TH | EN
TH | EN
หน้าแรกTechnologyหัวเว่ย ผสานนวัตกรรม CLOUD AI และ 5G เสริมศักยภาพไทยสู่ดิจิทัลฮับแห่งอาเซียน

หัวเว่ย ผสานนวัตกรรม CLOUD AI และ 5G เสริมศักยภาพไทยสู่ดิจิทัลฮับแห่งอาเซียน

ในยุคแห่งดิจิทัล เทคโนโลยี CLOUD AI และ 5G มีบทบาทสำคัญมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ และยังมีบทบาทสำคัญแก่การปรับเปลี่ยนเศรษฐกิจในประเทศไทยให้เข้าสู่ยุคดิจิทัล เทคโนโลยีเหล่านี้คือหัวใจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลซึ่งจะช่วยผลักดันตัวเลข GDP ในประเทศไทยโดยตรง นำพาประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลและดึงศักยภาพของนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่

-ดีแทคจับมือ ปตท. ใช้ 5G คลื่น mmWave ลุยขับเคลื่อนอุตสาหกรรม
-ดีป้า จับมือ หัวเว่ย พัฒนาระบบนิเวศ 5G ครบวงจร

โดยภายในงาน “POWERING DIGITAL THAILAND 2021 HUAWEI CLOUD & CONNECT” ซึ่งบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมมือกับบริษัท บางกอกโพสต์ จำกัด (มหาชน) และพาร์ทเนอร์อีกกว่า 50 ราย เพื่อจัดแสดงเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งสามารถนำมาปลดล็อกโอกาสใหม่ทางธุรกิจ ตลาดใหม่ และรูปแบบธุรกิจใหม่ พร้อมแสดงวิสัยทัศน์ด้านดิจิทัลสำหรับประเทศไทยในปี พ.ศ. 2564 นอกจากนี้ เทคโนโลยี CLOUD AI และโครงข่าย 5G ยังจะช่วยยกระดับนวัตกรรมและเพิ่มประสิทธิภาพในด้านกระบวนการดำเนินงานให้แก่อุตสาหกรรมในประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ

อาเบล เติ้ง ประธานกรรมการบริหาร หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวถึงวิสัยทัศน์ของหัวเว่ยในระหว่างการกล่าวเปิดงานว่า “หัวเว่ย ในฐานะองค์กรด้านเทคโนโลยีที่อยู่กับประเทศไทยมานานกว่า 21 ปี ได้มองเห็นศักยภาพของประเทศไทยที่ค่อนข้างได้เปรียบกว่าประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค เนื่องจากประเทศไทยเป็นผู้นำด้านการนำเทคโนโลยี CLOUD, AI และ 5G มาประยุกต์ใช้เป็นอันดับต้น ๆ ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจดิจิทัล เราจึงต้องการสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถยกระดับขึ้นเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัล (Digital Hub) ของอาเซียน”

หัวเว่ย ผสานนวัตกรรม CLOUD AI และ 5G เสริมศักยภาพไทยสู่ดิจิทัลฮับแห่งอาเซียน
อาเบล เติ้ง ประธานกรรมการบริหาร หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด

อาเบล ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าหัวเว่ย เทคโนโลยี่ ประเทศไทย ได้ผลักดันการลงทุนในระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญสำหรับธุรกิจคลาวด์นับตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2562 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หัวเว่ยได้ส่งมอบ Cloud Hub ในประเทศไทย เพื่อนำเทคโนโลยีคลาวด์ไปใช้ประโยชน์กับศูนย์ข้อมูลอีกสองแห่ง และหัวเว่ยวางแผนที่จะเปิดตัวศูนย์ข้อมูลแห่งที่สามในประเทศในปี พ.ศ. 2564 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บข้อมูลในประเทศ ซึ่งจะมีการเพิ่มการลงทุนอีกมากกว่า 700 ล้านบาท

หัวเว่ยยังแสดงความมั่นใจในศักยภาพของประเทศไทยสำหรับการเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลเป็นประเทศแรกในอาเซียน ทั้งนี้ เพื่อทำให้วิสัยทัศน์ดังกล่าวเป็นจริง ทางหัวเว่ยจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยให้เกิดความเป็นเลิศใน 4 ด้านหลัก และจะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจดิจิทัลมีสัดส่วนใน GDP ของประเทศไทยมากถึง 30% ภายใน พ.ศ. 2573 อันได้แก่

-Connectivity Excellence Hub การผลักดันเทคโนโลยีโครงข่าย 5G และเครือข่ายอัลตราบรอดแบนด์เพื่อเป็นศูนย์กลางด้านโครงข่ายการเชื่อมต่อ
-Cloud Excellence Hub สรรค์สร้างความเป็นเลิศด้าน CLOUD และแพลตฟอร์มดิจิทัลผ่านการสร้างศูนย์ข้อมูลในประเทศไทยเพื่อให้บริการด้าน CLOUD กับองค์กรในประเทศไทยโดยเฉพาะ
-Digital Ecosystem Excellence Hub ผ่านโครงการ 5G และศูนย์นวัตกรรมในนิคมอุตสาหกรรมของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)”
-Digital Talent Hub ผ่านโครงการสนับสนุนทรัพยากรบุคคลด้าน ICT ในประเทศไทย เพื่อ อาทิเช่น โครงการ Huawei Academy หรือโครงการการจับมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำในไทย เพื่อเพิ่มบุคลากรด้าน ICT รวมทั้งเพิ่มศักยภาพของแรงงานด้าน ICT ในประเทศไทย

วรชัย พิจารณ์จิตร รองประธานกรรมการและกรรมการบริหาร บริษัท บางกอกโพสต์ จำกัด (มหาชน) ยังได้กล่าวถึงความสำคัญของเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศว่า “ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในช่วงการฟื้นฟูเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้งนี้ เทคโนโลยีของบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลกจากประเทศจีนจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของประเทศ ในระยะยาว การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี Cloud, AI และ 5G จะช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในการสร้างเสริมศักยภาพของประเทศในทุก ๆ ด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง และการศึกษา โดยจะเป็นปัจจัยที่ช่วยให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันได้ในทุกมิติบนเวทีโลก”

อาเบล ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าเทรนด์สำคัญด้านเทคโนโลยีที่ภาครัฐและภาคเอกชนในไทยควรจับตามองอย่างใกล้ชิดในปี พ.ศ. 2564 ได้แก่ เทคโนโลยีการประมวลผลแบบ CLOUD เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ AI รวมถึงเทคโนโลยีนวัตกรรมโครงข่าย 5G ซึ่งทั้งหมดนี้ต่างมีส่วนช่วยผลักดันให้เกิดนวัตกรรมรูปแบบใหม่ในภาคอุตสาหกรรมนับพันแห่ง รวมทั้งจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนากระบวนการดำเนินในภาครัฐ ภาคองค์กรธุรกิจ และภาคสังคมให้ชาญฉลาด สามารถเข้าใจความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ เทคโนโลยีด้าน CLOUD การประมวลผลคอมพิวเตอร์และการเชื่อมต่อเหล่านี้ต่างเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศ และการลงทุนในด้านเศรษฐกิจดิจิทัลจะส่งผลกับค่า GDP ของประเทศนั้นโดยตรง โดยหัวเว่ยคาดการณ์ว่าการลงทุนกับเทคโนโลยี ICT ในประเทศที่เพิ่มขึ้น 20% จะมีผลทำให้ค่า GDP ของประเทศนั้น ๆ เพิ่มขึ้น 1%

หัวเว่ย ผสานนวัตกรรม CLOUD AI และ 5G เสริมศักยภาพไทยสู่ดิจิทัลฮับแห่งอาเซียน

“หัวเว่ยมุ่งมั่นที่จะผลักดันให้เกิดความหลากหลายด้านสถาปัตยกรรมทางคอมพิวเตอร์ผ่านการนำเสนอนวัตกรรมใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างโซลูชันสำหรับตอบโจทย์ธุรกิจในสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งนี้ หัวเว่ยต้องการจะทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการจากเทคโนโลยี CLOUD อัจฉริยะได้ในทุกสถานการณ์ และ HUAWEI CLOUD AI ก็จะเข้ามาช่วยยกระดับภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ให้มีความอัจฉริยะมากขึ้นใน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านกระบวนการทำงานที่เกิดการทำซ้ำๆ ด้านความต้องการประสบการณ์ในระดับผู้เชี่ยวชาญ และด้านการทำงานประสานกันในหลาย ๆ ด้าน” อาเบล กล่าวเสริม

จากวิสัยทัศน์ของหัวเว่ยในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลสู่ทุกคน ทุกครัวเรือน และทุกองค์กร เพื่อขับเคลื่อนโลกอัจฉริยะที่เชื่อมโยงถึงกันอย่างเต็มรูปแบบ หัวเว่ย เทคโนโลยี่ ประเทศไทย จึงได้ร่วมมือกับเครือบางกอกโพสต์ และพาร์ทเนอร์เพื่อจัดงานสัมมนา “POWERING DIGITAL THAILAND 2021 HUAWEI CLOUD & CONNECT” ในครั้งนี้นับเป็นการร่วมสำรวจถึงความเป็นไปได้ในการนำเทคโนโลยีเพื่อสร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจ ส่งมอบบริการ CLOUD สรรค์สร้างความอัจฉริยะในทุกพื้นที่และทุกสถานการณ์การใช้งาน เพื่อเป็นขุมพลังให้แก่ประเทศไทยในยุคดิจิทัล

ภายในงาน หัวเว่ย เทคโนโลยี่ ประเทศไทย พร้อมด้วยพาร์ทเนอร์ ยังนำเทคโนโลยีอย่าง CLOUD, 5G และ AI มาจัดแสดงให้เห็นว่านวัตกรรมดังกล่าวสามารถนำมาใช้เพิ่มคุณค่าใหม่ให้แก่ภาคอุตสาหกรรมหลากหลายรูปแบบ รวมถึงเสริมสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีการแบ่งพื้นที่จัดแสดงนวัตกรรมในหัวข้อต่างๆ ซึ่งประกอบด้วยการเสวนาในหลายหัวข้อครอบคลุมภาคอุตสาหกรรมที่หลากหลาย Hands on Labs และการแข่งขันสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์

-Redefine Infrastructure จัดแสดงเทคโนโลยี HUAWEI CLOUD, การประมวลผลคอมพิวเตอร์, ตัวเก็บข้อมูล, การประสานงานอัจฉริยะ, โครงข่าย IP, ขุมพลังดิจิทัล, ศูนย์ข้อมูล และเครือข่าย OptiX
-Industry Digital Transformation ได้แก่ อุตสาหกรรมขนส่งโทรคมนาคมอัจฉริยะ, แคมปัสอัจฉริยะ, การเงิน, ค้าปลีก, อินเทอร์เน็ต, สาธารณสุข และการศึกษา
-AI Experience การนำแอปพลิเคชัน AI มาช่วยเสริมแกร่งให้กับเศรษฐกิจ เพื่อนำ AI เข้าสู่ทุกคน ทุกครัวเรือน และทุกองค์กร เพื่อขับเคลื่อนโลกอัจฉริยะที่เชื่อมโยงถึงกันอย่างเต็มรูปแบบ
-Partner Exhibition พาร์ทเนอร์มากกว่า 50 รายจากอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งรวมถึง TRUE IDC, เมโทร ซิสเต็มส์ คอร์ปอเรชั่น, Thai Blockchain Management และแฮปปี้ เวนเจอร์ส ที่จะร่วมจัดแสดงนวัตกรรมด้านโซลูชัน (สมาร์ทรีเทล, สมาร์ทไฟแนนซ์, สมาร์ทเฮลท์) พร้อมร่วมแบ่งปันข้อมูลและประสบการณ์ด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล
-HUAWEI CLOUD Developer Contest งานแข่งขันสำหรับเหล่านักพัฒนาซอฟต์แวร์ในประเทศไทยเพื่อช่วยส่งเสริมให้บรรดานักพัฒนาใช้ศักยภาพและบริการของ HUAWEI CLOUD เพื่อสรรค์สร้างแอปพลิเคชันที่มีมูลค่าสูง และโซลูชันสำหรับองค์กรธุรกิจและภาคสังคมในประเทศไทย
-Hands-on Lab พื้นที่ฝึกสอนสำหรับกลุ่มลูกค้า พาร์ทเนอร์ และผู้ที่สนใจได้รับประสบการณ์การใช้บริการและประโยชน์ของ HUAWEI CLOUD พร้อมด้วยคำแนะนำด้านสถาปัตยกรรมหัวเว่ยโซลูชันจากผู้เชี่ยวชาญ

งานดังกล่าวจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 11-14 พฤศจิกายน 2563 ณ โรงแรม เซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิร์ลด์ โดยคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 4,500 คนจากองค์กรชั้นนำต่างๆ ของทุกอุตสาหกรรม รวมถึงผู้บริหารระดับสูงจากองค์กรธุรกิจชั้นนำ และแขกผู้มีเกียรติจากสถานทูตต่างๆ ภายในงานจะเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานได้แลกเปลี่ยนไอเดียที่น่าสนใจกับผู้เชี่ยวชาญในภาคอุตสาหกรรม สำรวจโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ไปพร้อมกับผู้นำในวงการธุรกิจ เรียนรู้มุมมองและเทรนด์ล่าสุดของภาคอุตสาหกรรมรวมถึงเทคโนโลยี ICT รวมทั้งสัมผัสสุดยอดประสบการณ์ในการใช้งานแอปพลิเคชันและแพลตฟอร์มดิจิทัลต่าง ๆ อีกด้วย

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ