หลังจากที่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยมาตรการ “เราเที่ยวด้วยกัน” แป็กไม่เป็นท่า รัฐบาลก็งัดมุกใหม่มาเล่น คราวนี้ปัดฝุ่น “ชิมช้อปใช้เวอร์ชั่นหาบเร่-แผงลอย” หวังฟื้นเศรษฐกิจฐานราก ที่เพิ่งประชุมเมื่อวันที่ 2 กันยายนที่ผ่าน โดย “ศบศ.” ที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน
ในที่ประชุมมีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายรอบใหม่ เพื่อลดค่าครองชีพประชาชนวงเงินคนละ 3,000 บาท โดยมุ่งเน้นให้นำเงินไปใช้จ่ายกับผู้ประกอบการรายย่อย อาทิ หาบเร่ แผงลอย ร้านก๋วยเตี๋ยว อาหารตามสั่ง ร้านขายหมูปิ้ง เป็นต้น ตอนนี้กำลังดูวงเงินที่จะให้ใช้จ่ายในแต่ละวันไม่เกิน 100-250 บาทต่อวัน ต้องใช้เงินตัวเอง 50% เพราะรัฐจ่าย 50% ซึ่งจะทยอยจ่ายให้ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังทุกวัน คนที่มีสัญชาติไทยอายุ 18 ปีขึ้นไปมีสิทธิทุกคน เบ็ดเสร็จกลุ่มนี้จะมีราว ๆ 15 ล้านคน
นโยบายนี้จะคล้าย ๆ กับนโยบายหลักของรัฐบาลจีนในการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น ที่ถือว่ากำลังประสบความสำเร็จอย่างดี
รัฐบาลจีนได้ใช้เมืองเฉินตูเป็นโครงการนำร่อง โดยจัดหาบเร่แผงลอยเคลื่อนที่คล้าย ๆ กับตลาดนัดบ้านเราราว 36,000 ราย ช่วยทำให้เกิดการจ้างงานถึง 100,000 คน และช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย และสร้างสีสันให้แก่เมืองเป็นอย่างมาก
หลังจากประสบความสำเร็จอย่างดี เมืองเฉิงตูก็ขยายโครงการด้วยการเพิ่มหาบเร่แผงลอยอีกกว่า 2,230 ราย และร้านค้าเล็กใหญ่จำนวนราว 17,750 แห่ง ก็ได้รับอนุญาตให้ขยายพื้นที่ออกมาด้านนอกได้ ซึ่งช่วยทำให้ร้านอาหารมีระดับการจ้างงานสูงถึง 98% ของจากปกติ
จะเห็นว่ารัฐบาลจีนแก้ปัญหาไม่ได้มีอะไรสลับซับซ้อน แก้แบบชั้นเดียวเชิงเดียวง่าย ๆ แต่ที่ต้องยอมรับตรงที่รัฐบาลจีนเก่งในเรื่องข้อมูลและกระแสความรู้สึกของภาคประชาชน มีมุมมองเชิงบวกของการเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส จะเห็นว่าทุกครั้งมีวิกฤติจีนเป็นประเทศเดียวในโลกที่สร้างโอกาสใหม่ ๆ ได้เสมอ
ดังนั้น แทนที่จะปล่อยให้ตำรวจเทศกิจตรวจจับหาบเร่แผงลอย รัฐบาลท้องถิ่นกลับผ่อนคลายกฎระเบียบให้ผู้ค้าผู้ขายได้มีช่องทางในการสร้างรายได้ เพื่อต่อสู้กับวิกฤติเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ รัฐบาลกลางที่ปักกิ่งเห็นเมืองเฉิงตูประสบความสำเร็จ จึงเดินหน้าเร่งยกระดับให้เป็นนโยบายสำคัญในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจกันเลย
การที่รัฐบาลกลางเอาจริงเอาจังส่งผลให้รัฐบาลท้องถิ่นในเมืองต่าง ๆ มากกว่า 30 เมือง ไม่ว่าจะเป็นเซี่ยงไฮ้ หูเป่ยต่างตอบรับทันที แถมนำนโยบายหาบเร่แผงลอยไปต่อยอดตลาดกลางคืนที่เขาเรียกว่า “เศรษฐกิจยามราตรี“ เป็นการสร้างสีสันให้กับเมืองด้วยกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย บางเมืองจัดเป็นกิจกรรมต่อเนื่อง 3 วัน 3 คืน กันเลยทีเดียว
นโยบายดังกล่าวกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดให้ร้านค้าขนาดใหญ่และห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ เข้าร่วมจัดแคมเปญ เปิดให้คนมาร่วมขายอาหาร ขายของกินเล็ก ๆ น้อย ๆ บรรดาเมืองต่าง ๆ ก็พากันประกาศผ่อนคลายกฎระเบียบเพื่ออำนวยความสะดวกทำให้เกิดผู้ประกอบการรายใหม่มากมาย
สถาบันการเงินต่าง ๆ ก็ออกมาร่วมสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ ธุรกิจยักษ์ใหญ่ ทั้งอาลีบาบา เจดีดอทคอม เทนเซนต์ ก็สนับสนุนทางการเงินและอื่น ๆ ที่ช่วยเหลือหาบเร่แผงลอยและกิจการขนาดเล็กกันอย่างคึกคัก รัฐบาลจีนประเมินว่า นโยบายใหม่นี้จะเพิ่มการจ้างงานและกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในแต่ละเมืองได้เป็นอันมาก
อย่างที่บอกว่านโยบายของเราก็คล้าย ๆ กับนโยบายของจีน แต่คิดแบบกลับหัวกลับหางกัน
จีนเน้นไปที่แก้ปัญหาคนว่างงาน สร้างผู้ประกอบการใหม่ แต่ของเราเน้นแจกเงินให้คนที่อยู่บ้ายเฉย ๆ เอาเงินไปซื้อของกิน
เพียงแต่ที่ผ่านมาเงินไปตกอยู่ในกระเป๋ากลุ่มทุนค้าปลีกเป็นส่วนใหญ่ แต่คราวนี้จะเน้นไปที่พ่อค้าแม่ค้ารายย่อย ก็ไม่รู้ว่าจะได้ผลมากน้อยแค่ไหน
อันที่จริงเราก็น่าจะทำคู่กันได้ ด้านหนึ่งใส่เงินในกระเป๋าให้คนไปใช้จ่าย อีกด้านหนึ่งก็ช่วยผ่อนปรนด้วยการลดกฏระเบียบของกทม.หรือในเขตเมืองใหญ่ให้พ่อค้าแม่ค้าได้ขายของไม่ต้องโดนรีดไถค่าเช่าพื้นที่แพง ๆ อีกทั้งให้แบงก์รัฐเข้าไปปล่อยสินเชื่อให้ถึงมือซึ่งน่าจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากจริง ๆ
ทวี มีเงิน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
