TH | EN
TH | EN
หน้าแรกColumnist“ล็อกดาวน์”... เศรษฐกิจ ล้มทั้งยืน

“ล็อกดาวน์”… เศรษฐกิจ ล้มทั้งยืน

ในที่สุดกรุงเทพฯ ก็แตกจนได้ “ลุงตู่”​ และศบค.ไม่มีทางเลือก ต้องประกาศยกระดับมาตรการคุมเข้ม 10 จังหวัด (กรุงเทพฯ ปริมณฑล และ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้) พร้อมออก 5 กฎเหล็ก ล็อกดาวน์ เคอร์ฟิว จำกัดการเดินทาง ปิดสถานที่เสี่ยง ให้รัฐ-เอกชน work from home แบบ 100% ร้านสะดวกซื้อ ตลาดโต้รุ่ง ปิด 2 ทุ่ม 3 ทุ่มห้ามออกนอกบ้าน

เป็นมาตรการคล้าย ๆ เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว แต่อาจจะเข้มข้นกว่านิดหน่อย แต่ที่เหมือนกัน คือ ออกคำสั่ง แต่ไม่มีรายละเอียดว่าจะมีมาตรการเยียวยาประชาชนและธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างไร จะลดปริมาณคนป่วยและคนเสียชีวิตเท่าไร ความเสียหายทางเศรษฐกิจมากน้อยแค่ไหน มีแผนฟื้นฟูหลังจากนี้อย่างไร ยังเป็นการล็อกดาวน์แบบไม่มีเป้าหมายเหมือนเช่นเคย

ไม่รู้ว่า “ลุงตู่” ได้คำนวณหรือไม่ว่า การ “ล็อกดาวน์” แต่ละครั้งมันมี “ราคาที่ต้องจ่าย” และจ่ายแพงมาก ๆ เสียด้วย เป็นรายจ่ายจากภาษีของประชาชน ดังนั้น ไม่ใช่อยากจะสั่งเมื่อไร สั่งอย่างไรก็ได้ อย่างกรณีล็อกดาวน์เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว ตอนที่เกิดการแพร่ระบาด สถิติผู้ป่วยแค่หลักร้อยสองร้อย บางวันคนตายคนหรือสองคน รัฐบาลตกใจรีบประกาศ “ล็อกดาวน์” กระทันหันทั้งประเทศ และนานหลายเดือน

มูลค่าความเสียหายจากการล็อกดาวน์ครั้งนั้น มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินว่า สร้างความเสียหายในระบบเศรษฐกิจเดือนละ 200,000-300,000 ล้านบาท ทำให้เม็ดเงินไหลออกจากระบบเศรษฐกิจทั้งปี 2563 มากถึง 900,000 ล้านบาท และทำให้เศรษฐกิจไทยปี 2563 ติดลบ 6.1%

หากรัฐบาลประกาศล็อกดาวน์ 1 เดือน ความเสียหายจะตกประมาณ 200,000-300,000 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ด้วยว่าจะยืดเยื้อหรือไม่

แต่ความเสียหายที่เป็นรูปธรรมหนักหนาสาหัสกว่าตัวเลขที่ระบุ นอกจากเศรษฐกิจจะพังพินาศแล้ว ภาคธุรกิจได้รับความเสียหายอย่างหนัก ตั้งแต่ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจโรงแรม เฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจร้านอาหาร ตั้งแต่รายเล็ก ๆ ข้างทางไปจนถึงร้านใหญ่โตมีชื่อเสียง ร้านอาหารระดับมิชชิลินสตาร์ก็หนีไม่พ้น ต้องเลิกกิจการ รวมไปถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจท่องเที่ยวปิดกิจการกลายเป็นหนี้ NPL (หนี้เสีย)

อย่าลืมว่าธุรกิจพังครืนจะฟื้นหรือสร้างขึ้นใหม่นั้นยากมาก ๆ

ที่สำคัญ คนจำนวนมากต้องตกงาน ไม่มีรายได้ สะท้อนจากหนี้ครัวเรือนล่าสุดพุ่งกระฉูดสูงถึง 93% ต่อจีดีพี สูงสุดในรอบ 11 ปี นั่นแปลว่า กำลังซื้อจากการล็อกดาวน์ครั้งนี้จะหดหายแทบไม่มีเหลือ คนที่พอมีเงินออมก็จะเก็บเงินสดไว้ในมือ จะจับจ่ายใช้สอยเฉพาะจำเป็นจริง ๆ เพราะไม่มั่นใจอนาคต

การ “ล็อกดาวน์” แต่ละครั้ง รัฐบาลเกาไม่ถูกที่คัน ผมได้ฟังนักธุรกิจรายหนึ่งระบายให้ฟังว่า เที่ยวนี้รัฐบาลประกาศล็อกดาวน์แต่ไม่กล้าบอกความจริง พยามเลี่ยงใช้คำว่า “ขอความร่วมมือ” แทนเพราะไม่อยากเยียวยาให้ผู้รับความเดือดร้อน เวลาล็อกดาวน์แต่ละครั้งผู้ประกอบการธุรกิจเสียหายหนักมาก

ตั้งแต่มีการล็อกดาวน์ครั้งที่แล้วจนถึงทุกวันนี้ เป็นเวลาเกือบ 2 ปี เขาต้องควักเนื้อไปกว่า 100 ล้านบาท กำลังคิดว่าจะสู้ต่อหรือปิดกิจการ เพราะไปต่อไม่ไหว ต้องจ่ายค่าเช่าให้กับห้างฯ จ่ายเงินเดือนพนักงานแบบเต็ม ๆ ทุกเดือน แต่ถ้าปิดกิจการ ลูกจ้างกว่า 100 คนต้องตกงาน

เขายังบอกต่ออีกว่า รัฐบาลไม่เข้าใจธุรกิจ ลืมไปว่าเวลาปิดห้างฯ เจ้าของห้างฯ ไม่เดือดร้อน ยังรับค่าเช่าแบบเต็ม ๆ คนที่เดือดร้อน คือ ผู้ประกอบการรายย่อย รายเล็ก ที่เช่าพื้นที่ขายของ เมื่อห้างฯ ปิด ขายของไม่ได้ แต่ยังต้องจ่ายค่าเช่าแบบเต็ม ๆ โดยรัฐบาลก็ไม่ได้เยียวยา

ที่น่าเป็นห่วงที่สุด หลังล็อกดาวน์ คนต้องตกงานนับหมื่น ๆ คน เท่าที่พูดคุยกับผู้ประกอบการร้านอาหาร ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับมาตรการนี้ เพราะธุรกิจเดินหน้าไม่ได้ ไม่มีรายได้เข้ามา สภาพคล่องมีปัญหา ผู้คนระมัดระวังใช้จ่าย ทำให้การบริหารจัดการร้านอาหารลำบากมากขึ้น แม้รัฐจะช่วยเหลือเรื่องซอฟต์โลน แต่ไม่สามารถช่วยได้ทั้งหมด ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังเข้าไม่ถึงแหล่งทุน

ผู้ประกอบการค้าปลีกคนหนึ่ง บอกว่า งานนี้ไม่รู้ว่ารัฐบาล “ล็อกดาวน์” หรือ “หลอกดาว”​ มันต่างกันแค่เส้นบาง ๆเท่านั้น ถ้าไม่หลอกดาว ก็ต้องเร่งออกมาตรการเยียวยาคนที่เดือดร้อนโดยเร็วที่สุด จะต้องเตรียมเม็ดเงินมาก พอมีระยะเวลายาวพอสมควรและต้องเยียวยาให้ตรงเป้า

จะต้องระวังไม่ให้การล็อกดาวน์ลามไปกระทบถึงภาคการผลิตเพื่อส่งออกที่กำลังดีวันดีคืน แม้จะมีปัญหาเรื่องโควิดระบาดในโรงงานจนกระทบการผลิตไม่สามารถส่งมอบสินค้าได้ตามออร์เดอร์ มีปัญหาต้นทุนค่าขนส่งเพิ่มขึ้นก็ตาม แต่การส่งออกซึ่งเป็นความหวังเดียวของเศรษฐกิจไทยตอนนี้ หากต้องพลอยโดนหางเลขจากการล็อกดาวน์จะเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอีกมหาศาล

นั่นหมายความว่า การล็อกดาวน์เที่ยวนี้จะมีผลทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ อาจจะจะขยายตัวได้แค่ 0-1% เท่านั้นจากเดิมที่คาดไว้ 0.6-1.2% นี่ยังไม่รวมความเสียหายจากการล็อกดาวน์ยิ่งนานยิ่งเสียหายมาก

ล็อกดาวน์ครั้งแรก เรามัวแต่จะเดินตามหาเลข 0 (จำนวนผู้ป่วยเป็นศูนย์) แต่ล็อกดาวน์เที่ยวนี้ เราอาจจะได้เห็นเลข 0 จริง ๆ แต่เป็นจีดีพีปีนี้ทั้งปีโต 0% นั่นเอง

ผู้เขียน: ทวี มีเงิน …. นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ คอลัมนิสต์ อดีตบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ธุรกิจยักษ์ใหญ่ ผู้คร่ำหวอดในวงการสื่อหนังสือพิมพ์ธุรกิจมากว่า 30 ปี

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ