รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมความก้าวหน้าการพัฒนา Thailand Digital Valley ศูนย์กลางการออกแบบ พัฒนา ทดสอบ ทดลองเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลขั้นสูงสำหรับดิจิทัลสตาร์ทอัพและบริษัทชั้นนำระดับโลกในเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล หนึ่งในโครงการสำคัญที่ขับเคลื่อนโดย สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมคณะลงพื้นที่กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค และตรวจเยี่ยมความก้าวหน้าการพัฒนา Thailand Digital Valley บนพื้นที่ 30 ไร่ของเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (Digital Park Thailand: EECd) ในอำเภอศรีราชา
ดร.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าวว่า Thailand Digital Valley จะมีบทบาทในการเป็นศูนย์กลางการออกแบบ พัฒนา วิเคราะห์ ทดสอบ ทดลองเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลขั้นสูง สำหรับดิจิทัลสตาร์ตอัพและบริษัทชั้นนำระดับโลก ก่อนต่อยอดสู่ตลาดเชิงพาณิชย์ เป็นระบบนิเวศที่เชื่อมโยงบริษัทชั้นนำกับดิจิทัลสตาร์ตอัพในเทคโนโลยีเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยีเพื่อการเงิน (FinTech) เทคโนโลยีเพื่อการเกษตร (AgTech) เทคโนโลยีเพื่อการท่องเที่ยว (Travel Tech) เทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ (Health Tech) เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา (EdTech) และเทคโนโลยีเพื่อการบริการภาครัฐ (GovTech)
“Thailand Digital Valley จะทำให้ประเทศไทยมีระบบนิเวศที่เป็นศูนย์กลางดิจิทัลระดับภูมิภาค (ASEAN Digital Hub) ที่ทำให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีและบริการดิจิทัลของคนไทย เกิดการค้าและการลงทุนจากดิจิทัลสตาร์ทอัพต่างชาติ ตลอดจนบริษัทชั้นนำระดับโลก ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าการลงทุนมากกว่า 20,000 ล้านบาท” ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว
Thailand Digital Valley มีพื้นที่ใช้สอยรวม 86,000 ตารางเมตร ประกอบด้วย
- พื้นที่บริการครบวงจร (Digital One Stop Service) ขนาดพื้นที่ 1,500 ตารางเมตร สร้างแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2563 มีดิจิทัลสตาร์ทอัพจองสิทธิ์เช่าเต็มพื้นที่แล้ว โดยจะเป็นสถานที่ให้บริการและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและนักลงทุน เป็นพื้นที่ทำงานสำหรับสตาร์ทอัพไทยในภาคตะวันออก และบริษัทเทคดิจิทัล (Digital Tech) ตลอดจนเป็นศูนย์ประสานงานแก้ไขปัญหาการดำเนินธุรกิจดิจิทัลในประเทศไทย อีกทั้งเป็นที่ทำการสำนักงานฯ สาขาภาคตะวันออก
- พื้นที่แลกเปลี่ยนความรู้ (Digital Startup Knowledge Exchange Centre) ขนาดพื้นที่ 4,500 ตารางเมตร ได้รับเกียรติจาก พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ ทรงเป็นองค์ประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์ ณ วันที่ 22 ธันวาคม 2562 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2564 ถือเป็นพื้นที่สร้างเครือข่ายธุรกิจดิจิทัลและชุมชนในรูปแบบสร้างสรรค์ร่วมกัน (Co-working Space) รองรับการอยู่อาศัยของเหล่านักพัฒนาและดิจิทัลสตาร์ทอัพไทยในอนาคต
- พื้นที่พัฒนานวัตกรรมเทคดิจิทัล (Digital Innovation Centre) ขนาดพื้นที่ 40,000 ตารางเมตร คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในระยะเวลา 2 ปี โดยจะเป็นพื้นที่สำหรับพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลขั้นสูงระหว่างบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่และดิจิทัลสตาร์ทอัพไทยในระดับภูมิภาค มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีด้านพื้นที่เรียนรู้เพื่อการสร้างสรรค์ (Maker Space) พื้นที่ทดลอง ทดสอบเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรม 5G (5G Lab) พื้นที่ปฏิบัติการล้ำสมัยด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI Lab) พื้นปฏิบัติการและพัฒนาเทคโนโลยีไอโอที (IoT Lab) พื้นที่ปฏิบัติการและพัฒนาเทคโนโลยีโลกเสมือน (AR/VR Lab) พื้นที่ปฏิบัติการนวัตกรรมระบบการประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ (Cloud Innovation Lab) ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (Design Center) และมีพื้นที่การออกแบบนวัตกรรมดิจิทัลขนาด 10,000 ตารางเมตร ซึ่งถือว่าใหญ่ที่สุดในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
- พื้นที่ประลองเทคดิจิทัล (Digital Edutainment Complex) ขนาดพื้นที่ 20,000 ตารางเมตร สำหร้บทดสอบทดลองนวัตกรรมดิจิทัล รองรับกิจกรรมจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ ท้าทายความสามารถ เชื่อมโยงแลกเปลี่ยนเรียนรู้ พัฒนาบุคลากรในมิติต่าง ๆ ระหว่างเทคโนโลยีกับความคิดและธุรกิจ เพื่อต่อยอดเชิงพาณิชย์ อาทิ ศูนย์พัฒนานวัตกรรมหุ่นยนต์อัจฉริยะ (Robotic School) พื้นที่การแข่งขันหุ่นยนต์อัจฉริยะ (Robot Fighting Arena) ศูนย์พัฒนานวัตกรรมอากาศยานไร้คนขับ (Drone School) พื้นที่การแข่งขันอากาศยานไร้คนขับ (Drone Racing Arena) และการประลองออกแบบสร้างสรรค์การแข่งขันแอนิเมชัน (Animation Competition)
- พื้นที่ดิจิทัลสตาร์ทอัพไทยสู่เวทีโลก (Digital Go Global Centre) ขนาดพื้นที่ 20,000 ตารางเมตร พื้นที่ Sandbox ให้คำปรึกษาเชิงลึกด้านการขยายตลาดต่างประเทศสำหรับดิจิทัลสตาร์ทอัพไทย เชื่อมโยงผลงานการออกแบบ พัฒนา สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีขีดจำกัดด้านกฎหมาย กฎระเบียบต่าง ๆ เช่น ข้อจำกัดทางภาษี ข้อจำกัดในการประกอบธุรกิจ ฯลฯ เพื่อออกสู่ตลาดต่างประเทศต่อไป