เศรษฐกิจสีเงินหรือเศรษฐกิจสูงวัย เป็นกลุ่มที่น่าจับตาในแวดวงธุรกิจ จากการที่สัดส่วนผู้สูงอายุได้เพิ่มมากขึ้นในหลายพื้นที่ สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส ใช้เวลา 45 ปี 69 ปี และ 115 ปี ในการเปลี่ยนจากสังคมผู้สูงอายุ (aging society) สู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ในขณะที่ไทยได้ใช้เวลาไปเพียง 19 ปี ซึ่งสิงคโปร์กับจีนจะใช้เวลา 25 ปีเท่านั้น
สหประชาชาติระบุว่า สังคมผู้สูงอายุ (aging society) คือสังคมที่มีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่า 7% ของประชากรในพื้นที่ทั้งหมด สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ คือเพื่อกลุ่มดังกล่าวมีสัดส่วนมากกกว่า 14% ของประชากรทั้งหมด และเมื่อมีสัดส่วนเกิน 20% จะถือว่าเป็นสังคมผู้สูงอายุขั้นสุดยอด (super-aged society) ภายในปี 2573 ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปจะครองสัดส่วน 32% ของประชากรทั้งหมดของเอเชียแปซิฟิก
นอกจากนี้ อัตราการเกิดในหลากหลายพื้นที่ได้ลดลง ในขณะที่อัตราการเสียชีวิตกลับเพิ่มขึ้น ซึ่งอัตราการเสียชีวิตของญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ได้สูงกว่าอัตราการเกิดตั้งแต่ก่อนปี 2563 แล้ว ในขณะที่อัตราการเสียชีวิตของอินโดนีเซีย นิวซีแลนด์ และเวียดนาม จะสูงกว่าอัตราดังกล่าวหลังปี 2593
จากแนวโน้มที่มีประชากรสูงวัยมากขึ้น ทั้งฝั่งผู้สูงอายุเอง และธุรกิจต่าง ๆ เริ่มพิจารณาใหม่ถึงลักษณะการทำงาน เช่น การยืดอายุการเกษียณออกไป
แนวโน้มของผู้เกษียณอายุที่ยังทำงานในพื้นที่ต่าง ๆ ยังเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่
- การขยายเวลาการทํางานเนื่องจากค่าครองชีพสูง เช่น1 ใน 3 ของผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปที่เกษียณแล้วในสหราชอาณาจักรในช่วงโควิด-19 กลับมาทํางานเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเงิน
- การขาดแรงงานของบริษัทต่าง ๆ เช่นประชากรแรงงานที่ลดลงในเอเชีย ได้จูงใจให้องค์กรต่าง ๆ จ้างพนักงานที่เกษียณอายุแล้ว
- รัฐบาลปรับเพิ่มเกณฑ์เกษียณอายุ เช่น จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ กําลังวางแผนที่จะเพิ่มอายุเกษียณอย่างค่อยเป็นค่อยไป และการจัดการเพื่อรับมือกับประชากรสูงอายุอย่างรวดเร็วของประเทศ
เศรษฐกิจสีเงินในประเทศไทย
ข้อมูลจากกรมผู้สูงอายุชี้ว่า ไทยมีจํานวนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปในปี 2565 12.7 ล้านคน หรือ 19% ซึ่งประกอบไปด้วยช่วงอายุ 60-69 กว่า 7 ล้านคน เมื่อพิจารณาถึงรายได้จากแหล่งที่มาของผู้สูงวัยทั้งหมด พบว่า 1 ใน 3 จะมาจากการทำงาน และอีก 1 ใน 3 มีรายได้มาจากบุตร และประมาณ 1 ใน 4 ของผู้สูงวัยที่ได้รับเงินสนับสนุนจากบุตรในครัวเรือนนั้น ได้รับเพียง 1,000 ถึง 4,999 บาทต่อปีเท่านั้น ซึ่งต่ำกว่า poverty line ของธนาคารโลกที่ระบุไว้ประมาณ 27,000 บาทต่อปี สำหรับผู้สูงวัยที่ยังทำงานอยู่ มีความนิยมทำเกษตรและประมง (60.5%) และพนักงานบริการและผู้จำหน่ายสินค้า (18.2%) มากที่สุด และหากจำแนกตามสถานภาพการทำงาน พบว่า 65% ของผู้สูงวัยที่ยังทำงาน ทำธุรกิจส่วนตัว 19% ช่วยธุรกิจในครัวเรือน 13% เป็นลูกจ้าง และ 3% เป็นนายจ้าง
4 กลุ่มของเศรษฐกิจสูงวัยประเทศไทย – ตามมูลค่าตลาดและขนาดประชากรเป้าหมาย
มูลค่าตลาดและขนาดประชากรของกลุ่มเศรษฐกิจสูงวัยไทย ดีลอยท์แบ่งเป็น 4 กลุ่ม โดยพิจารณาจากความมั่งคั่งสุทธิ และการปรับตัวต่อเทคโนโลยี ซึ่งแบ่งเป็นกลุ่มที่มีงบจำกัด/มั่งคั่ง และ กลุ่มเท่าทันเทคโนโลยี/ล้าหลัง ซึ่งเราคาดการณ์ว่า กลุ่มที่มีความมั่งคั่งและเท่าทันต่อเทคโนโลยี จะมีมูลค่ากว่า 1.2 ล้านล้านบาท จากจำนวน 6.7 แสนคนในปี 2566 ในขณะที่กลุ่มที่มีงบจำกัดและล้าหลัง อาจมีมูลค่าเพียง 32.6 พันล้านบาท จากจำนวนกว่า 4.5 ล้านคน ทั้งนี้ อัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของผู้สูงวัยกำลังปรับตัวดีขึ้น เห็นได้จากรายงานของสสช.ที่ระบุว่าประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมีการใช้อินเทอร์เน็ต 56.3% ในไตรมาส 4 ปี 2565 ซึ่งเพิ่มจากไตรมาส 3 ปี 2565 ซึ่งอยู่ที่ 53.6%
ดังนั้น การพิจารณาว่าเศรษฐกิจสีเงินเป็นสิ่งที่เหมือน ๆ กันเป็นแนวคิดที่ไม่ถูกต้อง ภาคส่วนต่าง ๆ จำเป็นต้องพัฒนา ปรับแต่งให้เหมาะกับเป้าหมายและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ มีการกำหนดกลยุทธ์ตามภาคส่วนเพื่อปรับเปลี่ยนการเข้าสู่ตลาดและการเปลี่ยนแปลงองค์กร นอกจากนี้ เรายังเชื่อว่าดิจิทัลจะเป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงนี้ ซึ่งจะไม่ใช่เพียงเพราะเศรษฐกิจสูงวัยได้กลายเป็นดิจิทัลมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ยังเป็นเพราะดิจิทัลขับเคลื่อนความคล่องตัวและช่วยเพิ่มความเร็วสู่การเปลี่ยนแปลง หนึ่งในงานวิจัยโดย Deloitte และ MIT Sloan Management Review ระบุว่าองค์กรที่เติบโตทางดิจิทัลไม่เพียงสร้างนวัตกรรมมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังสร้างนวัตกรรมที่แตกต่างออกไปด้วย องค์กรที่เติบโตทางดิจิทัลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสองเท่าในการสร้างความร่วมมือกับผู้เล่นในระบบนิเวศเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม
เมื่อเราทราบแล้วว่าเศรษฐกิจสูงวัยกำลังเข้าสู่ดิจิทัลมากขึ้น องค์กรที่เติบโตทางดิจิทัลแล้วมีโอกาสที่จะเจาะตลาดกลุ่มนี้มากขึ้น หรือสามารถลดความเสี่ยงจากการถูกดิสรัปจากประชากรสูงวัยในสัดส่วนที่เปลี่ยนไป
แนวโน้มธุรกิจสำหรับผู้สูงวัย
นอกจาก 4 กลุ่มเศรษฐกิจสูงวัย เรายังมองธุรกิจสำหรับผู้สูงวัยเป็น 6 ธุรกิจหลัก ดังนี้
- สุขภาพ เช่น การดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งอาจเป็นการตั้งธุรกิจใหม่ทั้งหมด หรือขยายการบริการจากธุรกิจที่มีอยู่แล้ว
- อสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่อยู่อาศัยที่ปรับรูปแบบการใช้งาน และเฟอร์นิเจอร์ให้เหมาะสมกับผู้สูงวัย บ้านพักคนชรา ชุมชนผู้สูงอายุ
- สันทนาการและการพัฒนาตนเอง เช่น การท่องเที่ยวสำหรับผู้สูงวัย การเรียนรู้ งานฝีมือ กิจกรรมอัพสกิลสําหรับผู้สูงวัย
- อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น อุปกรณ์ติดตามผู้สูงวัย อุปกรณ์การแพทย์สำหรับการช่วยเหลือผู้สูงวัย
- ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย เช่น การจัดทำเจตจํานงในการดํารงชีวิต
- ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เช่น สินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ (Reverse Mortgage) การประกันภัยสำหรับผู้สูงอายุ
นอกจากโอกาสที่ทางธุรกิจต่าง ๆ จะได้รับจากสังคมสูงวัย อย่างไรก็ตาม นั่นหมายถึงประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายทางสัดส่วนประชากรศาสตร์อย่างมากด้วย กลุ่มคนวัยทำงานที่ลดลงจะเชื่อมถึงผู้สืบทอดธุรกิจจำนวนลดลงเช่นกัน ดังนั้นธุรกิจควรมีการวางแผนการสืบทอดตำแหน่งที่พร้อมและเหมาะสม ยิ่งไปกว่านั้น จากที่ไทยมีประชากรผู้สูงวัยที่มีงบจำกัดหรือมีรายได้ต่ำเป็นจำนวนมาก ทั้งรัฐบาลและภาคเอกชนควรช่วยเหลือสังคมไทย และพิจารณาถึงวิธีการลดความท้าทายของประชากรวัยทำงานในอนาคต และเพื่อให้แน่ใจว่าสังคมเราจะไม่ได้อยู่ในสถานะ “แก่ก่อนรวย”
บทความโดย ดร. นเรนทร์ ชุติจิรวงศ์ ผู้อำนวยการบริหาร – Clients and Markets และ ทัศดา แสงมานะเจริญ Senior Consultant – Clients & Markets ดีลอยท์ ประเทศไทย
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ไทยเวียตเจ็ท ครึ่งปีแรกผู้โดยสารเพิ่ม 10.12% เร่งยกระดับบริการ ขยายเส้นทางบิน
ไมเนอร์ จับมือ POP MART ลุยตลาดอาร์ตทอยในไทย ประเดิม เปิดแฟล็กชิปสโตร์แห่งแรก ก.ย. นี้