TH | EN
TH | EN
หน้าแรกColumnistข่าวร้าย คือ เพื่อนที่ดีที่สุด ของนักลงทุนสาย VI

ข่าวร้าย คือ เพื่อนที่ดีที่สุด ของนักลงทุนสาย VI

โลกของการลงทุนในปีนี้สร้างสภาวะให้นักลงทุนเข้าสู่ช่วงทดสอบจิตใจมาหลายครั้งหลายคราวเหลือเกินนะครับ

คุณเคยกังวลเวลาหุ้นตกจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ อยากกดขายหุ้นทิ้งมันซะตอนนั้นเลย ไหมครับ 

ไม่ต้องอายนะครับ ผมเชื่อว่านักลงทุนทุกคนต้องเคยผ่านสภาพนี้มาอย่างน้อยสักครั้ง ในชีวิตกว่าจะจิตใจแข็งแกร่งดุจหินผาคุณต้องผ่านกับเหตุการณ์นี้หลายต่อหลายครั้ง ด้วยกัน

เรื่องจิตวิทยาหรือ Mindset การลงทุนที่ดีต้องอาศัยทั้งความรู้และการฝึกปรือใน ‘สนามจริง’ เพราะแน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ไม่ว่าใครก็ทำแทนคุณไม่ได้ครับ 

แต่สิ่งเดียวที่เราจะช่วยคุณได้ก็คือการ ‘ให้ความรู้’ ที่ถูกต้อง เพื่อให้คุณค่อย ๆ ซึมซับเข้าไปทีละนิด ทีละหน่อยครับ

วันนี้เราจะมาว่ากันด้วยมุมมองที่ดีต่อ ‘ข่าวร้าย’ ในตลาดหุ้นกันครับ

‘ลงซื้อ ขึ้นขาย’ คือเบสิกของการลงทุน…ให้ได้กำไร

คุณคงรู้ดีว่าพื้นฐานการทำกำไรในการลงทุนก็คือการ ‘ลงซื้อ ขึ้นขาย’ ที่เราพูดกัน จนติดปาก เพื่อให้ขายของได้ราคาสูงกว่าที่ซื้อมา 

และคุณก็คงรู้ว่าการ ‘ลงซื้อ ขึ้นขาย’ มัน ‘พูดง่ายแต่ทำยาก’ มากครับ

เพราะเวลามีข่าวร้าย ตลาดหุ้นตกแรงจริง ๆ ขึ้นมา อารมณ์ด้านลบก็จะเข้ามากัดกินสติ จนคุณลืมไปหมดว่า ‘หุ้นลงต้องซื้อ หุ้นขึ้นต้องขาย’ แต่หลังจากนั้นพอทุกอย่างสงบ คุณก็จะบ่นว่า ‘รู้งี้…น่าจะซื้อตั้งแต่ตอนนั้น (ที่หุ้นตก)’

หลาย ๆ คนอาจจะเลยเถิดไปทำสิ่งตรงข้ามแทนคือ ‘ลงขาย ขึ้นซื้อ’ เฉย จนติดดอย แบบวนลูป move on เป็นวงกลมแทน 

ดังนั้น โปรดจำให้ขึ้นใจว่าเมื่อราคาหุ้นที่คุณเล็งไว้ตกลงมาเพราะข่าวร้าย จงประคอง สติให้มั่นและวิเคราะห์อย่างรอบคอบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในข่าวกระทบต่อสินทรัพย์ที่เราถืออยู่ไหม กระทบอย่างไรบ้าง หรือราคาหุ้นที่ตกลงมาเป็นแค่กระแสตามอารมณ์ของตลาด

ถ้าข่าวร้ายนั้นไม่ได้กระทบกับพื้นฐานของสินทรัพย์ที่เราลงทุนอยู่ก็สบายใจได้ครับ เพราะถ้าทุกอย่างกลับมาปกติ ราคาของสินทรัพย์นั้นก็จะฟื้นกลับขึ้นมาเอง 

ยิ่งถ้าคุณมีเงินสดตุนไว้รอและข่าวร้ายไม่ได้กระทบกับพื้นฐานของหุ้น ช่วงที่ราคาหุ้น ตกลงมาถือเป็นโอกาสที่ดีมากในการไล่ซื้อของถูกครับ

“ข่าวร้ายคือเพื่อนที่ดีที่สุดของนักลงทุน” – Warren Buffett

นักลงทุนสาย VI ระดับปรมาจารย์เกือบทุกคนใช้แนวคิดนี้กันหมดครับ ไล่ตั้งแต่ Benjamin Graham และศิษย์รักอย่าง Warren Buffett ลามมาถึงนักลงทุนรุ่นใหม่ ๆ อย่าง Howard Marks

ยังจำเรื่องของ Mr. Market ที่ผมเคยเล่าให้ฟังได้ใช่ไหมครับ อาจารย์ Graham เองก็พูดไว้ชัดเจนว่าคุณควร “ใช้ประโยชน์จากอารมณ์ของ Mr. Market” ไม่ใช่ ปล่อยให้ Mr. Market มาเล่นงานสติคุณจนเตลิดเปิดเปิงไปไหนต่อไหน 

ขณะที่ปู่ Buffett เองก็มีหลายวลีเด็ดที่พูดถึงเรื่องนี้ แต่ที่ชัดเจนที่สุดคงหนีไม่พ้นสิ่งที่ปู่ เขียนลงใน Op-Ed ของหนังสือพิมพ์ New York Times ในช่วงวิกฤตซับไพรม์ว่า “ข่าวร้ายคือเพื่อนที่ดีที่สุดของนักลงทุน เพราะมันทำให้คุณซื้อส่วนนึงในอนาคต ของอเมริกาได้ที่ราคาถูก”

คุณจะเห็นว่าปู่ Buffett มีระบบความคิดด้านการลงทุนที่ชัดเจนมากว่า เขาคาดหวังกำไรจากสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคต ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน จึงไมไ่ด้กลัวว่าการซื้อหุ้นตอนวิกฤตจะทำให้พอร์ตเขามีปัญหาอะไร

หรือจะเป็นวลีอมตะอย่าง “จงกลัวเมื่อคนอื่นกล้า และจงกล้าเมื่อคนอื่นกลัว” ที่ก็ชัดเจนในตัวเอง คุณคงจะเบื่อเพราะอ่านเจอหลายรอบแล้ว

หรืออย่าง Howard Marks ผู้ก่อตั้งกองทุน Oaktree Capital ที่มีกลยุทธ์ลงทุนด้วยการซื้อสินทรัพย์ที่ประสบปัญหาทางการเงิน (Distressed Asset) ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกก็บอกว่า “วิธีการลงทุนที่ปลอดภัยและมีโอกาสทำกำไรได้มากที่สุดคือ การซื้อเมื่อไม่มีใคร ต้องการสิ่งนั้นแล้ว” ครับ

อย่าลืมว่าทุกครั้งที่เกิดวิฤต จะมีเศรษฐีใหม่เพิ่มขึ้นเสมอ 

แล้วเศรษฐีใหม่เหล่านั้นร่ำรวยขึ้นจากวิกฤตได้ยังไง? ก็เพราะเขาเฝ้ารอโอกาสที่จะซื้อ สินทรัพย์ในราคาถูก และรอให้มูลค่าของมันเพิ่มขึ้น เมื่อสถานการณ์ทุกอย่างกลับ มาปกติไงครับ

‘หุ้นจีน’ ตัวอย่างใกล้ตัว

ตัวอย่างที่ดีตอนนี้คือ ‘ตลาดหุ้นจีน’ ครับ ยิ่งถ้าใครมีหุ้นจีนในพอร์ต อยู่นี่เหมือนเป็นการซ้อมรบ ‘กระสุนจริง’ เหมือนกัน 

เพราะข่าวร้ายในจีนเริ่มตั้งแต่การคุมเข้มบริษัทเทคโนโลยีจีนในช่วงกลางปี 2564 ต่อเนื่องด้วยวิกฤตภาคอสังหาฯ มาตรการ Zero-Covid การคุมเข้มโรงไฟฟ้าถ่านหิน การทุจริตของธนาคารพาณิชย์บางแห่ง รวมถึงภัยแล้งที่ทำให้บางมณฑลไม่มีไฟฟ้า ใช้ในตอนนี้

ขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนก็แก้เกมด้วยการขนทุกมาตรการออกมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นการ ตั้งกองทุนเพื่ออุ้มผู้ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติภาคอสังหาฯ และภาคการเงิน ส่วนปัญหาภัยแล้งก็เริ่มบรรเทาหลังเริ่มมีฝนตกลงมาในพื้นที่

ส่วนการกระตุ้นเศรษฐกิจ จีนก็จัดเต็มไม่มียั้ง โดย Bloomberg รวบรวมตัวเลขเม็ด เงินทุกมาตรการของจีนตั้งแต่ปี 2563 ออกมาได้ตามนี้ครับ

ปี 2563: 37.5 ล้านล้านหยวน (37.8% ของ GDP จีนปี 2563)

ปี 2564: 30.0 ล้านล้านหยวน (26.2% ของ GDP จีนปี 2564)

ปี 2565 (นับถึงเดือน พ.ค. 2565) : 35.5 ล้านล้านหยวน

และในอุตสาหกรรมที่จีนหมายมั่นปั้นมือว่าจะใช้เป็นหัวหอกในการพัฒนาประเทศยุค ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นพลังงานสะอาด EV หรือเรื่องสุขภาพต่างก็มีพัฒนาการที่ดีมาตลอด เพียงแต่โดนข่าวร้ายปกคลุมหมด

หรืออย่างหุ้นเทคโนโลยีหลายตัวในสหรัฐฯ ที่โดนเงินเฟ้อเจาะยางจนราคาร่วง ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว แต่หลายบริษัทก็ยังมีผลประกอบการเติบโต และดีกว่าที่นัก วิเคราะห์คาด ซึ่งในที่สุดราคาหุ้นก็จะฟื้นกลับมาตามพื้นฐานของบริษัท

ไม่มีใครไม่อยากเป็นเจ้าของบริษัทที่เติบโตต่อเนื่องหรอก จริงไหมครับ?

จากเรื่องนี้ คุณจะเห็นว่าการพิจารณาข้อมูลรอบด้านจะทำให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้น หรือเป็น well-informed decision เพราะต้องชั่งน้ำหนักถึงเรื่องดี-เรื่องร้ายก่อนจะตัดสินใจว่าจะซื้อ ถือ หรือขายหุ้นต่อไป

=================================

ข่าวดี-ข่าวร้ายถือเป็นส่วนนึงของการลงทุนครับ การมีมุมมองหรือ Mindset ในการลงทุนที่ดีจึงเป็นส่วนประกอบสำคัญที่จะช่วยให้คุณเพิ่มโอกาสทำผลตอบแทน ได้ดีขึ้น ไม่ติดอยู่ในลูป ‘ขายหมู ติดดอย’ เรื่อยไป

ฉะนั้น ก่อนจะตัดสินใจในทุกขั้นตอนของการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาสินทรัพย์ เพื่อลงทุน การซื้อ ถือ หรือขายสินทรัพย์ใดๆ เราอยากให้คุณพิจารณาอย่าง รอบด้านครับ

อย่าลืมว่าตอนที่คุณสั่งขายสินทรัพย์ออกมาตอนหุ้นตก ก็ต้องมีคนอีกฝั่งที่รอซื้อ สินทรัพย์นั้นจากคุณเสมอ นั่นแปลว่าคนที่รอ ‘รับของ’ ต่อจากคุณ เขาต้องเห็นอะไรดีๆ บางอย่างในสินทรัพย์นั้น จริงไหมครับ?

อยู่ที่คุณแล้วว่าจะอยู่ฝั่งไหนในข่าวร้าย จะเป็นคนที่ขายสินทรัพย์มีคุณภาพในราคาถูก ให้คนอื่น หรือจะเป็นคนที่ถือสินทรัพย์ที่มีคุณภาพให้ผ่านข่าวร้าย และรอจนราคาฟื้น กลับขึ้นมาในที่สุด

ขอให้มีความสุขในการลงทุนครับ 

ผู้เขียน: ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจของผู้เขียน

ทำความรู้จัก Mr. Market และวิธีรับมือฉบับ Benjamin Graham

ทำความรู้จัก Charlie Munger ผู้เปลี่ยนแนวคิดการลงทุนของ Warren Buffett 

เปิดไส้ในรถ EV มีอะไรให้ลงทุน ไม่พลาดโอกาสรับเมกะเทรนด์โลก

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ