TH | EN
TH | EN
หน้าแรกColumnistล้วง "เงินออม" กระตุ้นจีดีพี ... ได้ไม่คุ้มเสีย

ล้วง “เงินออม” กระตุ้นจีดีพี … ได้ไม่คุ้มเสีย

กลายเป็นที่ถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางเมื่อรัฐบาลโดย “สุพัฒน์พงษ์ พันธ์มีเชาว์” รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจปิ๊งไอเดียกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยให้คนมีเงินออมหรือเงินฝากที่มีอยู่ราว 5-6 แสนล้านบาท หรือราว 3% ของจีดีพี เอาออกมาจับจ่ายใช้สอย หรือลงทุน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แถมยังบอกอีกว่า เอาออกมาแค่ครึ่งหนึ่ง หรือแค่ 1 ใน 3 ก็จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 1% เลยทีเดียว

พลันที่คนระดับรองนายกฯด้านเศรษฐกิจออกมาพูด เท่ากับเรียกแขกแบบไม่ตั้งใจ มีเสียงออกมาคัดค้านกันระเบ็งเซ็งแซ่แต่คนหนึ่งที่ออกมาสะกิดเตือนดูมีเหตุมีผลน่ารับฟังคือ “กรณ์ จาติกวณิช” หัวหน้าพรรคกล้า และเคยนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีคลังมาก่อน สอนมวยด้วยการเขียนบทความในเฟซบุ๊ก ซึ่งจะขอหยิบความเห็นบางช่วงบางตอนมาเล่าสู่ฟัง

กรณ์ บอกว่า “ตัวเลขเงินออมบ้านเราที่กระจุกตัวมาก คนไทยเกือบทั้งประเทศมีเงินในบัญชีไม่ถึง 50,000 บาท ต่อคน ส่วนคนรวยเพียง 0.07% มีเงินฝากรวม 3 ล้านล้านบาท เฉลี่ยบัญชีละ 48 ล้านบาท (ท่านรองนายกฯ อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย ตามที่ท่านรายงานเงินฝากกับปปช. ไว้ที่ 54 ล้านบาท ซึ่งผมก็อยากทราบเหมือนกันว่า ท่านจะเอาเงินออมของท่านออกมาใช้จ่ายช่วยชาติเท่าไร และใช้อย่างไร)

จะเห็นว่าสังคมไทยเป็นสังคม “รวยกระจุก จนกระจาย” กรณ์ ยังบอกอีกว่า “ดังนั้น หากคิดจะกระตุ้นการรักชาติ (หรือกระตุ้นจีดีพี) ผมขอให้ท่านมุ่งเป้าไปที่ “บัญชีคนรวย” ไม่กี่คนในประเทศ เพราะประชาชนส่วนใหญ่ที่มีเงินไม่ถึง 1 ล้านบาทในบัญชี ควรเก็บไว้เป็นเงินออม เป็นเงินฉุกเฉินยามวิกฤติ เอาไว้ส่งลูกหลานเรียนหนังสือ หรือเอาไว้เลี้ยงตัวเองในยามแก่จะดีกว่า ส่วนคนรวย โดยพฤติกรรมแล้วก็อย่าหวังว่าเขาจะออกมาบริโภคเพิ่มเติมมากนัก ไม่ได้กินใช้เยอะขึ้น คงไม่ได้ต้องจ่ายตลาดมากขึ้น แต่น่าจะเอาไปซื้อหุ้น หรือบิตคอยน์เสียมากกว่า”

โดยส่วนตัวเห็นด้วยกับคุณกรณ์ แต่ที่อยากเพิ่มเติม คือ แม้จะให้คนรวยเอาเงินออกมาใช้ แต่ธรรมชาติของเศรษฐีไทยส่วนใหญ่ จะชอบซื้อสินค้าราคาแพงพวกแบรนด์เนมดัง ๆ ของต่างประเทศ ซึ่งไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ มีแต่เงินไหลออกสูญเสียเงินตราต่างประเทศ และแปลกใจมากที่ ทั้ง “ลุงตู่” พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ สุพัฒน์พงษ์ ได้เรียกร้องให้ประชาชนนำเงินออมออกมาใช้จ่าย แล้วคิดว่านี่เป็นวิธีเพิ่มรายได้ประชาชาติ หรือจีดีพีได้ถึง 4% 

ทั้งที่โดยข้อเท็จจริงเงินออมของประชาชนส่วนใหญ่ฝากไว้ในธนาคาร เพื่อหวังจะได้ดอกเบี้ยเป็นการตอบแทนจากความเสี่ยง ธนาคารก็นำเงินฝากเหล่านั้นไปปล่อยกู้ต่ออีกทอดหนึ่ง เงินกู้ส่วนหนึ่งจะนำไปปล่อยกู้ให้กับภาคธุรกิจเอกชนเพื่อนำไปลงทุน ซึ่งจะเห็นว่าเงินออมของชาวบ้านไม่ได้นอนนิ่งอยู่ที่ธนาคาร โดยไม่เกิดประโยชน์ การปล่อยกู้ให้ภาคธุรกิจเอกชนนำเงินออมของประชาชนไปลงทุน เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพและความยั่งยืน

ในทางกลับกัน หากรัฐบาลจะให้ประชาชนนำเงินออมออกมาบริโภคอย่างเดียว ยิ่งคนในสังคมเราเป็นประเภท “ช้อปง่าย จ่ายแหลก แดกด่วน” ด้วยแล้ว นอกจากจะไม่เกิดประโยชน์ และไม่ทำให้ระบบเศรษฐกิจมีประสิทธิภาพแล้ว ยัง จะทำให้การลงทุนรวมลดลง เพราะเงินออมส่วนหนึ่งที่เคยเอาไปลงทุนก็จะถูกแบ่งนำไปใช้เพื่อการบริโภคแทน ซึ่งจะไม่ทำให้ จีดีพีเพิ่มขึ้นอย่างที่รัฐบาลฝันหวาน

เหนือสิ่งใด การที่รัฐบาลส่งเสริมให้ประชาชนนำเงินออกมาจับจ่ายใช้สอย จะมีแต่ทำให้ประชาชนยากจนลงไปอีก เพราะปัจจุบันประชาชนก็มีหนี้ครัวเรือนเกิน 90% ของจีดีพี หรือราว 14 ล้านล้านบาท สูงเป็นอันดับ 2 ของเอเซีย รองจากเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นภาระหนักอึ้งอยู่แล้ว ถ้านำเงินออมออกมาใช้ ก็ไม่มีหลักประกันในอนาคต ในยามที่ย่างเข้าสู่วัยชรา

ที่ผ่านมา รัฐบาลลุงตู่จะถนัดแต่กระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการกระตุ้นการบริโภคเป็นหลัก แต่นโยบายที่ดี ควรจะกระตุ้นให้คนรวยหรือเอกชนเอาเงินออกมาลงทุน และต้องลงทุนในลักษณะที่นำไปสู่การสร้างงาน สร้างโอกาสสร้างผลผลิตเพื่อส่งออกไปต่างประเทศ ซึ่งเป็นการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต

ที่สำคัญ รัฐบาลจะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ โดยทำให้คนไทยและต่างชาติเกิดความเชื่อมั่น ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด ให้ครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่ของประเทศอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ กระทั่งนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่ต้องการจะเข้ามาท่องเที่ยวในบ้านเรา เกิดความมั่นใจ นั่นหมายความว่า การท่องเที่ยวที่เป็นรายได้หลัก ก็จะฟื้นกลับคืนมา

อย่างที่เคยบอกหลายครั้งว่า “วัคซีน” คือ อาวุธลับ ที่จะทำให้เศรษฐกิจฟื้นโดยเร็วที่สุด ไม่ใช่การส่งเสริม ออกมาใช้จ่ายเงินแบบสุรุ่ยสุร่ายอย่างที่รัฐบาลทำมาตลอด

ทวี มีเงิน

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ