ความวุ่นวายในการตั้งครม.บิ๊กตู่ 2/2 โผที่หลุดออกมาน่าจะลงตัว มี 2 ประเด็นที่น่าห่วง อย่างแรก แม้ “บิ๊กตู่” พลเอกประยทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะใช้ไม้แข็งตัดโควต้ารัฐมนตรีพปชร.เหลือ 3 ที่นั่งจาก 5 ที่นั่ง ต้องจับตาดูว่าหลังจากนี้ จะมีการ “ตีรวน” จากพวกอกหักหรือไม่ เฉพาะอย่างยิ่ง กระทรวงพลังงาน ที่โผออกมาเป็นคนนอก
-“ขุมทรัพย์พลังงาน” ใคร ๆ ก็อยากคุม
-วิกฤติซ้อนวิกฤติ ระยองถึง “ทำเนียบ”
ประเด็นต่อมา ตามโผที่ออกมา “ปรีดี ดาวฉาย” จะมานั่งรัฐมนตรีคลัง ส่วนพลังงาน โผแรกเป็น “ไพรินทร์ ชูโชติถาวร” แต่หากเกิดเหตุพลิกผัน ก็จะเป็น “สุพัฒน์พงษ์ พันธุ์มีเชาว์” แม้จะเป็นคนนอก แต่ดีกรีที่มีอยู่จะรับมือวิกฤติเศรษฐกิจไหวหรือไม่ ยิ่งเป็นมือใหม่ต้องเรียนรู้งานกว่าทุกอย่างจะลงตัวก็เกือบ ๆ 3เดือน ระหว่างนั้นไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
คำถามตามมา ก็คือ ทั้งในเรื่องการตีรวนจากพวกอกหักจากเก้าอี้รัฐมนตรีอาจสั่นคลอนเสถียรภาพรัฐบาลและคุณภาพของคนนอกที่มีแค่ 2 ที่นั่ง ซึ่งเดิมจะใช้ “ป๋าเปรมโมเดล” จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนไทยและต่างประเทศได้หรือไม่
บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเทศ ได้ประเมินสถานการณ์ปรับเปลี่ยนตำแหน่งรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจของไทยที่ยังหาทางออกไม่ได้ว่า สะท้อนถึงความแตกแยกภายในพรรคแกนนำรัฐบาล และส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า ความล่าช้าในการหาตัวแทนขุนพลด้านเศรษฐกิจที่มีความสำคัญต่อประเทศอาจบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มหดตัวหนักที่สุดในเอเชีย
“แฮริสัน เฉิง” ผู้ช่วยผู้อำนวยการบริษัทที่ปรึกษา “คอนโทรล ริสก์ส” (Control Risks) ระบุว่า การปรับคณะรัฐมนตรีของไทยจุดชนวน “ศึกชิงเก้าอี้รัฐมนตรีอันดุเดือด” ระหว่างสมาชิกพรรครัฐบาลด้วยกันเอง และอาจทำให้ความขัดแย้งภายในเลวร้ายลงไปอีก แผนของนายกฯ ประยุทธ์ที่ต้องการดึง “คนนอกที่มีชื่อเสียง” จากภาครัฐและเอกชนมาร่วมทีมเศรษฐกิจ จะกระตุ้นให้เกิด “ความไม่พอใจร้าวลึก” ในกลุ่มการเมืองต่าง ๆ และอาจทำให้การเคาะรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ล่าช้าไปถึง 2 เดือน ซึ่งจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ขณะที่บรรดานักวิเคราะห์จากธนาคารโนมูระของญี่ปุ่น คาดว่า การปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีของไทยจะไม่มีผลกับแผนเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาล แต่อาจมีความกังวลอยู่บ้างเกี่ยวกับการบริหารมาตรการทางการคลัง โดยเฉพาะหลังการลาออกของ “นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ซึ่งเป็นผู้กำหนดนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล ทำให้มีความไม่แน่นอนด้านนโยบายท่ามกลางช่วงเวลาสำคัญที่เศรษฐกิจไทยกำลังฟันฝ่าภาวะถดถอยครั้งใหญ่
ฟากนักวิเคราะห์ไทย “นายนริศ สถาผลเดชา” หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี เปิดเผยว่า ช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ ค่าเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าอย่างต่อเนื่องโดยอ่อนค่าไป 2.6% ปัจจัยเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทีมเศรษฐกิจทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจว่านโยบายต่าง ๆ โดยเฉพาะเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) จะยังเดินหน้าได้ต่อเนื่องหรือไม่ และอีกปัจจัย คือ ดุลบัญชีเดินสะพัดเริ่มลดลง และมีการขาดดุลในบางเดือน
ขณะที่สำนักวิจัย KKP ระบุในงานวิจัยว่าตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2556 ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะปฏิวัติยึดอำนาจเพียงปีเดียวจนถึงปัจจุบันปี 2563 นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยมาตลอดทุกปีรวมกว่า 800,000 ล้านบาท ในปีนี้ตั้งแต่ต้นปีถึง 3 กรกฎาคม นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยกว่า 220,000 ล้านบาท แนวโน้มการเติบโตของตลาดหุ้นไทยอ้างอิงจาก ดัชนี MSCI Thailand Index เทียบกับประเทศอื่นแล้ว สู้เขาไม่ได้เลย
จึงไม่แปลกที่นักลงทุนต่างชาติเมินหุ้นไทย ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยแทบไม่มีการเติบโตเลย โดยทิศทางการเติบโตของตลาดหุ้นในระยะยาว เป็นเครื่องสะท้อนศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ การที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจประเทศไทยน้อยลง และหันไปลงทุนในประเทศอื่นแทน ไม่เพียงกดดันทิศทางตลาดหุ้นไทยเท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่าก็คือ อาจเป็นสัญญาณเตือนว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ ที่อาจทำให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจในอนาคตตกต่ำลงอย่างถาวร เมื่อเทียบกับอดีตและเทียบกับประเทศอื่น ๆ
นี่คือ คำตอบ ทำไมคนเก่ง คนดี ที่เป็นคนนอกหลาย ๆ คนปฏิเสธไม่ยอมรับตำแหน่ง รัฐมนตรีรัฐบาลบิ๊กตู่ 2/2 นอกจากเบื่อ นักการเมือง เสือ สิงห์ กระทิงแรด เขี้ยวลากดินแล้ว อาจเป็นเพราะเห็นไส้ในเศรษฐกิจ หนักกว่าที่นึก ลึกกว่าที่คิด ก็เป็นได้
นับว่าเป็นอันตรายต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างประเทศอย่างมาก
ทวี มีเงิน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
-Mottoraka เว็บไซต์เช็คราคารถมือสอง ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์
-ARIP ปรับกลยุทธ์จัด COMMART ดึงออนไลน์ดันยอดขายทั่วประเทศ
-องค์กรไทยเพิ่มงบด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ รับมือภัยคุกคามรูปแบบใหม่
-จีนใช้คูปองดิจิทัล ฟื้นเศรษฐกิจหลังโควิด-19
