TH | EN
TH | EN
หน้าแรกColumnistทำความรู้จัก Charlie Munger ผู้เปลี่ยนแนวคิดการลงทุนของ Warren Buffett

ทำความรู้จัก Charlie Munger ผู้เปลี่ยนแนวคิดการลงทุนของ Warren Buffett

หากคุณได้ติดตามปู่ วอรร์เรน บัฟเฟตต์ มาอย่างใกล้ชิด คงจะคุ้นหน้าคุ้นตากับชายคนหนึ่ง ที่มักจะนั่งอยู่ข้าง ๆ ปู่บัฟเฟตต์ อยู่เสมอ 

ในการตอบคำถามประชุมผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway เมื่อปู่บัฟเฟตต์ตอบเสร็จ เขามักจะโยนไปให้ชายผู้นี้ช่วยเสริมคำตอบของเขา

แต่ทว่าการตอบคำถามของชายผู้นี้มีความ ‘ตรงประเด็น’ ‘ไม่อ้อมค้อม’ ‘ขวานผ่าซาก’ และ ‘ไม่รักษาน้ำใจ’ จนถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นอยู่บ่อยครั้ง และชายผู้นั้นมีชื่อว่า ชาร์ลี มังเกอร์ ผู้เป็นเพื่อนร่วมชีวิตของปู่บัฟเฟตต์นั่นเองครับ

ในการเล่าหรือเขียนหนังสือให้ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนส่วนใหญ่ ปู่บัฟเฟตต์มักจะถูกหยิบยกมาเป็นตัวอย่างอยู่ทุกครั้งไป แต่รู้หรือไม่ครับว่าปู่บัฟเฟตต์อาจจะมาไม่ได้ไกลขนาดนี้ หากไม่ได้รู้จักกับปู่ มังเกอร์ ครับ

ปู่มังเกอร์ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในความสำเร็จของ ปู่บัฟเฟตต์ ซึ่งรวมไปถึงบริษัท Berkshire Hathaway ที่เขานั่งเก้าอี้รองประธานบริษัทอยู่ด้วย 

ต้องบอกว่าเรื่องราวความเป็นมาของ มังเกอร์ มีความยิ่งใหญ่ และน่าสนใจไม่แพ้บัฟเฟตต์เลย

สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ มังเกอร์มีส่วนที่ทำให้บัฟเฟตต์ ปรับเปลี่ยนแนวการลงทุนของตัวเองจนกลายมาเป็นแนวการลงทุนหลักที่บัฟเฟตต์ใช้เป็นปกติในปัจจุบัน

แต่มังเกอร์ทำได้ยังไง? เพราะการเปลี่ยนแนวคิดของนักลงทุนที่เก่งที่สุดในโลก ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน ซึ่งผมจะเล่าให้ฟังครับ

ย้อนกลับไปวันที่ 1 มกราคม ปี 2467 ซึ่งเป็นวันที่ชาร์ลี มังเกอร์ ได้ถือกำเนิดขึ้นมา เขาเกิดที่เมืองโอมาฮา ที่เดียวกับปู่บัฟเฟตต์ แต่เกิดก่อนบัฟเฟตต์ 6 ปี ครับ

ปัจจุบัน ปู่มังเกอร์ มีอายุ 98 ปีแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลกที่ทั้งมังเกอร์และบัฟเฟตต์จะไม่ได้รู้จักกันตั้งแต่ในช่วงวัยรุ่นครับ 

เพราะมังเกอร์เคยทำงานในร้านขายของชำของ เออร์เนส บัฟเฟตต์ ซึ่งเป็นคุณปู่ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์อีกทีนะครับ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม มังเกอร์ ก็ยังไม่ได้รู้จักกับปู่บัฟเฟตต์ครับ

การทำงานในร้านสะดวกซื้อครั้งนี้ ทำให้มังเกอร์ได้เรียนรู้เกี่ยวกับธุรกิจเบื้องต้นครับ เกี่ยวกับสินค้า ลูกค้า และเงินในการประกอบธุรกิจ 

ซึ่งตัว มังเกอร์ มีทั้งความรอบรู้ ฉลาด และขี้สงสัย ทำให้เขาเป็นคนที่เรียนรู้อะไรต่าง ๆ ได้รวดเร็วมาก

ต้องบอกว่า การเลือกเรียนสาขาต่าง ๆ ของ มังเกอร์ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการลงทุนเลย มังเกอร์เลือกเรียนในมหาวิทยาลัยมิชิแกน สาขาคณิตศาสตร์ แต่ต้องลาออกมากลางคันเพื่อเข้าร่วมกองทัพสหรัฐฯ ในช่วงการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ 

ด้วยความเฉลี่ยวฉลาดของมังเกอร์ กองทัพสหรัฐฯ จัดให้เขาทำงานเบื้องหลังมากกว่าออกไปลุยกับข้าศึก ซึ่งมังเกอร์ก็ยังหาโอกาสในการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากกองทัพสหรัฐฯ เพื่อนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน รวมไปถึงใช้ในการตัดสินใจลงทุนในปัจจุบันด้วย

หลังปลดประจำการ มังเกอร์ได้มีโอกาสเข้าเรียนวิชากฎหมาย เพื่อทำงานเกี่ยวกับกฎหมายตามพ่อของเขา ซึ่งต้องบอกว่า มังเกอร์ ทำงานเกี่ยวกับทนายความได้อย่างยอดเยี่ยม และมีเงินเดือนที่เหลือเฟือครับ 

แต่ชีวิตของมังเกอร์พลิกผัน เมื่อพ่อของเขาได้เสียชีวิตลงในปี 2502 ทำให้เขาต้องกลับมาจัดงานศพให้กับพ่อ ที่โอมาฮา อีกครั้ง 

แต่การกลับมาอยู่ที่โอมาฮาครั้งนี้ มันก็ทำให้เขาได้พบกับชายคนนึง ที่เปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิตของเขาไปตลอดกาล ซึ่งคนนั้นก็คือ วอร์เรนบัฟเฟตต์ นั่นเองครับ

และด้วยความที่ มังเกอร์ เป็นคนที่อ่านหนังสือเยอะมาก!! รวมไปถึงหนังสือ The Intelligent Investor ของ เบนจามิน เกรแฮม ซึ่งเป็นทั้งอาจารย์และคนที่บัฟเฟตต์ยกย่อง 

ทำให้วันที่ มังเกอร์ และ บัฟเฟตต์ พบกันครั้งแรก พวกเขาคุยกันยาวเป็นชั่วโมง และไม่จบแค่เพียงเท่านั้นครับ มังเกอร์ถึงกับแลกเบอร์กับบัฟเฟตต์ เพื่อโทรคุยกันต่อในอีกหลาย ๆ ครั้ง 

ซึ่งตัวบัฟเฟตต์นี่แหละครับ ที่เป็นผู้เปิดประตู ‘โลกแห่งการลงทุนให้มังเกอร์’ และชักชวนมังเกอร์ให้มาเป็นนักลงทุนเต็มตัว เพราะบัฟเฟตต์ คิดว่า 

ด้วยความเฉลียวฉลาดและความรอบรู้ของมังเกอร์จะทำให้เขากลายเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จได้ไม่ยากเลย

ซึ่งตอนแรก ปู่มังเกอร์ ก็ยังไม่ได้ออกมา เป็นนักลงทุนเต็มตัวนะครับ แต่เริ่มมีความสนใจขึ้นมากเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้น และด้วยความที่ บัฟเฟตต์ มักชวนให้ มังเกอร์ ออกมาเป็นนักลงทุนทุกครั้งที่คุยกัน

มังเกอร์ จึงได้เปิดบริษัทลงทุน Wheeler, Munger and Company ขึ้นมาในปี 2505 ซึ่งเป็นบริษัทลงทุนแบบเดียวกับ Buffett Partnership ที่บัฟเฟตต์เปิดนั่นเองครับ

ต้องบอกว่าบริษัทลงทุนของมังเกอร์สามารถทำผลตอบแทนทบต้นได้สูงถึง 19.8% ต่อปี นับตั้งแต่ 2505-2518 เป็นระยะเวลา 14 ปี 

ซึ่งด้วยอัตราผลตอบแทนที่สูงขนาดนี้เป็นข้อพิสูจน์ว่า 

แม้มังเกอร์จะไม่ได้เรียนเกี่ยวกับด้านการเงินการลงทุน 

แต่เขาก็เป็นสุดยอดนักลงทุนมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ซึ่งหลังจากที่เขาได้ทำงานเกี่ยวกับการลงทุนโดยตรง มังเกอร์ จึงตัดสินใจออกมาลงทุนกับบัฟเฟตต์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาครับ

รูปแบบการลงทุนของ บัฟเฟตต์ และ มังเกอร์ มีความคล้ายกันอยู่ครับ ทั้งคู่เป็นนักลงทุนประเภท Focus Investment หรือ การลงทุนแบบโฟกัส ซึ่งเป็นการลงทุนในหุ้นน้อยตัว ในสัดส่วนการลงทุนที่มากขึ้น 

ทำให้นักลงทุนแบบโฟกัสมีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงขึ้น แต่ก็จะมีความผันผวนสูงขึ้นด้วยเช่นกันครับ อย่างไรก็ตามในความคิดของผม ปู่ มังเกอร์ มีความเป็นนักลงทุนแบบโฟกัสสูงกว่า ปู่บัฟเฟตต์ อีกครับ

ถึงแม้ว่าแนวทางการลงทุนของ มังเกอร์ และ บัฟเฟตต์ จะคล้ายกัน แต่แนวทางการเลือกหุ้นเพื่อจะลงทุน มีความแตกต่างกันพอสมควรครับ 

ปู่บัฟเฟตต์ ได้รับแรงบันดาลใจในการลงทุนมาจาก เบนจามิน เกรแฮม ซึ่งจะมีกลยุทธ์การลงทุนใน ‘หุ้นก้นบุหรี่’ ที่จะให้น้ำหนักใน หุ้นราคาถูกมากกว่าคุณภาพของหุ้นตัวนั้นครับ

ขอขยายความกลยุทธ์ ‘หุ้นก้นบุหรี่’ สักนิดนึงครับ ซึ่งเป็นคำที่ปู่บัฟเฟตต์ใช้เรียกกลยุทธ์การลงทุนของ เกรแฮม 

นั่นคือการเฟ้นหาบริษัทราคาถูกมากที่คนไม่สนใจ เหมือนกับบุหรี่ที่คนสูบจนเหลือแต่ก้นบุหรี่แล้ว 

หลายคนจะมองว่าก้นบุหรี่ไม่มีค่า แต่จริงๆ แล้วมันยังสามารถหยิบขึ้นมาสูบได้อีก 3-4 ครั้ง ซึ่งเปรียบเสมือนมูลค่าที่แฝงอยู่ในหุ้นราคาถูกที่คุณจะลงทุน

จุดเด่นของหุ้นก้นบุหรี่ คือ หุ้นเหล่านี้จะมีราคาที่ถูกมาก ถูกถึงขนาดที่ว่าราคาของหุ้นทั้งหมด ถูกกว่ามูลค่าทางบัญชี ทำให้ถึงแม้บริษัทจะปิดกิจการ แต่เมื่อมีการชำระบัญชี ก็ยังสามารถสร้างกำไรให้กับคนที่ลงทุนในหุ้นประเภทนี้ได้นั่นเองครับ

สรุปง่ายๆ กลยุทธ์การเลือกหุ้นเพื่อลงทุนในช่วงแรกของปู่บัฟเฟตต์ คือ ซื้อหุ้นในราคาที่ถูกมาก โดยที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับ คุณภาพของธุรกิจมากนัก ซึ่งตรงจุดนี้ จะมีความแตกต่างจากปู่มังเกอร์อยู่ครับ

ปู่มังเกอร์เคยทำงานเกี่ยวกับทนายความ และเคยว่าความให้กับธุรกิจที่กำลังจะล้มละลาย ทำให้เขารู้ว่า การที่ธุรกิจที่ไม่มีคุณภาพจะฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้นั้นเป็นเรื่องที่ยากจนแทบจะเป็นไปไม่ได้เพราะฉะนั้นจึงควรลงทุนในธุรกิจที่มีคุณภาพมากกว่าครับ

สไตล์การเลือกหุ้นเพื่อลงทุนของปู่มังเกอร์จะไปคล้ายกับ Philip Fisher ที่จะเน้นที่คุณภาพของธุรกิจ และจะไม่ขายหุ้นตัวนั้นออกไป หากธุรกิจนั้นยังคงดีอยู่ 

ซึ่งการซื้อหุ้นแบบนี้ จะต้องยอมจ่ายในราคาที่สูงขึ้นซึ่งจะขัดกับกลยุทธ์การลงทุนในตอนแรกของปู่บัฟเฟตต์อย่างชัดเจนครับ

สรุปง่ายๆ คือ แนวคิดการลงทุนของปู่ มังเกอร์ คือ ซื้อหุ้นธุรกิจที่ดีซึ่งอาจจะต้องยอมจ่ายเงินเพิ่มเติม โดยจะให้ความสำคัญของคุณภาพธุรกิจ มากกว่าราคาครับ 

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นบริษัทที่ลงทุน จะแพงจนอยู่สุดยอดดอย แบบนั้นปู่มังเกอร์ก็ไม่ลงทุนเช่นกันครับ

ปู่มังเกอร์เชื่อว่า สุดท้ายแล้ว คุณไม่ควรมองข้ามเรื่องการฟื้นฟูธุรกิจไปครับ เพราะธุรกิจแย่ๆ หลายบริษัท เมื่อล้มลง จะไม่สามารถฟื้นฟูกลับขึ้นมาได้ครับ  

ถึงแม้ว่า มังเกอร์ กับ บัฟเฟตต์ จะสนิทกัน แต่แน่นอนครับว่าการจะเปลี่ยนแนวคิดการลงทุนของใครสักคนเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก 

ยิ่งเป็นแนวคิดของนักลงทุนระดับโลกอย่าง ปู่บัฟเฟตต์ ยิ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ปู่มังเกอร์สามารถทำได้ ซึ่งเกิดขึ้นจากการซื้อหุ้นครั้งนึง ที่ทำให้แนวคิดของปู่บัฟเฟตต์เริ่มเปลี่ยนแปลงไป 

หุ้นบริษัทนี้มีชื่อว่า See’s Candies ร้านขายช็อกโกแลต ที่ มังเกอร์ และ บัฟเฟตต์ ยกให้เป็น หุ้นในฝัน จนถึงทุกวันนี้ครับ 

มังเกอร์ ได้ไปเจอกับธุรกิจ See’s Candies ในช่วงปี 2515 ซึ่งเป็นช่วงที่เขาเริ่มมาร่วมลงทุนกับ บัฟเฟตต์ แล้ว 

See’s Candies มีธุรกิจหลักคือ ขายช็อกโกแลต ถึงแม้บริษัทจะมีชื่อ Candies ที่เหมือนขายลูกกวาดก็ตาม โดย See’s Candies ได้ขยายธุรกิจไปทั่วสหรัฐฯ มากกว่า 200 สาขาในปัจจุบัน

บริษัท See’s Candies ได้ดึงดูดความสนใจของปู่ มังเกอร์ เป็นอย่างมาก ด้วยความแข็งแกร่งของธุรกิจที่มีรายได้เติบโต กำไรที่ดีงาม ไม่มีหนี้ และยังสามารถขึ้นราคาสินค้าได้ เพราะผู้บริโภคติดใจทั้งในรสชาติ แบรนด์และคุณภาพของสินค้าแล้ว

อย่างไรก็ตามหุ้น See’s Candies ไม่ใช่ ‘หุ้นก้นบุหรี่’ ในแบบที่บัฟเฟตต์เลือกลงทุน ซึ่งนั่นทำให้เป็นหน้าที่ของ มังเกอร์ ที่ต้องเปลี่ยนแนวคิดการลงทุนของบัฟเฟตต์ให้ได้

มังเกอร์ ได้พาบัฟเฟตต์มาเยี่ยมชมบริษัท See’s Candies ให้ได้ลองชิมช็อกโกแลต และทำความเข้าใจธุรกิจ See’s Candies อย่างแท้จริง 

ในสายตาของมังเกอร์ตอนนั้นเห็น See’s Candies เป็น หุ้น Super Stock ที่คุณสามารถถือลงทุนได้ในระยะยาวและมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งในอนาคต

จนในที่สุด บัฟเฟตต์ ก็ยอมลงทุนในหุ้น See’s Candies ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่เปลี่ยนแนวทางการลงทุนของบัฟเฟตต์ ที่เคยมุ่งเน้นที่ ราคาถูก เป็นใส่ใจถึง คุณภาพของธุรกิจ มากยิ่งขึ้นครับ

และต้องบอกครับว่า การที่บัฟเฟตต์ยอมเชื่อใจมังเกอร์ในครั้งนี้ ไม่ทำให้เขาผิดหวัง เพราะการลงทุนในหุ้น See’s Candies สร้างผลตอบแทนให้พวกเขาสูงถึง 80 เด้ง!! หรือ 8,000% ในระยะเวลา 47 ปีของการลงทุน

บัฟเฟตต์ได้กล่าวเอาไว้ในปี 2562 ว่า

เราลงทุนใน See’s Candies ไป 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐและมันเติบโตมากว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน” 

หลังจากนั้นสไตล์การลงทุนของปู่บัฟเฟตต์เริ่มเปลี่ยนไป เขาเริ่มลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น และยอมจ่ายในราคาที่แพงขึ้น 

รวมไปถึงหุ้น Coca-Cola ที่ยังอยู่ในพอร์ตบัฟเฟตต์จนถึงทุกวันนี้ ก็เกิดขึ้นหลังจากที่บัฟเฟตต์ตัดสินใจลงทุนในหุ้น See’s Candies

ซึ่งหุ้น Coca-Cola ไม่ใช่หุ้นที่ราคาถูกมากใน ตอนที่บัฟเฟตต์ตัดสินใจลงทุน แต่แน่นอนว่าด้วยคุณภาพ และแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ก็ช่วยสร้างผลตอบแทนให้กับ Berkshire Hathaway ได้จนถึงทุกวันนี้

และคนที่ควรได้รับเครดิตในครั้งนี้คือ มังเกอร์ ที่เป็นเพื่อนคนสำคัญ ที่สามารถเปลี่ยนแนวคิดการลงทุนของนักลงทุนที่เก่งที่สุดในโลกอย่าง บัฟเฟตต์ ได้

และแน่นอนว่าปู่บัฟเฟตต์รู้ดีในเรื่องนี้ครับ ปู่บัฟเฟตต์เคยให้สัมภาษณ์ถึงอิทธิพลของ มังเกอร์ ที่มีต่อแนวทางการลงทุนของเขาว่า

ชาร์ลีดึงผมมาอยู่ในทิศทางที่ผมเริ่มมองคุณภาพของธุรกิจเป็นหลักก่อนจะไปมองราคาส่วนลดทีหลัง 

ผมเข้าใจดีว่ามันต้องใช้พลังงานมหาศาลมากในการเปลี่ยนแนวคิดการลงทุนของผมซึ่งได้รับอิทธิพลเต็มๆมาจากเกรแฮม 

แต่ทั้งหมดนั้นชาร์ลีสามารถทำมันได้ด้วยพลังมันสมองของเขาเอง

การซื้อหุ้น See’s Candies ในครั้งนี้ของบัฟเฟตต์และมังเกอร์ เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ บัฟเฟตต์ และ มังเกอร์ ประสบความสำเร็จในการลงทุนจนถึงทุกวันนี้ครับ 

มาถึงตรงนี้ คงเห็นถึงความยอดเยี่ยมของ ชาร์ลี มังเกอร์ กันแล้วใช่ไหมครับ และได้รู้แล้วว่าทำไมปู่มังเกอร์ถึงเป็นสุดยอดนักลงทุนของโลกอีกคนนึง

98 ปีของชาร์ลี มังเกอร์นั้น เขาได้ผ่านอะไรหลายอย่าง มามากมายครับ ทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายผสมกัน 

และถึงแม้ว่าตอนนี้ปู่จะอายุเกือบขึ้นเลข 3 หลัก แล้ว แต่ปู่มังเกอร์ก็ยังมีความเฉียบคม และเฉลียวฉลาดเป็นอย่างมากครับ

ปู่มังเกอร์ มักให้คำเตือนที่ดีกับนักลงทุนและทุกคนอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าปู่มังเกอร์ จะถูกหลายคนมองว่าเป็น ‘คนแก่ปากจัด’ แต่ต้องบอกว่าคำเตือน และคำสอน ของเขามีประโยชน์สำหรับทุกคนอย่างแน่นอน

วันนี้ผมจะขอหยิบยก 3 คำสอน ที่ปู่มังเกอร์พูดอยู่บ่อยๆ มาเล่าให้ทุกคนได้ฟังกันครับ

ข้อที่ 1 “อดทนอดทนและอดทนอยู่เสมอ

การรอคอยจะช่วยคุณในการลงทุนและผู้คนจำนวนมากไม่สามารถทำแบบนั้นได้” 

ปู่มังเกอร์ มักบอกให้นักลงทุนอดทน เพื่อรอจังหวะ และโอกาสที่ดีที่สุดในการลงทุนอยู่เสมอ ปู่ยกตัวอย่างว่า การลงทุนคล้ายกับการเล่นไพ่โป๊กเกอร์ คุณควรรู้ตัวว่าเมื่อไรที่ควรหมอบ และเมื่อไรที่ควรลุย 

และคุณไม่จำเป็นต้องถูกทุกครั้ง เพราะการถูกเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง ก็สามารถทำให้คุณร่ำรวย และประสบความสำเร็จจากการลงทุนได้แล้ว

ข้อที่ 2 “อย่าโกหกเด็ดขาดโดยเฉพาะกับตัวคุณเอง

จงบอกความจริงเสมอและอย่าโกหกเด็ดขาดนั่นเป็นกฎชีวิตง่ายๆที่ทุกคนควรทำให้ได้

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ ปู่มังเกอร์ มักจะให้สัมภาษณ์อย่างตรงไปตรงมา โดยที่ไม่รักษาน้ำใจใครก็ตาม 

เขาจะพูดสิ่งที่เขาต้องการจะพูด หากเขาคิดว่าตัวเองคิดถูกและเป็นความจริง ถึงแม้ว่าสิ่งนั้นจะทำให้หลายคนไม่พอใจก็ตาม

เช่นเดียวกับนักลงทุนทุกคนที่ควรเข้าใจถึงความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้ และไม่ควรโกหกตัวเอง ว่าคุณรับความเสี่ยงได้มาก ทั้งๆ ที่ความจริงคุณรับความเสี่ยงได้น้อยนิด

หรือในบางครั้ง คุณควรยอมรับว่า ‘ตัวคุณคิดผิดกับการลงทุนในครั้งนี้’ ไม่ใช่โกหกตัวเองว่า ‘เดี๋ยวราคาขึ้น ก็พุ่งกลับขึ้นมา’ อย่างที่ปู่มังเกอร์ได้บอกเอาไว้ครับว่า จงพูดความจริงอยู่เสมอ โดยเฉพาะกับตัวคุณเอง

ข้อที่ 3 “อย่าอิจฉาผู้อื่นจนไปลงทุนเพราะความอิจฉา

ความอิจฉาเป็นบาปที่โง่เขลามากเพราะเป็นบาปเพียงอย่างเดียวที่คุณจะไม่มีทางสนุกกับมันได้เลยมันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความทุกข์และทำไมคุณถึงยังอยากอิจฉาคนอื่นอีก

ปู่มังเกอร์ บอกว่าเขาได้ยินปู่บัฟเฟตต์พูดอยู่หลายครั้งว่า ‘ไม่ใช่ความโลภหรอกที่ขับเคลื่อนโลกใบนี้ แต่เป็นความอิจฉาต่างหาก’ ซึ่งปู่มังเกอร์เองก็เห็นด้วยกับประโยคนี้

คุณไม่จำเป็นต้องไปลงทุน ตามคนที่เอาผลกำไรจากการลงทุนอะไรก็ตามมาโชว์ให้คุณได้เห็น ว่าเขาสามารถทำกำไรได้มากกว่า 1,000 หรือ 2,000% 

ปู่มังเกอร์ได้บอกเอาไว้ว่า ‘มันผิดตรงไหนที่จะมีใครสักคนรวยมากกว่าคุณ มันบ้ามากที่คุณจะมานั่งกังวลในเรื่องนี้ และไม่มีความสุขกับมัน’

การอิจฉาใครสักคนไม่ได้ส่งผลดีต่อตัวคุณเลยแม้แต่น้อย หากคุณลงทุนด้วยแรงขับเคลื่อนของความอิจฉา คุณจะไม่มีทางลงทุนได้ดี และยิ่งไปกว่านั้นมันอาจจะทำให้คุณหมดตัวเลยก็ได้

เพราะฉะนั้นแล้วคุณควรควบคุมอารมณ์ของตัวเอง และลงทุนอย่างมีเหตุผล ตามหลักการ หรือแนวคิดการลงทุนที่คุณเข้าใจ และนั่นจะทำให้การลงทุนของคุณประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอนครับ

และสุดท้ายผมของฝากประโยคของปู่ ชาลี มังเกอร์ ที่คุณควรคิดให้ถี่ถ้วน ก่อนที่จะลงทุนในหุ้นตัวใดก็ตาม คือ

“การลงทุนในธุรกิจที่ยอดเยี่ยมในราคาที่เหมาะสมย่อมดีกว่าการลงทุนในธุรกิจที่ธรรมดาในราคาที่ยอดเยี่ยม”

ผู้เขียน: ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน

เปิดไส้ในรถ EV มีอะไรให้ลงทุน ไม่พลาดโอกาสรับเมกะเทรนด์โลก

จับสัญญาณการลงทุน Warren Buffett กับปฏิบัติการณ์ช้อปหุ้น HP ของดีราคาถูกช่วงตลาดผันผวน

จับจังหวะซื้อหุ้นต่ำสุด ไยผลตอบแทนไม่ปัง เดินหน้า DCA บริหารพอร์ตคุ้มค่าระยะยาว

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ