TH | EN
TH | EN
หน้าแรกColumnistจับสัญญาณ "รัฐบาลถังแตก” จริงหรือ

จับสัญญาณ “รัฐบาลถังแตก” จริงหรือ

สืบเนื่องจากในการประชุมครม.เมื่อกลางเดือนนี้ มี “เอกสารลับ”​รายงานที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชิ้นหนึ่งหลุดออกมาถึงมือสื่อมวลชน ซึ่งในเอกสารระบุว่าจะขอกู้เพิ่มอีกเกือบ ๆ 7 แสนล้านบาท เพื่อนำมาอุ้มหน่วยงานราชการ พูดง่าย ๆ ว่ามาจ่ายเงินเดือนข้าราชการที่อยู่ได้อีกไม่กี่เดือนนั่นแหละ เพราะเงินคลังเหลือแค่ 139,000 ล้านบาท เท่านั้น

เนื้อหาสาระในเอกสารบางช่วงบางตอนระบุไว้ดังนี้

“…กระทรวงการคลัง ได้มีการทบทวนรายได้รัฐบาลสุทธิในปีงบประมาณ 2563 และคาดการณ์ว่าจะต่ำกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ จำนวน 394,400 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ระดับเงินคงคลัง ณ สิ้นปีงบประมาณอยู่ที่ระดับ 139,898 ล้านบาท ซึ่งไม่สามารถรองรับการเบิกจ่ายของหน่วยงานในช่วงเดือนตุลาคม 2563 ที่จะมีการเร่งการเบิกจ่ายงบอุดหนุนของหน่วยงานต่าง ๆ …

ดังนั้น รัฐบาลจำเป็นต้องกู้เพิ่ม 683,093.92 ล้านบาท เพื่อชดเชยรายได้และภาษีทีเก็บได้ต่ำกว่าเป้า แบ่งเป็นเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณแล้วจำนวน 469,000 ล้านบาท จึงเหลือวงเงินกู้สำหรับกรณีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ไม่เกิน 214,093.92 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม เงินกู้ดังกล่าวยังไม่รวมวงเงินกู้และอัดฉีดมาตรการโควิด-19 อีกราว 1.9 ล้านล้านบาท รวมปีเดียวรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา กู้เงินมือเติบทะลุ 2.5 ล้านล้านบาท

จากเอกสารที่หลุดอกกมาเมื่อดูเนื้อหาสาระแล้วจนนำไปสู่กระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วว่า รัฐบาลกำลังตกอยู่ในภาวะ ‘ถังแตก’ แม้กระทรวงคลังจะออกมาอรรถาธิบายถึงความจำเป็นเรื่องการกู้เงินพร้อมกับย้ำว่ารัฐบาลยัง “ไม่ถังแตก” แต่ก็ไม่สามารถคลายข้อสงสัยได้

ประเทศไทยตอนนี้หากเปรียบเป็นตัวบุคคลก็เหมือนคนที่กู้เงินเป็นหนี้จนเต็มเพดานแล้ว แต่ไม่มีปัญญาจ่ายคืนเจ้าหนี้เพราะรายได้ลดเนื่องจากไม่มีงานทำไม่มีรายได้เข้าบ้าน จึงต้องไปกู้เงินเพิ่มเพื่อโปะหนี้เดิม หรือเรียกอีกอย่างว่า “รีไฟแนนซ์”

พฤติกรรมของรัฐบาลตอนนี้ก็กำลังทำ “รีไฟแนนซ์” ให้ประเทศด้วยการกู้หนี้ใหม่มาโป๊ะหนี้เก่า ซึ่งก็เป็นอย่างนี้มาหลายรัฐบาลแต่ “รัฐบาลลุงตู่” นี่หนักกว่าเพราะมาเจอโควิด-19 ระบาด แต่ที่น่าห่วงตรงกู้มาแล้วแต่ใช้อย่างสุรุ่ยสุร่าย อย่างกรณีแจกเงินเยียวยาผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากโควิด-19 ก็ยิงไม่ตรงเป้า ไม่ช่วยแก้ปัญหาและไม่มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ มาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยวที่ใช้งบฯ กว่า 2 หมื่นล้านก็ไม่เป็นไปตามเป้า ไม่ได้กระตุ้นการท่องเที่ยวแต่อย่างใด

มิหนำซ้ำขณะที่บ้านเมืองประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ กองทัพก็ยังจัดงบประมาณสำหรับซื้ออาวุธ ก่อนหน้านี้ก็กองทัพบกจัดซื้อจากอเมริกา ล่าสุดก็เป็นคิวของกองทัพเรือจะขอซื้อเรือดำน้ำจากจีนอีกกกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท

การใช้เงินของรัฐบาลแทบจะไม่เกิดประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจไม่ได้เป็นไปในทางเพิ่มผลผลิตเพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศแต่อย่างใด

อดีตที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยโตมาด้วยการก่อหนี้ใช้งบประมาณขาดดุลมาตลอด แต่ก็พอกล้อมแกล้มไปได้ เพราะมีรายได้จากการท่องเที่ยวและส่งออกเข้ามาบ้าง แต่เที่ยวนี้ยังไม่รู้ว่าจะมีรายได้จากไหน เพราะทั่วโลกประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจเหมือนกันกำลังซื้อหดหาย

ในขณะที่ยังไม่รู้ว่าจะหารายได้จากไหน หนทางเดียวที่พอจะทำได้รัฐบาลจะต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดที่สุด ใช้อย่างมีประสิทธิภาพให้เกิดประโยชน์สูงสุด อะไรที่พอจะตัดได้ต้องตัด แม้เม็ดเงินอาจจะดูไม่มาก แต่ก็เป็นสัญญาลักษณ์ให้ทุกคนได้เห็นว่าประเทศกำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤติจริง ๆ

อย่างแรกเสนอให้ “ลุงตู่” ใช้ความกล้าหาญ ตัดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็น เช่น ยกเลิกคณะกรรมการที่แต่งตั้งตั้งแต่รัฐบาลคสช. เช่น คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ที่มีกือบ 200 คน องค์กรอิสระต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็น หรือไม่ได้ทำหน้าที่แต่กินเดือนเป็นแสน ๆ รวมถึงหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงต่าง ๆ ของราชการที่ให้ไปดูงานต่างประเทศฟรี ตัดงบฯ พีอาร์งบฯ โปรโมทรัฐมนตรี รวมถึงงบจัดซื้ออาวุธทั้งหลาย

งบประมาณไม่จำเป็นเหล่านี้รวม ๆ กันแล้วหลายหมื่นล้านบาท ถ้าตัดได้เอามากระตุ้นเศรษฐกิจให้ตรงจุด ก็น่าจะพออุดไม่ให้ถังแตกได้

ทวี มีเงิน

ภาพจาก thaigov

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ