TH | EN
TH | EN
หน้าแรกSustainabilityRISE ชี้ความเสี่ยงทางสภาพภูมิอากาศเป็นปัญหาใหญ่ พร้อมแนะภาคธุรกิจไทยปรับตัวเพื่อความยั่งยืน

RISE ชี้ความเสี่ยงทางสภาพภูมิอากาศเป็นปัญหาใหญ่ พร้อมแนะภาคธุรกิจไทยปรับตัวเพื่อความยั่งยืน

ภาคธุรกิจไทยอาจไม่สามารถอยู่รอดได้ หากโลกใบนี้ล่มสลายเพราะปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ที่กำลังมีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตของระบบนิเวศเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ตอนนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าโลกกำลังเผชิญกับภัยคุกคามทางวิกฤติสภาพภูมิอากาศครั้งใหญ่ ดังนั้นการปรับตัวเพื่อการเปลี่ยนแปลงของภาคธุรกิจกำลังจะกลายเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนที่จะช่วยลดภาวะโลกร้อน และวิกฤติทางสภาพภูมิอากาศในครั้งนี้ได้

RISE สถาบันเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กร ตอกย้ำการเป็นผู้สร้างระบบนิเวศด้านนวัตกรรมองค์กรผ่านเครือข่ายทั่วโลก จึงจัดเวทีสัมมนา Sustainable Executive Forum ภายใต้หัวข้อ “Climate Catalyst: Unveiling the Risks and Opportunities for Humanity and Corporations” ถ่ายทอดแนวคิดมุมมองการทำธุรกิจบนเส้นทางความยั่งยืนท่ามกลางวิกฤติสภาพภูมิอากาศ (Cliamte Change) ให้อยู่รอด โดยมี เกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) และธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด

เกียรติชาย ผู้อำนวยการองค์การบริหารก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) กล่าวว่า วิกฤติสภาพภูมิอากาศ สร้างความเสี่ยงมากมายให้แก่โลกไม่ว่าจะเป็นอากาศแปรปรวน ร้อนสุดขั้วจนเกิดคลื่นความร้อน ฝนตกรุนแรงน้ำท่วมในพื้นที่ที่ไม่ควรเกิด ปัญหาไฟไหม้ป่า ฝุ่น PM 2.5 ปัญหาเหล่านี้ส่งผล กระทบโดยตรงต่อระบบ ecosystem ไม่ว่าจะเป็นด้านการผลิต อุตสาหกรรม ภาคเกษตรกรรม แน่นอนว่าความเสี่ยงเหล่านี้สร้างความหวาดกลัว และตื่นกลัวให้กับประชาชน ภาครัฐ รวมทั้งภาคธุรกิจอย่างมาก โดยเฉพาะภาคธุรกิจที่ในอนาคตหากยังไม่เร่งปรับตัวจะได้รับผลกระทบเต็ม ๆ เพราะวิกฤติสภาพภูมิอากาศส่งผลมาถึงระบบซัพพลายเชนอย่างเลี่ยงไม่ได้

ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ส่งผลให้หลายประเทศ เริ่มที่จะออกมาตรการเพื่อทำการ Adoption หรือการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตามที่ประชุม COP: Conference of the Parties เป็นการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญา สหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะ EU ที่เริ่มมีการออกมาตรการ CBEM เพื่อควบคุมคาร์บอนไดออกไซด์ในการขนสินค้าข้ามแดน เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนในพื้นที่ และหลาย ๆ บริษัทฝั่งยุโรป และสหรัฐอเมริกาเริ่มมีการตื่นตัว และกำหนดให้การปล่อยคาร์บอน์ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นหนึ่งในข้อตกลงที่จะทำการค้าระหว่างองค์กรและองค์กร

ดังนั้นการค้าการลงทุนนับจากนี้จะต้องดำเนินการตามมาตรการใด ๆ ก็ตามแต่เพื่อที่จะเป็นการลดอัตราการปล่อยคารบอนออกไซด์ เพื่อสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutrality) และ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero emissions) วันนี้ภาคธุรกิจปฏิเสธที่จะไม่ทำธุรกิจเพื่อความยั่งยืนของโลกใบนี้ไม่ได้อีกแล้ว เพราะหากไม่เร่งดำเนินการจะทำให้ธุรกิจของเราหลุดออกเทรนด์ และมีโอกาสการต่อยอดกับต่างประเทศไทยได้ลดน้อยลง

ทางด้าน ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยต่อว่า การที่จะลดคาร์บอน หรือ ก๊าซเรือนกระจกนับจากนี้ องค์กรจะต้องเริ่มปรับเปลี่ยนตัวเอง โดยเฉพาะการหาเทคโนโลยีมาดิสรัปชัน ด้วยการทำการจัดเก็บคาร์บอน และตรวจวัดการปล่อยคาร์บอน เพื่อให้รู้ว่าปล่อยไปเท่าใด และจะต้องหามาชดเชยเท่าใด โดยที่ผ่านมาไมโครซอฟท์ได้ให้ความสำคัญกับการวางกลยุทธ์ตาม SDGs คือการให้ความสำคัญในด้านพลังงาน ด้านน้ำ และด้านการปล่อยของเสีย เป็นอย่างมาก แน่นอนว่าต่อไปองค์จะไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบหรือ วิกฤตสภาพอากาศ เพราะเราอยู่ใน ecosystem ดังนั้นการทำธุรกิจจะต้องคำนึงถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอน เพื่อช่วยขับเคลื่อนให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

สำหรับแนวทางการทำธุรกิจในรูปแบบ sustainability ของไมโครซอฟท์ เรามองเรื่องผลประโยชน์มากกว่า เพราะความยั่งยืนไม่ใช่การทำสังคมสงเคราะห์ โดยไมโครซอฟท์มีการทำระบบข้อมูลผ่านมาตรการ 5R ได้แก่ Record , Report, Reduce, Remove, Replace ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะให้สามารถรู้สถานะคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) ของตนเองและปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินธุรกิจแบบยั่งยืนได้ตรงตามเป้าหมาย

นพ.ศุภชัย ปาจรยานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง RISE สถาบันเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กร อธิบายถึงการสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน เปลี่ยนวิกฤตสภาพอากาศ เป็นโอกาส ทางธุรกิจในประเทศไทยไว้ว่า “ปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศกลายเป็นเมกะเทรนด์ขนาดใหญ่ของโลกรองลงมาจาก AI การทำธุรกิจบนแนวทาง sustainability ไม่ได้เป็นการทำเพราะกระแสทางการตลาดอีกต่อไป เพราะนับจากนี้ทุกองค์จะต้องมีแนวทางที่ทำธุรกิจบนความยั่งยืนที่เป็นมากกว่าการแยกขยะ โดยจะต้องเป็นแนวทางที่จะทำให้ธุรกิจอยู่รอดท่ามกลาง วิกฤตสภาพภูมิอากาศ เปลี่ยนแปลงเช่นนี้ คือ เราจะต้องสร้างโอกาสจากความเปลี่ยนแปลง และทำให้ธุรกิจเดิมอยู่รอดไปด้วย โดยแนวทางแรกที่จะทำให้ธุรกิจอยู่รอดและเติบโตไปได้คือ ทุกองค์กรจะต้องรู้จักตัวเองก่อน รู้ก่อนว่าขณะนี้เราปล่อยคาร์บอนออกไปทำร้ายโลกเท่าไหร่  จากนั้นจึงหาวิธีการลดคาร์บอนที่ปล่อยที่ออกไปด้วยการวางกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ  ดังนั้นภาคธุรกิจจะต้องหาวิธิการสร้างมูลค่าเพิ่มจากการทำธุรกิจรูปแบบ Sustainability แต่จะต้องอยู่บนพื้นฐานที่จะทำให้ธุรกิจเดิมอยู่รอด และสร้างธุรกิจใหม่ด้วยความยั่งยืน เพราะแน่นอนว่าเราหนีไม่พ้นวิฤกตสภาพอากาศครั้งนี้ และจะต้องทำตามข้อตกที่ประเทศไทยเสนอต่อการประชุม COP ในปีที่ผ่านๆ มา”

นพ. ศุภชัย กล่าวต่อไปว่า จากที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นจุดเริ่มต้นให้ RISE เชื่อว่าภาคธุรกิจอาจจะยังสับสนและจับต้นชนปลายไม่ถูกไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มต้นออกแบบธุรกิจบนความยั่งยืนอย่างไร ดังนั้นหลักสูตร Sustainabiblity Tranfromation Xponential หรือ STX หลักสูตรแรกและหลักสูตรเดียวในประเทศไทยที่จะเข้ามาช่วยนำทางให้แก่ภาคธุรกิจได้เดินไปสู่เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โดยองค์ความรู้ทั้งหมดจะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนความยั่งยืนในองค์กร และทำให้องค์กรในประเทศไทยกลายเป็นองค์กรชั้นในการทรานฟอร์มสู่ธุรกิจที่ยั่งยืน ทั้งนี้ นอกจากเป้าหมายของ RISE ที่มีการผลักดันในเกิดการเพิ่ม GDP ของประเทศอีก 1% แล้ว ยังต้องการที่จะช่วยประเทศลดอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้ได้อีก 1% ด้วย

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ