TH | EN
TH | EN
หน้าแรกBusinessบล.บัวหลวง มองหุ้นไทยครึ่งหลังแกว่งตัว แนะลงทุน “หุ้นเติบโต” ผสม “หุ้นปันผล”

บล.บัวหลวง มองหุ้นไทยครึ่งหลังแกว่งตัว แนะลงทุน “หุ้นเติบโต” ผสม “หุ้นปันผล”

หลักทรัพย์บัวหลวง ชี้ตลาดหุ้นไทยครึ่งหลังปี 63 แกว่งตัว หลังไวรัสโควิด-19 กดดันภาพรวมเศรษฐกิจ ฉุดกำไรบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 2 ปี 63 ลงเฉลี่ย 40% แนะสร้างโอกาสการลงทุน 6 เดือนหลัง ด้วยกลยุทธ์ “Sector Rotation” เน้นสร้างพอร์ตลงทุน ด้วย “หุ้นเติบโต” ผสม “หุ้นปันผล” พร้อมกระจายความเสี่ยงผ่านการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ

-กสิกรไทย มั่นใจเสถียรภาพการเงิน/ธุรกิจของธนาคาร
-ธนาคารพาณิชย์เร่งบรรเทาสภาพคล่องลูกค้าทุกกลุ่ม

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง 2563 อาจเคลื่อนไหวในกรอบ 1,280-1,450 จุด เนื่องจากปัจจุบันหุ้นไทยซื้อขายเฉลี่ยบนค่า P/E 22 เท่าของประมาณการกำไรต่อหุ้นปี 2563 และบนค่า P/E เฉลี่ย 16.7 เท่าของประมาณการกำไรต่อหุ้นปี 2564 เมื่อเทียบค่าเฉลี่ย P/E ในช่วง 10 ปีก่อนที่อยู่ประมาณ 16 เท่า ฉะนั้น การเคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้น หรือ December Rally ในช่วงปลายปีนี้อาจไม่เกิดขึ้น

ปัจจัยหลักที่กดดันตลาดหุ้น คือ

1.การชะลอตัวทางเศรษฐกิจคาดว่าจะยาวนานกว่านักลงทุนคาดไว้
2.ภาคการท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นตัว
3.กำไรบริษัทจดทะเบียนลดลงแรงกว่าที่คาด

ซึ่งปัจจัยดังกล่าวได้รับผลกระทบมาจากการล็อกดาวน์ประเทศ หลังพบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา โดยจะส่งผลกระทบหนักสุดในช่วงไตรมาส 2 ปี 63 เราคาดว่า กำไรบริษัทจดทะเบียนในช่วงไตรมาส 2 อาจลดลงเฉลี่ย 40% ซึ่งอาจเป็น “จุดต่ำสุด” เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกที่ผ่านมาที่กำไรบริษัทจดทะเบียนลดลง 25% และจะค่อย ๆ เห็นการฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ปี 2563 ก่อนจะกลับมาเป็นปกติในปลายปี 2564 ซึ่งอาจใช้เวลาประมาณ 18 เดือน

ส่วนปัจจัยบวกสนับสนุนตลาดช่วงนี้ คือ

1.สภาพคล่องในระบบที่สูงมาก
2.สถานะสถาบันการเงินที่แข็งแกร่ง
3.อัตราดอกเบี้ยนโยบายระดับต่ำ 0.50% ต่อปี
4.อัตราผลตอบแทนเงินปันผลของตลาดปีนี้ที่อยู่เฉลี่ย 2 – 2.2% ถือว่าสูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยครบอายุ 3 ปีที่ 0.52% แต่ใกล้เคียงอัตราผลตอบแทนหุ้นกู้บริษัทเอกชนเรทติ้ง A+ ที่อยู่ราว 2.4%

ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะเข้ามาช่วยสนับสนุนให้เม็ดเงินลงทุนยังไม่ไหลออกไปจากตลาดหุ้น

ปัจจัยที่ต้องติดตามในช่วงนี้ คือ

1.การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 รอบสอง หลังในช่วงกลางเดือนก.ค. ที่ผ่านมา ทหารอียิปต์ และเด็กหญิงอายุ 9 ปี ครอบครัวอุปทูตซูดานติดเชื้อเข้ามาในประเทศไทย
2.การควบคุม ผู้ติดเชื้อใหม่ในสหรัฐฯ และยุโรป
3.การเร่งค้นคว้าผลิตวัคซีนต้านโควิด-19

“ผลตอบแทนตลาดหุ้นในกลุ่ม TIP (ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์) นับตั้งแต่ต้นปี 2563 จนถึงปัจจุบัน -14.8%, -19.2% และ -22.92% ตามลำดับ โดยดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่ำสุดในช่วงเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งติดลบมากสุดถึง 40% ส่วนตลาดหุ้นไต้หวันบวก 1.95% ตรงกันข้ามกับตลาดหุ้นเกาหลีที่ -0.2% ตามลำดับ หลังได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของสหรัฐฯ และตลาดหุ้นทั้ง 2 แห่งมีหุ้นเกี่ยวข้องกับอิเล็กทรอนิกส์ และไอทีค่อนข้างมาก” นายชัยพร กล่าว

นายชัยพร กล่าวต่อว่า แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอาจมีลักษณะฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ในรูป U-shaped เนื่องจากประเทศไทยพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยวที่มีสัดส่วนต่อจีดีพีค่อนข้างสูง ดังนั้นกำไรบริษัทจดทะเบียนก็จะฟื้นตัวในรูป U-shaped เช่นกัน ขณะที่การฟื้นของตลาดหุ้นไทยอยู่ในรูปแบบตัว V-shaped ฉะนั้นในช่วงครึ่งหลังปี 2563 แนะนำลงทุน ด้วยกลยุทธ์ “Sector Rotation” หรือสลับเปลี่ยนกลุ่มลงทุนเป็นรอบ ๆ ขึ้นให้ขาย ลงให้ซื้อ เน้นลงทุนหุ้นไทย โดยผสมระหว่าง “หุ้นเติบโต” และ “กองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ให้ปันผลสูง”

โดยหุ้นกลุ่มที่มีแนวโน้มกำไรเติบโตที่ดี คือ กลุ่มส่งออกอาหารประเภท หมู ไก่ ทูน่า, กลุ่มบรรจุหีบห่อ และกลุ่มคอนซูเมอร์ไฟแนนซ์ ส่วนกลุ่มที่คาดว่าจะฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลัง คือ กลุ่มร้านอาหาร, กลุ่มปิโตรเคมี, กลุ่มน้ำมันและโรงกลั่น ส่วนกลุ่มที่คาดว่าจะฟื้นตัวช้า คือ กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า, กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ และกลุ่มบริการ เช่น โรงพยาบาล และท่องเที่ยว เป็นต้น ซึ่งอาจฟื้นตัวในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปจนถึงสิ้นปีนี้หรือต้นปี 2564

ในช่วงตลาดหุ้นผันผวน นักลงทุนจำเป็นต้องกระจายความเสี่ยง ด้วยการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ (Asset Allocation) แบ่งเป็น

1.หุ้นกู้และตลาดเงิน สัดส่วน 40%
2.ทองคำ สัดส่วน 12%
3.กองทุนอสังหาริมทรัพย์, กองทรัสต์เพื่อลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ สัดส่วน 7% และตลาดหุ้นไทย สัดส่วน 10%

ส่วนที่เหลือลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ สัดส่วน 31% โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตลาดหุ้นเวียดนาม และตลาดหุ้นฮ่องกง เน้นกลุ่มค้าปลีกออนไลน์ (e-commerce), กลุ่มซอฟต์แวร์บริการ (Software-as-a-Service) และกลุ่มการแพทย์ (Healthcare) เนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการแพร่ระบาดโควิด-19, การเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค และการทำงานจัดการขององค์กรทั่วโลกผ่านระบบออนไลน์ที่ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

-เคล็ดลับ “เว้นระยะห่างทางอาหาร” เพื่อคงคุณค่าทางโภชนาในยุคเว้นระยะห่างทางสังคม
-DGA จับมือหน่วยงานรัฐ ลงนามความร่วมมือพัฒนาต้นแบบ AI ด้านการตรวจสอบ
-เดอะมอลล์ จะเป็นทั้งปลาใหญ่และปลาเร็ว ในธุรกิจค้าปลีก ได้ไหม
-เอสเอพี แนะองค์กรธุรกิจเร่งปรับกลยุทธ์ธุรกิจ รับมือการแข่งขันหลังโควิด-19

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ