TH | EN
TH | EN
หน้าแรกTechnologyบทบาทสำคัญของเทคโนโลยีต่อองค์กรในยุคดิจิทัล EP1: EDGE Technologies

บทบาทสำคัญของเทคโนโลยีต่อองค์กรในยุคดิจิทัล EP1: EDGE Technologies

ทุกต้นปีจะมีการคาดการณ์แนวโน้มเทคโนโลยีจากสำนักวิจัยและบริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆ สำหรับบทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์บทความเทรนด์เทคโนโลยีที่คาดการณ์จากมุมมองของ “อโณทัย เวทยากร” ผู้บริหารระดับสูงในวงการเทคโนโลยีโลกที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการมายาวนาน The Story Thailand ได้รับอนุญาตให้นำบทความทั้ง 5 ตอนมานำเสนอ

“ในทุก ๆ ต้นปีของทุกปีผมจะใช้เวลาในการทบทวนกลั่นกรองและมองไปข้างหน้าเสมอ และจะใช้โอกาสนี้แลกเปลี่ยนมุมมองทางเทคโนโลยีที่จะเข้ามามีบทบาทกับเรามากขึ้นในปีที่มาถึงนี้ รอบนี้จะขอพูดถึงเทคโนโลยีที่จะมีบทบาทสำคัญสำหรับองค์กรในยุคดิจิทัล technologies ที่จะเปลี่ยนบทสนทนาเราตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นไปมีมากหมายหลายประเด็น ตั้งแต่ Edge Computing, 5G private mobility network สำหรับองค์กร, security, quantum computing, automotive และ digital twin” เริ่มต้นที่ EP1: Edge Technologies

จากการคาดการระยะสั้นและระยะยาวทำให้เราเริ่มเห็นบริบทของการกุมบังเหียนการบริหารจัดการข้อมูล หรือ ดาต้าที่จะเปลี่ยนประสบการณ์เราอย่างมากมายทั้งในเรื่องการทำงาน ชีวิตของเรา และระบบการเรียนการสอน

สองปีที่ผ่านมามันรวดเร็วเหลือเกิน มีหลายสิ่งเปลี่ยนแปลงและเกิดขึ้นมากมาย มารู้ตัวอีกทีนึงเราก็เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบที่เราสามารถประกอบทุกกิจกรรมจากที่ไหนก็ได้ เมื่อไรก็ได้ (do-anything-from-anywhere-economy)

คาดการณ์ว่า 65% ของ Global GDP จะมาจาก Digital ในปี 2022 นี้เอง การไหลเข้าของดาต้าอย่างมหาศาลสู่ระบบก่อให้เกิดทั้งโอกาสอันมากมายและความท้าทายอย่างยิ่ง

ท้ายที่สุด ความสำเร็จทางด้านดิจิทัลทั้งปัจจุบันและอนาคตของเรา จะขึ้นอยู่กับความสามารถของเราในการจัดการดาต้ารวมถึงการคงสถานะที่มั่นคงของระบบไอทีที่จะเพิ่มซับซ้อนมากขึ้นทุกวัน

วันนี้ผมจะพาท่านมาพิเคราะห์พิจารณาการคาดการทั้งระยะสั้นและระยะยาวซึ่งจะสามารถบ่งบอกถึงแนวทางที่อุตสาหกรรมไอทีจะนำเสนอ platforms และความสามารถใหม่ ๆ ในการบริหารจัดการดาต้าที่มีอยู่มากมายเพื่อสร้างมิติใหม่ให้กับเรื่องการทำงาน ชีวิตของเรา และการเรียนการสอน

Edge Technologies เป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจให้มากในปี 2022 นี้ – มาเริ่มจากการแยก Edge Technology มาเป็นสองรูปแบบ ได้แก่ Edge Platform ซึ่งเปรียบเสมือนขุมกำลังอันมั่นคงที่จัดเตรียมไว้พร้อมและเพียงพอสำหรับระบบนิเวศของ Edge ที่มีความหลากหลายอย่างยิ่ง และอีกอย่างหนึ่ง คือ ระบบ Software-Defined Edge Workload ซึ่งเป็น Software Stacks ซึ่งช่วยขยายขอบเขตของ Application และระบบข้อมูล (data system) เข้าสู่ระบบนิเวศของการใช้งานจริง

ด้วยกรอบความคิดแบบนี้ซึ่งแยก edge platform และ edge workload ออกจากกันนั้นมีความสำคัญมาก เพราะถ้าปล่อยให้แต่ละ Edge Workload สร้าง Edge Platform ของตัวเอง เราจะมี Edge Infrastructureจำนวนมากเกินกว่ากำลังความสามารถของเราที่จะบริหารจัดการมันได้

ลองจินตนาการถึงระบบนิเวศของ edge ใด ๆ ที่คุณจะต้องสร้าง edge platform มารองรับซึ่งแพลทฟอร์มนั้นจะต้องมี compute, storage, I/O และระบบพื้นฐานทางด้านไอที ซึ่งทั้งหมดต้องสามารถทำงานอย่างมั่นคง มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีและที่สำคัญต้องใช้งานง่าย เมื่อคุณต้องการขยายและเคลื่อนย้ายข้อมูล หรือ application จาก public cloud และ private cloud มาสู่ edge ควบคู่ไปกับระบบ IoT และระบบ edge ที่ทำหน้าที่บริหารจัดการข้อมูล เหล่านี้จะสามารถทำในรูปแบบของ software-defined package โดยอาศัย Edge Platform ที่เราเตรียมทรัพยากรไว้อย่างพอเพียง เช่นนี้จะช่วยให้ edge workload สามารถปรับจูน พัฒนาและเปลี่ยนแปลงใด้ด้วยความเร็วในรูปแบบของ software เพราะ edge platform นั้นเป็นเสมือนทรัพยากรส่วนกลางที่มีความมั่นคงสูงซึ่งเราสามารถจัดเตรียมไว้รองรับ

เรามองเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญนี้ Dell Technologies เองก็ได้นำเสนอ edge platform ที่สามารถรองรับทุก cloud stacks ใช้ทรัพยากรทางด้าน Hardware มาตรฐาน และสร้างกลไกที่มีประสิทธิภาพ โดยตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไปเราคาดหวังว่า platform จะมีความสามารถที่สูงขึ้นและจะถูกใช้งานอย่างกว้างขวางขึ้น

เราเริ่มเห็น Edge Workload เกิดขึ้นแล้วอย่างมากมายในปีที่ผ่านมา และแม้แต่สถาปัตยกรรม edge ของ public cloud ก็หันมาใช้รูปแบบสถาปัตยกรรมแบบ software-defined ผสานไปกับ containerization มาตรฐานเช่น Kubernetes ซึ่งจะเป็นตัวเชื่อม การผสานรวมกันของ modern edge platforms และ software-defined edge และจะกลายมาเป็นแนวทางหลักในการสร้างและใช้งานระบบ edge ในโลกของ multi-cloud นั่นเอง

Edge จะกลายมาเป็นแนวรบใหม่สำหรับระบบการจัดการข้อมูล (data management) ในขณะที่ระบบการจัดการข้อมูลได้จะถูกยกระดับมาเป็นภาระกิจหลักขององค์กร (new class of workload) ซึ่งระบบการบริหารจัดการข้อมูลนั้นจำเป็นต้องมี Edge Technology โดยอุตสาหกรรมของระบบจัดการข้อมูลยุคใหม่นั้นมีจุดเริ่มต้นบน Public Cloud ซึ่งจะประมวลผลข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล ณ จุดศูนย์กลาง (centralized data) ในรูปแบบของ non-real-time และเมื่อ digital transformation ถูกเร่งให้เกิดเร็วขึ้น ทำให้เรายิ่งได้พบว่าข้อมูลส่วนใหญ่ในโลกนี้เกิดขึ้นและผ่านกระบวนการต่างๆภายนอกศูนย์ข้อมูล (data center) เกือบทั้งสิ้น

และเราคาดการณ์ว่าระบบนิเวศของการบริหารจัดการข้อมูลนั้นจะถูกพัฒนาขึ้นโดยใช้ศักยภาพของ IT ในรูปแบบของ Edge นั่นเอง โดยจะเป็นส่วนสำคัญไม่ใช่แค่เพียงเป็นจุดรับเข้าของข้อมูลหรือเป็นจุดส่งออกของข้อมูลเท่านั้น แต่ยังหมายถึงกระบวนการต่าง ๆ ในการจัดการข้อมูลและการวิเคราะห์สังเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้นเพื่อการใช้งานแบบ real-time นั่นเอง

เมื่อระบบนิเวศของการบริหารจัดการข้อมูลเริ่มขยับขยายเข้าสู่ Edge จะทำให้เกิด Edge Workload ขึ้นอย่างมหาศาลพร้อม ๆ กับความต้องการ Edge Platform ที่จะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ซึ่งก็จะไปพ้องกับสิ่งที่เราคาดการณ์ไว้ตอนต้นว่า Edge Platform เหล่านี้จะต้องมาในรูปแบบของ Software-Defined ที่ทันสมัย ยิ่งนานวันระบบการจัดการข้อมูลกับ Edge ก็จะค่อย ๆ โคจรเข้าหากันและพึ่งพากันอย่างแนบแน่น

ซึ่งบริษัท IT Infrastructure แบบ Dell Technologies นั้นมีความพร้อมและเทคโนโลยีที่ครบวงจรซึ่งจะสามารถสร้าง Orchestration Layer สำหรับทั้ง Edge และ Multi-Cloud พร้อม ๆ กับนำเสนอยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการข้อมูลในรูปแบบของ Edge ได้เป็นอย่างดี

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

วอลโว่ แง้มกลยุทธ์ปี 65 มุ่งตลาด EV 100% ตั้งเป้าเปิดตัวโมเดลใหม่ต่อเนื่องทุกปี

Sea (ประเทศไทย) จับมือ ดีป้า – ยังแฮปปี้ ต่อยอดผลสำเร็จสู่ความร่วมมือ “อัปสกิลวัยเกษียณ สู่ผู้ประกอบการวัยเก๋า”

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ