเทศนั้น ต้องแลกด้วยอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งอย่างรวดเร็วสูงสุดเป็นประวัติการในรอบ 30 ปี ทวีปสหรัฐฯ และยุโรป จากอุปสงค์จำกัดจากการระบาดโควิด-19 ในสายการผลิต และขนส่ง สำหรับปี 2565 นั้น ตลาดหุ้นไทยจะสดใสหรือไม่ เงินจะย้ายฐานจากตลาดหุ้นใหญ่มาตลาดหุ้นภูมิภาคนี้หรือไม่ เราควรติดตามปัจจัยอะไรบ้าง
สำหรับประเด็นที่น่าติดตามในปี 2565 (หลักทรัพย์บัวหลวงคาดการณ์กำไรต่อหุ้นจะพุ่งไปที่ 98 บาท หรือเพิ่มขึ้น 18.1% เป้าหมายดัชนีปีนี้คาดแตะ 1,783 หรือใกล้ 1,800 จุด)
1. อัตราเงินเฟ้อจากความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน จากสายการผลิตได้รับผลกระทบจากโควิด-19
รวมถึงระบบขนส่งน่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงไปถึงกลางปี 2565 นี้การปรับราคาสินค้า และการชุมนุมเรียกร้องขอปรับอัตราค่าจ้างจะติดตามมาในหลายประเทศทั่วโลก ช่วงแรกกำไรบริษัทจดทะเบียนจะโตอย่างน่าตื่นเต้นแต่ถัดไปกำลังซื้อจะเริ่มถดถอย และกระทบกำไรให้หดตัวสำหรับประเทศไทย ผลกระทบทางอ้อม จากราคาน้ำมันดิบค่าขนส่งที่สูงขึ้น ผู้ประกอบการน่าจะรับภาระต้นทุนค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มระดับหนึ่งขณะที่ยังไม่สามารถผลักภาระนี้ไปสู่ผู้บริโภคได้ทั้งหมดท่ามกลางกำลังซื้อยังไม่ฟื้นเต็มที่กำไรที่นักวิเคราะห์คาดไว้จะมากเกินจริงหรือไม่
2. การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศสหรัฐและยุโรปที่คาดว่าจะปรับขึ้นราว 3 ครั้ง หรือราว 0.75% น่าจะรับรู้ ในวงกว้างสำหรับตลาดหุ้นการปรับพอร์ตเริ่มเห็นการขายหุ้นขนาดเล็กที่ปรับตัวขึ้นมาก และถ่ายเม็ดเงินไปสู่ หุ้นระดับใหญ่ ก่อนการปรับอัตราดอกเบี้ยนั้นเห็นชัดเจนในตลาดหุ้นสหรัฐ แต่สำหรับประเทศไทยคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะพยายามคงอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำนานต่อไปจนถึงสิ้นปี 2565 หากเป็นเช่นนั้นจริงค่าเงินบาทอาจผันผวนไปทางอ่อนค่าซึ่งตลาดหุ้นไทยมักจะสะท้อนเชิงลบมากกว่า
3. การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ที่กลายพันธุ์อาจสร้างความผันผวนในเกิดขึ้นในตลาดหุ้น แต่ผลกระทบเริ่มเบาลงเทียบกับช่วงแรกที่ระบาดในปี 2563 รัฐบาลและเอกชนเริ่มปรับตัวได้กลุ่มธุรกิจผลิตสินค้าและบริการที่เคยได้รับประโยชน์อย่างมากมายใน 2 ปีทีผ่านมา จากการระบาดโควิด-19 คาดว่ารายได้และกำไรน่าจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้วแนวโน้มราคาหุ้นกลุ่มนี้น่าจะขึ้นได้น้อยกว่าตลาดหุ้นโดยรวม ตรงกันข้ามธุรกิจการเงิน การบริโภค สื่อโฆษณา รถยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีน่าจะได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น ในปี 2565 นี้
4. ระดับราคาน้ำมันดิบน่าจะอยู่ในระดับทรงตัวเฉลี่ย 80 เหรียญต่อบาร์เรลโดยกลุ่มโอเปค และพันธมิตร น่าจะพอใจกับราคาน้ำมันดิบในระดับนี้ และจะเพิ่มกำลังการผลิตต่อวันอีก 4 แสนบาร์เรลช่วงไตรมาสแรกปีนี้ เพื่อให้สมดุลกับความต้องการน้ำมันที่ขยายตัวขณะที่คาดว่าราคาทองคำยังคงอยู่ในทิศทางทรงตัว หรืออ่อนตัวต่อเนื่องในปี 2565 นี้จากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่ารับนโยบายอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นยาวไปอีก 2 ปี
5. ภาวะหนี้ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ใหญ่หลายแห่งในประเทศจีนไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ จะส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยในกลุ่มประเทศอาเซียนเพิ่มสูงขึ้นรวมถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวจากภาคอสังหาริมทรัพย์จะกระทบภาคส่งออกไทยปีนี้ให้ชะลอตัวประกอบกับตลาดหุ้นไทยและเอเซียนั้นซื้อขายสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวในอดีต ก็ถือว่าเป็นความเสี่ยงการเกิด
ผู้เขียน: ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ
บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
มารู้จัก “เทคโนโลยียืนยันตัวตนเปิดบัญชีหุ้น” สุดฮิต
