TH | EN
TH | EN
หน้าแรกColumnistขุมพลังเศรษฐกิจ New India แต้มต่อตลาดหุ้นขึ้นแท่น ‘กระทิง’

ขุมพลังเศรษฐกิจ New India แต้มต่อตลาดหุ้นขึ้นแท่น ‘กระทิง’

ปี 2564 ถือเป็นปีทองของตลาดหุ้นอินเดียพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นักลงทุนทั่วโลกต่างร้องว้าว! สวนกระแสความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ผู้ติดเชื้อ Covid-19 ในประเทศที่มีจำนวนสูงติดอันดับโลก รัฐบาลใช้มาตรการล็อกดาวน์ จำกัดทั้งกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเดินทางไม่ต่างกับประเทศอื่น ๆ 

ปลายเดือนสิงหาคม ตลาดหุ้นบอมเบย์ (BSE) เข้าสู่ภาวะกระทิงด้วยดัชนี SENSEX ดีดขึ้นแรงยืนเหนือระดับ 56,000 จุด สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และตลาดหุ้นหลัก (NSE) ที่ร้อนแรงไม่แพ้กัน ดัชนี NIFTY50 ทำสถิติใหม่ทะลุ 16,000 จุด ทั้ง 2 ตลาดติดอันดับ Top 20 ของตลาดหุ้นทั่วโลก และอยู่อันดับต้น ๆ ของภูมิภาคเอเชีย

เชื่อว่า นักลงทุนมีคำถามมากมาย ต่อบรรยากาศตลาดหุ้นอินเดียที่วิ่งแรงแซงโค้ง ตลาดหุ้นจะไปต่อไหม หรือลงทุนติดพอร์ตในเวลานี้ยังทันไหม

คนส่วนใหญ่ติดภาพจำเดิม ๆ ว่า อินเดียเป็นประเทศยากจน มีความเหลื่อมล้ำสูง แต่วันนี้โลกของอินเดียกำลังก้าวสู่จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตทางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม ธุรกิจต่าง ๆ สังคมคนทำงาน ที่กำลังทะยานไปกับโลกดิจิทัลด้วยนโยบายรัฐบาล คือ ‘New India’

ผมมีข้อมูลที่น่าสนใจมากางให้ดูกันก่อนตัดสินใจลงทุนตลาดหุ้นอินเดีย ว่า ดินแดนภารตะแห่งนี้ มีขุมพลังอะไรบ้าง  และสามารถสร้างโอกาสลงทุนต่อจากนี้ไปยาว ๆ

กะเทาะเปลือกเศรษฐกิจอินเดียสู่ Sun Rise

ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค Covid-19 หลายประเทศเริ่มคลี่คลายลงแล้ว โดยเฉพาะอินเดีย ซึ่งรัฐบาลกำลังเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชน รวมทั้งผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาเดินหน้าอีกครั้ง

แม้ว่าอินเดียเผชิญวิกฤติการแพร่ระบาดของ Covid-19 ในช่วงครึ่งปีแรก แต่ด้านเศรษฐกิจกลับแข็งแกร่ง ล่าสุดไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจเติบโตก้าวกระโดดถึง 20% แม้ว่าส่วนหนึ่งเป็นผลของฐานปีที่แล้วที่หดตัวแรงก็ตาม แต่ในแง่ปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจแล้วแข็งแกร่งมาก ทั้งภาคส่งออกของอินเดียก็มีการขยายตัวทำสถิติใหม่รายเดือน โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากประเทศคู่ค้าและเศรษฐกิจโลก 

อีกแรงขับเคลื่อนใหญ่มาจากการลงทุนที่ขยายตัวสูงไม่แพ้กัน เม็ดเงินลงทุนโดยตรง (FDI) หลั่งไหลเข้าสู่อินเดียอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงที่เกิดปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนยืดเยื้อหลายปี ส่งผลให้ปี 2563 อินเดียติดอันดับ 5 ของโลกที่ดึงดูดเม็ดเงินต่างชาติเข้ามาลงทุนโดยตรง (FDI) สูงสุด และยังได้รับการเลื่อนอันดับเป็นประเทศที่น่าลงทุน (Ease of Doing Business) ขึ้นมาอยู่อันดับที่ 63 ของโลกในปี 2563 จากอันดับที่ 100 เมื่อปี 2560 

ปัจจุบัน อินเดียสามารถยกระดับการผลิตเป็นสินค้าขั้นกลางเพื่อส่งออก และมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ  ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มการผลิตสินค้าที่เกี่ยวเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน อิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโลกดิจิทัล ยิ่งช่วงที่เกิด Covid-19 มีคำสั่งซื้อที่สูงมาก เป็นภาพใหม่ต่างจากอดีตที่ผลิตสินค้าขั้นต้น ไม่ซับซ้อน

วันนี้ เส้นทางการเปลี่ยนผ่านโครงสร้างการผลิตเพื่อส่งออก ทำให้อินเดียก้าวเข้าสู่ห่วงโซ่การผลิตของโลกชัดเจนขึ้น และรัฐบาลอินเดียประกาศโรดแมปพัฒนาประเทศเป็น New India ในปี 2565 ภายใต้แผนพัฒนา 41 สาขา นำโดยเน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เป็นตัวสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ

พร้อม ๆ ไปกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทุกด้าน เพื่อส่งเสริมการทำธุรกิจ เช่น ระบบขนส่ง โลจิสติกส์ ทรัพยากรน้ำ สมาร์ทซิตี้ ส่งเสริมเครือข่ายอินเทอร์เน็ตครอบคลุมทุกพื้นที่ และยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ทั้งด้านการศึกษา การเพิ่มรายได้ เพื่อเพิ่มสัดส่วนคนชนชั้นกลาง การสร้างธรรมาภิบาล ผ่านการเชื่อมโยงฐานข้อมูลจากพื้นที่ห่างไกล ส่งเสริมการร่วมมือระหว่างรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น และตั้งเป้าหมายมูลค่าทางเศรษฐกิจเติบโต 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2573

มาดูสังคมแรงงานของอินเดีย ที่มีประชากรจำนวนมากกว่า 1,300 ล้านคน ส่วนใหญ่อยู่ในวัยแรงงาน แม้ว่าค่าแรงอยู่ระดับต่ำ แต่คนส่วนใหญ่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร และมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถทางด้านเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์และวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อย พร้อมรองรับแรงงานมีทักษะของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาตั้งฐานการผลิต ยิ่งมีการจ้างงานใหม่ ๆ ยิ่งทำให้คนมีรายได้มากขึ้น มีกำลังซื้อมีการบริโภคที่ดีขึ้น แม้แต่การใช้สมาร์ทโฟนใช้อินเทอร์เน็ต พบว่า เป็นประเทศที่ติดอันดับผู้ใช้งานเครือข่าย 5G ติดอันดับ 3 ของโลกรองจากสหรัฐฯ และจีน

อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอินเดียอยู่ในช่วงวัฏจักรขาขึ้น ยิ่งไตรมาส 2 ที่ผ่านมาในปีนี้ เศรษฐกิจขยายตัวเป็นตัวเลข 2 หลัก ล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ทั้งปี 2564 เติบโต 12.5% หลังจากปีที่แล้วติดลบ 8% ด้วยมูลค่า GDP อยู่ที่ 2.72 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ติดอันดับ 7 ของโลก

และในระยะข้างหน้าที่รัฐบาลอินเดียตั้งเป้าหมายมูลค่า GDP แตะ 5 ล้านล้านดอลาร์สหรัฐ นับเป็นการส่งสัญญาณ Sun Rise ของโลก กำลังไต่อันดับมายืน Top 3 จากรายงาน The World in 2050 ระบุว่า เศรษฐกิจอินเดียจะมีขนาดแซงสหรัฐฯ ในปี 2573

ตลาดหุ้นม้ามืดกลุ่มประเทศเกิดใหม่

สปอตไลต์ส่องตรงไปยังโลกแห่งการลงทุนในแดนภารตะ New India กำลังจะเติบโตขึ้นมาเป็นยักษ์ใหญ่ของโลกในระยะข้างหน้า เป็นขุมพลังให้ตลาดหุ้นอินเดียพุ่งต่อเนื่อง นับเป็นม้ามืดวิ่งแรงในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นบอมเบย์ มีมาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้นมาแตะ 3.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และตลาดหุ้น NSE มีมาร์เก็ตแคป 3.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

ขณะที่ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี (ณ วันที่ 31 ส.ค. 2564) ของดัชนี SENSEX อยู่ที่ 48.44% และดัชนี NIFTY50 ให้ผลตอบแทน 50.45%

เห็นเสน่ห์ผลตอบแทนของตลาดหุ้นอินเดียอย่างนี้แล้ว หากรู้สึกว่า อยากคว้าโอกาสการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาว แต่การเลือกลงทุนหุ้นรายตัวด้วยตัวเอง คงเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร เนื่องจากยังเป็นตลาดที่มีข้อจำกัดการลงทุน เช่น หุ้นบางตัวไม่เปิดให้นักลงทุนต่างชาติลงทุน หรือแม้แต่การเข้าถึงข้อมูลเพื่อนำมาวิเคราะห์ มาตรฐานการเปิดเผยข้อมูล เป็นต้น  

แต่ใครที่อยากลงทุนตลาดหุ้นอินเดียเพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนเติบโต ผมแนะนำให้เลือกลงทุนผ่าน ETF (Exchange Traded Fund) เพราะ ETF จะพาคุณลงทุนได้ครอบคลุมหุ้นทั้งตลาด และถ้าเป็น Passive ETF จะให้ผลตอบแทนล้อไปกับดัชนีตลาดหุ้นโดยรวม ไม่ต้องโฟกัสว่า ผลตอบแทนต้องชนะตลาดทุกครั้งหรือไม่

โดย 1 ใน ETF ที่น่าสนใจลงทุน คือ Wisdom Tree Earnings Fund (EPI) อยู่ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก (NYSE) ซึ่ง U.S. News & World Report ระบุว่า เป็น ETF ที่มีการบริหารจัดการที่ดีที่สุดเหมาะสำหรับลงทุนระยะยาว

สำหรับ EPI เป็นกองทุนประเภท Passive Fund มีนโยบายให้ผลตอบแทนตามดัชนี Wisdom Tree Earnings Index ที่คำนวณหุ้นอินเดียประมาณ 360 บริษัท จะเน้นลงทุนในบริษัทจดทะเบียนทุกขนาดที่มีศักยภาพในการทำกำไรและใช้เกณฑ์ประเมินมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมเป็นหลัก 

หุ้นที่ EPI ลงทุนจะอยู่ใน 3 กลุ่มอุตสาหกรรมหลักๆ มีสัดส่วนรวมเกือบ 60% ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV) ได้แก่ การเงิน เทคโนโลยีสารสนเทศ และวัตถุดิบในการผลิต นอกจากนี้ เป็นการกระจายลงทุนในพลังงาน สาธารณูปโภค อุตสาหกรรม สินค้าฟุ่มเฟือย และสินค้าจำเป็น

แต่ละหุ้นที่ลงทุนจะเน้นการเติบโตที่ชัดเจน เป็นบริษัทชั้นนำของอินเดียที่มีธุรกิจกระจายในหลายๆประเทศ และมีผลต่อดัชนีตลาดหุ้นอินเดีย ซึ่งปัจจุบัน 10 อันดับหุ้นที่ลงทุนสูงสุดของ EPI จะมีน้ำหนักเกือบ 40% ของมูลค่า NAV สร้างผลตอบแทนในรอบ 1 ปีมากกว่า 50%

นี่คือ ภาพต่อจิ๊กซอว์ของอินเดีย ทั้งเศรษฐกิจที่อยู่วัฏจักรขาขึ้น การเปลี่ยนผ่านโครงสร้างภาคการผลิตให้เป็นห่วงโซ่การผลิตบนเวทีโลก การแจ้งเกิดอุตสาหกรรมใหม่ๆ โดยเฉพาะเทคโนโลยี นวัตกรรมที่ล้อไปกับเมกะเทรนด์  ล้วนมีอิทธิพลต่อการเติบโตบริษัทจดทะเบียนให้ออกไปสู่การลงทุนในต่างประเทศ และเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญต่อตลาดหุ้นอินเดียให้เติบโตได้ในระยะยาว 5-10 ปีข้างหน้า

สำหรับการลงทุนใน ETF ที่ลงทุนครอบคลุมหุ้นทั้งตลาด เป็นอีก 1 คำตอบที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงและคว้าโอกาสรับผลตอบแทนในระยะยาว จากโลกใหม่อย่าง New India ที่แจ้งเกิดเร็วเกินคาด ถึงเวลาต้องกลับมาจัดพอร์ตลงทุนกัน เพื่อให้เงินทำงาน ออกดอกออกผลให้พอร์ตเติบโตในระยะยาว

ผู้เขียน: ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด นักลงทุนแนวเน้นคุณค่า และผู้ก่อตั้งสตาร์ตอัป Jitta Wealth ซึ่งเป็น Wealth Tech สัญชาติไทยรายแรกที่ได้รับอนุญาตบริหารจัดการกองทุนส่วนบุคคล จากสำนักงาน ก.ล.ต.

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ