TH | EN
TH | EN
หน้าแรกColumnistขุนคลังคนใหม่ ...ในยามศก.“ไร้ความเชื่อมั่น”

ขุนคลังคนใหม่ …ในยามศก.“ไร้ความเชื่อมั่น”

การลาออกของ “ปรีดี ดาวฉาย” ขุนคลังหมาด ๆ นั่งเก้าอี้ก้นไม่ทันร้อน ต้องลุกจากไปชนิดที่คาดไม่ถึง คงไม่มีใครรู้สาเหตุว่าอะไร คือ “ฟางเส้นสุดท้าย” แม้เจ้าตัวจะยืนยันว่าเนื่องมาจากปัญหาสุขภาพ แต่ก็คงเป็นแค่ “ฟางเส้นเล็ก ๆ ”

แต่คนระดับนี้จะตัดสินใจอะไรทั้งที่รู้ว่าผลตามมาจะเป็นเช่นไรนั้น ย่อมเกิดจาก “ฟางหลาย ๆ เส้น” ประดังเข้ามา ทั้งปัญหาการบริหารงานที่ไม่มีอำนาจเด็ดขาดจริง ๆ ต้องขึ้นกับรองนายกฯ​ เศรษฐกิจ จนถึงนายกรัฐมนตรี และศบค.ด้านเศรษฐกิจ กว่าจะผลักดันงานออกมาได้ ต้องฝ่าหลายด่าน ทั้งที่รัฐมนตรีคลัง คือ หัวใจสำคัญในการบริหารเศรษฐกิจ หรือบางทีปรีดีอาจจะไปเห็นตัวเลขเศรษฐกิจที่หนักกว่าที่คาด รวมถึงปัญหาการเมืองที่อาจจะไปชนตอเบ้อเริ่มเทิ่มขวางอยู่

ปรีดีที่ผ่านการทำงานในฐานะมืออาชีพมาอย่างโชกโชน คงคิดด้วยความรอบคอบ และคงจะหักกลบกันระหว่างขืนอยู่ต่อไปกับตัดสินใจไปตอนนี้ อะไรจะเสียหายกับบ้านเมืองน้อยกว่ากัน

แม้คนในรัฐบาลจะยืนยันว่าการลาออกของปรีดีไม่มีผลกระทบต่อการทำงาน ซึ่งในเชิงนโยบายอาจไม่กระทบเท่าไรเพราะยังไม่ได้ลงมือทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ในทาง​ “จิตวิทยา” ย่อมส่งผลกระทบอย่างมิอาจปฏิเสธได้ อย่าลืมว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นย่อมส่งผลกระทบกับความเชื่อมั่นและท่าทีของนักลงทุนไทย รวมถึงนักลงทุนต่างชาติ กระทบกับความมั่นใจของประชาชนในการแก้ปัญหาของรัฐบาล

ต้องยอมรับว่าหลังจาก “ดร.อุตตม สาวนายน”​ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง กว่าที่จะมีรัฐมนตรีว่าการคนใหม่ก็เกิด “สุญญากาศ”​ ในกระทรวงคลังนานพอสมควร แม้จะมี “สันติ พร้อมพัฒน์” รัฐมนตรีช่วยฯ รักษาการอยู่ แต่ก็ไม่มีผลต่อความเชื่อมั่นของภาคเอกชน เพราะแทบไม่มีใครจำได้ว่าเขาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคลัง

ครั้นมีรัฐมนตรีฯ ใหม่ที่มาจากภาคเอกชน เป็นมืออาชีพจากสถาบันการเงินชั้นนำของประเทศ ก็พอจะเรียกความเชื่อมั่นมาได้ แต่ก็มาด่วนตัดสินใจลาออกเสียก่อน แถมทิ้งปริศนาไว้มากมาย จนอาจจะเป็นเงื่อนไขที่ทำให้คนนอกไม่กล้าเข้ามารับตำแหน่ง

ไม่ว่ารู้ว่ากว่าจะมีรัฐมนตรีคลังคนใหม่มารับตำแหน่งจะเกิดสุญญากาศอีกนานแค่ไหน และคนใหม่ที่มาแทนจะมีบารมีพอเรียกความเชื่อมั่นได้หรือไม่ แต่เท่าที่มีข่าวว่า “สันติ พร้อมพัฒน์” สนใจ และพรรคพลังประชารัฐก็ผลักดัน แต่ในยามประเทศเผชิญวิกฤติหนักอย่างนี้ ต้องได้รัฐมนตรีที่มีบารมีเรียกความเชื่อมั่นได้ ลำพังแค่เป็นนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งคงไม่พอ

กระทั่ง “ไพรินทร์ ชูโชติถาวร”​ยาสามัญประจำบ้านของลุงตู่ ที่ก่อนหน้านี้เป็นแคนดิเดทรัฐมนตรีพลังงาน แม้จะมีความรู้ความสามารถคนหนึ่ง แต่การที่จะมานั่งในตำแหน่งรัฐมนตรีคลังนั้น ก็อาจจะผิดฝาผิดตัว เพราะไพรินทร์นั้นจบมาด้านวิศวกรรมศาสตร์อยู่กับแวดวงอุตสาหกรรมพลังงานมาตลอด

แต่คนที่จะมาเป็นรัฐมนตรีคลังในยามวิกฤติเช่นนี้นั้นควรจะมีความรู้ความเข้าใจด้านเศรษฐศาสตร์มหาภาคอย่างลึกซึ้ง เข้าใจภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศจริง ๆ ไม่ใช่แค่จุลภาค หรือเข้าใจแต่เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เท่านั้น ในอดีตเคยมีนักบริหารมืออาชีพที่มีชื่อเสียงในสถาบันการเงินหลายคนมานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีคลังต้องมาตกม้าตาย

อีกทั้งบารมีก็ต้องมีเป็นที่ยอมรับ ต้องไม่ปฏิเสธว่าข้าราชการกระทรวงคลังล้วนแต่เป็นคนที่มีความรู้สูง นักเรียนนอกก็มาก หากไม่มีบารมี ไม่เป็นที่ยอมรับ บริหารงานคนไม่ได้ก็อยู่ลำบาก

คุณสมบัติอย่างนี้ นับวันยิ่งจะหายาก ถึงมีก็คงไม่มีใครอยากเอาชื่อเสียงเข้ามาเสี่ยง ไหนจะต้องเจอกับวิกฤติเศรษฐกิจที่หนักหนาสาหัส อย่างที่รู้ ๆ กัน ธุรกิจทยอยปิดกิจการ คนตกงานเป็นรายวัน บัณฑิตจบใหม่เตะฝุ่นหลายแสน ธุรกิจส่งออกโคม่า นักท่องเที่ยวไม่มี แต่การที่ว่างเว้นจากรัฐมนตรีคลังนาน ๆ ยิ่งไม่เป็นผลดีกับเศรษฐกิจ ยิ่งช้ายิ่งเสียหายเพราะยังมีวิกฤติอีกอย่างน้อย 3 ลูกกวักมือเรียกอยู่ไหว ๆ

ลูกแรก 19 กันยายน “ม็อบประชาชนปลดแอก”​ ที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรตามมา ลูกที่ 2 ราวๆ กลางเดือนตุลาคมนี้ มาตรการพักชำระหนี้ของแบงก์ชาติจะครบกำหนด ไม่รู้ว่าจะมีภาคธุรกิจที่ยังเดินหน้าต่อไปได้กี่ราย และจะต้องปิดกิจการเพราะไปต่อไปไม่ไหวอีกกี่ราย และลูกที่3 “โควิด-19” มีโอกาสกลับมาระบาดรอบ 2 ซึ่งกำลังเกิดขึ้นในพม่าอาจจะลามเข้าไทยตามแนวชายแดนได้ซึ่งไม่ควรประมาทอย่างยิ่ง

ฝากถึง “ลุงตู่”​เสียรัฐมนตรีคลังไปแล้วระวังจะเสียรัฐมนตรีพลังงานอีกคน เพราะมีข่าวแว่วว่า นี่คือ เป้าจริงที่ฝ่ายการเมืองต้องโค่นนั่น เท่ากับว่าจะเสียทั้งรองนายกฯเศรษฐกิจและรัฐมนตรีพลังงาน หากเป็นจริงก็ถือว่าเป็นกรรมของประเทศ

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ