คงไม่มีใครปฏิเสธว่าในห้วงเวลานี้ “กัญชา” กำลังเป็นพืชเศรษฐกิจที่กำลังมาแรงแซงโค้งพืชทุกชนิดแบบไม่เห็นฝุ่น พร้อมกับจุดพลุความสนใจของคนไทยในทุกภาคส่วนเป็นวงกว้าง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่นานยังเป็น “พืชต้องห้าม” และเล่นแร่แปรธาตุมาเป็น “พืชการเมือง” และกำลังจะถูกสร้างให้เป็นพืชที่เป็นความหวังของคนไทยและประเทศไทย หลังจากที่กระทรวงสาธารณสุขได้ผลักดันพืชชนิดนี้ต่อเนื่องช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา
เท่านั้นยังไม่พอล่าสุดปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมายังผลักดัน “กัญชง” ให้เป็น “คู่แฝดพืชเศรษฐกิจตัวใหม่” อีกตัวโดยชูสรรพคุณใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วนตั้งแต่ใบดอกลำต้นจนถึงราก ขณะที่กัญชาก็มีนโยบายใช้ประโยชน์ ตั้งแต่กัญชาทางการแพทย์ กัญชาเพื่อความบันเทิง และกัญชาเพื่อเศรษฐกิจ เบ็ดเสร็จตลาดกัญชงและกัญชามีมูลค่ามหาศาล
ปรากฏการณ์ครั้งนี้ ยิ่งสร้างความตื่นตัวให้ทั้งภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เกษตรกร ตลอดจนมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เตรียมนำ “กัญชา-กัญชง” มาต่อยอดทางธุรกิจสารพัดรูปแบบเท่าที่จะจินตนาการได้
ซึ่งเป็นที่รับรู้กันว่าในแง่สรรพคุณนั้น ใบ ราก ก้าน สามารถใช้ในตำรับยาแผนไทย ผลิตภัณฑ์สมุนไพร ส่วนเปลือก แกนลำต้น ส่วนเส้นใย นำไปใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอได้ สารสกัดก็ใช้ในอุตสาหกรรมยา ผลิตภัณฑ์สมุนไพร และเครื่องสำอาง เมล็ด หรือน้ำมันจากเมล็ดกัญชง ใช้ในอาหารและเครื่องสำอาง
ฉะนั้น จึงอย่าได้แปลกใจทำไมใคร ๆ จึงพากันแห่มาลงทุนในธุรกิจนี้กันอย่างคึกคักอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ยิ่งหากดูมูลค่าที่นักวิเคราะห์และนักลงทุนรายย่อยของวอลล์สตรีท ระบุว่า อุตสาหกรรมกัญชาตามกฎหมายเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ บริษัท วิจัยกัญชา ArcView พบว่ายอดขายในอเมริกาเหนือเพิ่มขึ้น 33% เป็น 9.7 พันล้านดอลลาร์ในปี 2560 และทำรายได้ถึง 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ในปลายปี 2564 อีกทั้งมูลค่ากัญชงในตลาดโลกในปี 2562 สูงถึง 4.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.4 แสนล้านบาท ตัวเลขมูลค่าธุรกิจมหาศาลนี้ เป็นแม่เหล็กดึงดูดนักลงทุนได้เป็นอย่างดี
กล่าวสำหรับข้อมูลทางการตลาดระบุว่า ตลาดโลกของกัญชาถูกกฎหมายจะขยายตัวไปถึง 5.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2027
อีกทั้งสื่อแคนาดา ระบุว่า Marlboro เจ้าของธุรกิจบุหรี่ยักษ์ใหญ่ระดับโลก ใช้เงิน 2.4 พันล้านเหรียญแคนาดาซื้อบริษัทกัญชาในประเทศแคนดาเมื่อปลายปี 2561 ที่ผ่านมา
จะเห็นว่าธุรกิจนี้ ในต่างประเทศได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมาก่อนไทย มีหลายบริษัทที่เป็นบริษัทมหาชนและจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ของหลายประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในสหรัฐฯ และแคนาดา โดยบริษัทที่ใหญ่ที่สุด คือ Canopy Growth Corp มีมูลค่าราว 3 แสนล้านบาท
ขณะที่ตอนนี้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของไทยก็คึกคักไม่น้อย และที่ประกาศว่าจะขยายธุรกิจเกี่ยวกับกัญชงและกัญชามีมากกว่า 30 ราย โดยสนใจลงทุนตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ยันปลายน้ำ และกำลังจะเป็นจุดขายใหม่ของบริษัทจดทะเบียน ทำให้ราคาหุ้นบริษัทจดทะเบียนเหล่านี้ ยกโขยงขึ้นไปรอล่วงหน้ากันเป็นแถว
อันที่จริงตอนนี้ไม่รู้ว่าใครของจริงของปลอม บริษัทใดจะทำได้จริงแค่ไหน ต้องใช้เวลายาวนานเท่าไร จึงผลิตสินค้าหรือบริการได้ และจะทำให้ผลประกอบการบริษัทเติบโตเพียงใด แต่ก็พากันประกาศปักธงไว้ก่อนอย่างน้อย ๆ ก็เป็นปัจจัยที่ถูกนำไปกระตุ้นราคาหุ้นได้
มิหนำซ้ำ บริษัทจดทะเบียนบางแห่งโหนกระแสใช้กัญชง-กัญชาปั่นกระแสผ่านโซเชียลมีเดีย ซึ่งหมิ่นเหม่ต่อการเข้าข่ายจงใจปั่นราคาหุ้นได้ ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องออกมาเตือนให้นักลงทุน พิจารณาความเป็นไปได้ของบริษัทจดทะเบียนที่ประกาศจะรุกธุรกิจกัญชง-กัญชาให้ดี เพราะบางบริษัทฉวยโอกาสช่วงนี้ปั่นราคาหุ้นทั้งที่ไม่มีธุรกิจที่เกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อย
สำหรับกลุ่มธุรกิจที่ประกาศตัวจะเข้ามาลุยธุรกิจกัญชงกัญชาที่ดูแล้วน่าจะเป็นตัวจริงเสียงจริงก็มีหลายราย มีตั้งแต่ยักษ์ใหญ่อย่างซีพี, ไทยเบฟ, ไทยยูเนี่ยน, คาราบาวกรุ๊ป, ทิปโก้, อาร์เอส, เถ้าแก่น้อย, อิชิตัน, ศรีตรัง รวมถึงค่ายปตท.เองก็สนใจ นอกจากนี้ ยังมีรายย่อยที่กลัวตกรถไฟขบวนสายนี้พาเหรดเข้ามาแย่งเค้กแสนล้านกันคึกคัก
ประมาณว่าที่ประกาศตัวกว่า 30 บริษัท อาจจะมีเพียงไม่ถึง 10% ที่ประสบความสำเร็จ และอีกราว 90% อาจจะแค่เกาะกระแส
เหมือนที่เคยเกิดที่เคยเกิดขึ้นในต่างประเทศ ซึ่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา หลายบริษัทที่กระโดดเข้ามาในธุรกิจนี้ยังไม่สามารถที่จะทำกำไรได้
ไม่ต้องดูอื่นไกลแค่ลองหลับตานึกภาพดูว่ามีคนปลูกกัญชาทั่วประเทศพร้อม ๆ กัน ราคาของกัญชาย่อมจะตกลงอย่างแน่นอน อาจจะซ้ำรอยยางพาราที่คนขายปุ๋ยหรือต้นกล้าได้กำไรมหาศาลไปก่อนแล้ว เมื่อรวมถึงการลงทุนที่บริษัทต่าง ๆ แห่ลงทุนพร้อม ๆ กันจนมีสินค้าออกมามากกว่าความต้องการของตลาด ในที่สุดก็จะกลายเป็น “ฟองสบู่”
ถึงตอนนั้นกัญชงและกัญชาก็จะซ้ำรอยประวัติศาสตร์ฟองสบู่แตก ซึ่งบทเรียนในอดีตก็มีให้เห็นมานักต่อนักแล้ว
ทวี มีเงิน
ภาพประกอบจาก wikipedia.org th.wikipedia.org pexels.com
