TH | EN
TH | EN
หน้าแรกColumnistฤา “เรือดำน้ำ”... มาก่อนปากท้อง

ฤา “เรือดำน้ำ”… มาก่อนปากท้อง

ผลจากโควิด-19 ระบาดแผลงฤทธิ์ แล้วตัวเลข GDP ที่สภาพัฒน์ฯ เพิ่งแถลงข่าวไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็ต้องบอกว่าวิกฤติเศรษฐกิจคราวนี้หนักหนาสาหัสจริง ๆ เมื่อเทียบปีต่อปีกับไตรมาส 2 ปีที่แล้ว ปรากฏว่า ไตรมาส 2 ปีนี้ GDP ติดลบถึง 12.2% เลยทีเดียว

ยิ่งดูไส้ในยิ่งน่าเป็นห่วงหลายเรื่อง ไม่รู้ว่าอีกสองไตรมาสที่เหลือจะหนักกว่านี้หรือไม่ ขณะที่รายได้เข้าประเทศก็ยังมืดมนไร้ทางทางออก ธุรกิจท่องเที่ยวก็ยังไม่มีอนาคต ส่งออกก็ยังไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ ธุรกิจขนาดเล็กไม่รู้ว่าจะกลั้นหายใจอยู่ได้อีกกี่เดือน มีกระแสข่าวว่าอาจจะไม่เกิน 3 เดือนเท่านั้น ตอนนี้มีแต่ข่าวบรรดาธุรกิจทยอยปิดกิจการ ลอยแพพนักงาน คนตกงานแบบรายวัน

แต่คณะอนุกรรมาธิการงบประมาณชุดครุภัณฑ์ ICT ของสภาผู้แทนราษฎร กลับไม่รู้ไม่เห็นเพิ่งลงมติโหวตให้ซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำด้วยงบประมาณ 22,500 ล้านบาท ตามที่กองทัพเรือเสนอมา

กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางไม่เห็นด้วยกับมติดังกล่าว เพราะเห็นว่าขณะนี้รัฐอยู่ในภาวะ ”ถังแตก” สะท้อนจากวันอังคารที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงการคลังกู้เงินเพิ่มอีก 2.14 แสนล้าน สาเหตุที่ต้องกู้เพราะรายได้ปีนี้จะจัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมายถึง 9% ทำให้ไม่พอรายจ่าย

ยิ่งมองในแง่ผลิตภาพทางเศรษฐกิจแล้ว การซื้ออาวุธหรือเรือดำน้ำจากต่างประเทศแทบไม่มีประโยชน์อะไรเลย ไม่ช่วยให้เกิดการจ้างงาน ไม่มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรม ไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือการผลิตใด ๆ ในประเทศแม้แต่น้อย

ยิ่งในยามที่ประเทศเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ชาวบ้านอยู่กันอย่างยากลำบาก รัฐควรใช้จ่ายงบประมาณอย่างคุ้มค่าที่สุด และก่อผลิตภาพทางเศรษฐกิจมากสุด

มีความเห็นจากหลาย ๆ ฝ่ายว่าถ้างบประมาณ 22,500 ล้านบาทสำหรับจัดซื้อเรื่อดำน้ำ 2 ลำนี้เอาไปกระตุ้นเศรษฐกิจ ลงทุนด้านระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานในพื้นที่ขาดแคลน เอาไปเยียวยาคนที่ยังตกหล่น หรือเอาไปจ้างงานนักศึกษาที่จบใหม่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่า

เช่น นำมาช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็ก พ่อค้าแม่ค้าจำนวนมากกำลังรอความช่วยเหลือจากรัฐ งบที่ซื้อเรือดำน้ำที่หากเอามาช่วยผู้ประกอบการให้รอดตาย รายละแสนบาท จะช่วยได้ถึง 2 แสนกว่าราย ถ้าเอางบจำนวนนี้ไปจัดซื้อรถเมล์ไฟฟ้าเพื่อบริการประชาชนทดแทนรถเมล์เก่า ๆ พร้อมรวมค่าซ่อมบำรุง จะได้ประมาณ 1,200 คันหรือเอาไปซื้อตู้รถไฟใหม่ จะได้ 523 ตู้

หากเอาไปเปลี่ยนถนนลูกรัง เป็นถนนลาดยางกว้าง 8 เมตร จะได้ระยะทางประมาณ 7,000 กิโลเมตร หรือคิดเป็นระยะทางยาวกว่ากรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ถึง 10 เท่า หรือเอาเงินไปแจกชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างเช่น นโยบายเงินเยียวยาโควิด-19 เดือนละ 5,000 บาท รวม 15,000 บาท จะแจกเพิ่มได้อีก 1,500,000 คน

ทั้งหมดนี้เพียงแค่บางส่วนของปัญหาในบ้านเราที่จำเป็นกว่าเรือดำน้ำ อีกทั้งเมื่อซื้อมาแล้วไม่รู้ว่าจะใช้งานจริงได้หรือไม่ มีผู้เชี่ยวชาญทางทะเลบางคนตั้งข้อสังเกตว่า สภาพของเรือดำน้ำอาจจะไม่สอดคล้องกับความลึกในอ่าวไทยเนื่องจากระดับความลึกในอ่าวไทย ลึกที่สุด 80 เมตรอยู่ตรงแทบจะปากอ่าวไทย เรียกว่าแทบจะพ้นน่านน้ำไทยไปแล้ว จะดำไปทางไหนเครื่องบินตรวจจับเรือดำน้ำตามเจอหมดจึงแทบไม่มีประโยชน์อะไรเลย

หรือบริเวณน้ำลึกจริง ๆ คือ ทะเลจีนใต้ตรงรอบ ๆ หมู่เกาะสแปรตลีย์ กับทะเลอันดามันออกไปนั้น พ้นน่านน้ำไทยทั้งหมด ดังนั้น เรือดำน้ำจึงไม่มีคุณค่าทางยุทธการใด ๆ เมื่อเทียบกับราคาของมันที่แพงลิบลิ่ว

การซื้อเรือดำน้ำในครั้งนี้จึงเป็นเรื่องไม่ถูกที่ถูกเวลา ไม่เหมาะสม เพราะสร้างภาระให้แก่ฐานะการเงินการคลังของประเทศ และก่อหนี้ให้เราทุกคนโดยไม่จำเป็น ทั้งที่หนี้สาธารณะที่เป็นหนี้ของคนไทยทั้งประเทศที่อยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง

ฉะนั้น รัฐบาลและคณะกรรมาธิการงบประมาณที่จะพิจารณาขั้นตอนต่อไป ควรจะงดซื้อเรือดำน้ำทั้ง 2 ลำนี้โดยไม่มีเงื่อนไข เนื่องประเทศอยู่ในภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ และผลกระทบจากโควิดที่ยังไว้ใจไม่ได้

แต่ถ้ายังยืนยันว่าเรือดำน้ำมีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศแสดงว่ารัฐบาลยังให้ความสำคัญกับเรื่องของความมั่นคงมากกว่าปัญหาปากท้องของประชาชนอย่างมิอาจปฏิเสธได้

ทวี มีเงิน

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ