TH | EN
TH | EN
หน้าแรกColumnistการตลาดในชีวิตจริงที่แตกต่างจากตำรา

การตลาดในชีวิตจริงที่แตกต่างจากตำรา

ผมเพิ่งจบคอร์สใหญ่ที่ dots academy ว่าด้วยเรื่องการวางแผนกลยุทธ์การตลาด ซึ่งในคลาสก็มีผู้เรียนคนหนึ่งบอกว่าเหมือนกับการ “เบิกเนตร” ของเธอมาก เนื่องจากเธอเจอปัญหามาตลอดว่าสิ่งที่เรียนมาในสมัยมหาวิทยาลัยนั้น “ไปต่อไม่ได้” เมื่อต้องเจอกับชีวิตในการทำธุรกิจจริง

ประเด็นดังกล่าวนั้นเป็นเรื่องที่ผมเองก็มักจะพบบ่อย ๆ กับคนที่เรียนด้านการตลาดมาแล้วมาประกอบธุรกิจเองแล้วเหมือนเจออาการเมาหมัด ไปกันไม่ถูกว่าจะเริ่มอะไรดี ทำไมสิ่งที่เรียนมามันไม่ไปกับสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้น ซึ่งจะต่างจากสายผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจโดยไม่ได้มีพื้นฐานด้านการตลาดมาก่อนที่จะมีปัญหาอีกแบบ

เรื่องของการเมาหมัดนี้ก็เพราะชีวิตของการทำธุรกิจจริงมันไม่ได้อยู่ในภาวะของโจทย์ที่ถูกกำหนดตัวแปร หรือเตรียมข้อมูลมาให้พร้อมแบบในแบบฝึกหัดของวิชาเรียนต่าง ๆ ถ้าเราเรียนเรื่องแบรนด์ดิ้งเราก็จะสนกันแต่เรื่องแบรนด์ ถ้าเราเรียนเรื่องการตั้งราคาก็จะมองกันเฉพาะมุมนั้น แถมข้อสอบเองก็จะมีข้อมูลต่าง ๆ กำกับไว้ให้แล้ว แต่ในความจริงแล้วมันเหมือนว่าเราต้องคิดทุกอย่างแทบจะพร้อม ๆ กัน แถมเหล่าปัจจัยก็เกี่ยวเนื่องกัน บ้างก็ขัดแย้งกัน เรียกว่าต้องคิดอะไรมากกว่าสมัยเรียนมากมายพอสมควร

และนั่นก็จะไม่แปลกเช่นกันกับบรรดาคนทำงานบริษัทใหญ่ ๆ ในแผนกการตลาดที่เมาหมัดไม่ต่างกันเมื่อลาออกมาทำธุรกิจของตัวเอง เพราะที่ผ่านมาก็จะเป็นการทำการตลาดโดยที่ตัวเองโฟกัสกับงานของตัวเอง บ้างก็เป็นแผนการตลาดที่ถูกกำหนดหรือวางกรอบมาให้แล้วจากผู้บริหารแล้ว แต่พอต้องคิดเองกันหมดตั้งแต่ต้นนั้นก็เรียกว่าไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน พอมีปัญหาก็ไม่รู้จะไปอย่างไรต่อ

เทรนกันไป แต่ไหงไม่เกิดอะไรขึ้นมา?

อย่าพยายามหาคำตอบสำเร็จรูป

นี่คือสิ่งที่หลายคนมักจะพูดเหมือนกันว่าสิ่งที่อยู่ในตำราเรียนนั้นต่างจากชีวิตจริงค่อนข้างมาก เพราะตำราที่เราพูด ๆ กันนั้นมักจะโฟกัสอยู่กันที่ด้านใดด้านหนึ่ง และเราก็ต้องเอาแต่ละด้าน (หรือแต่ละวิชา) นั้นมาประกอบกันหมดเพื่อทำธุรกิจ แถมหลาย ๆ  อย่างอาจจะไม่ได้อยู่ในวิชาธุรกิจเท่านั้น อย่างเช่นเรื่องของการบริหารคน การสื่อสารต่าง ๆ ฯลฯ และนั่นทำให้ธุรกิจหรือการตลาดนั้นเป็นเหมือนสหวิชาที่ประกอบด้วยหลายอย่าง แถมอาจจะต้องใช้วิชาที่หลากหลายนั้นควบคู่ไปพร้อม ๆ กันเลยก็ว่าได้

พูดมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะหน้าเสียว่าอ้าวแล้วที่เรียนมาไม่มีประโยชน์อะไรเลยเหรอ? ผมก็ตอบว่าไม่ใช่เช่นกัน เพราะถ้าเราเข้าใจหลักการที่ได้จากบรรดาตำราเหล่านั้นแล้ว เราก็สามารถนำมาประยุกต์และใช้เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ต่าง ๆ ของธุรกิจและการตลาดที่เราเจออยู่ได้ ทำให้เราเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นซึ่งแน่นอนว่ามันย่อมดีกว่า “มวยวัด” ที่ไม่รู้อะไรเป็นหลักการอยู่พอสมคว หากแต่ก็ต้องรู้ว่าสิ่งที่เป็นตำราหรือทฤษฎีต่าง ๆ นั้นจะต้องมีการปรับและประยุกต์เมื่อใช้ในชีวิตจริง แถมปัจจัยต่าง ๆ ที่เราไม่เคยเจอในตำราเรียนจะมีผลเข้ามาทำให้มันไม่เข้าล็อกหรือตามสิ่งที่เคยทำ ๆ มาในห้องเรียนนั่นเอง

เช่นเดียวกันนั้น ผมก็มักพูดสรุปเช่นเดียวกันว่าสิ่งที่เราฝึกฝนในการ workshop นั้นคือการพยายามให้โอกาสผู้เรียนได้คิดและลองทำให้มากที่สุด เพื่อจะได้คุ้นเคยและคุ้นมือจนเวลาไปทำงานจริงต่อจะสามารถทำต่อกันได้

เพราะเราจะรู้ดีว่าความรู้ต่าง ๆ ที่มีนั้นหากไม่ถูกฝึกฝนหรือซักซ้อมอยู่เสมอแล้ว ก็จะโดนสนิมเกาะ แถมมึนตึ้บเอาได้ง่าย ๆ นั่นเองล่ะครับ

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ