TH | EN
TH | EN
หน้าแรกColumnistTikTok แปลงร่างจากพญามังกร เป็นพญาอินทรี

TikTok แปลงร่างจากพญามังกร เป็นพญาอินทรี

เป็นเรื่องร้อนขึ้นมาอีกครั้ง กับการที่สหรัฐฯเตรียมแบน TikTok ในสหรัฐฯ โดยอ้างในเรื่องความมั่นคง เพราะหวั่นว่า TikTok จะนำข้อมูลผู้ใช้งานไปให้กับรัฐบาลจีน

-อินโดนีเซีย นำโด่ง เม็ดเงินลงทุนในธุรกิจสตาร์ตอัพ อี-คอมเมิร์ซ โตสวนโควิด-19
-NBA ซีซั่นใหม่ บนโลกเสมือนจริง

ทั้ง ๆ ที่ TikTok ยืนยันหนักแน่นว่าเรื่องแบบนี้เป็นไปไม่ได้ แถม CEO คนใหม่ ก็ยังเป็นชาวอเมริกันด้วย แต่แค่นี้ยังไม่เป็นที่พอใจของผู้นำสหรัฐฯ ที่จ้องเล่นงานบริษัทจีนไม่ลดละ ยิ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยี ที่กำลังพุ่งแรง ยิ่งเจอหนัก….ก่อนหน้านี้ หัวเว่ย ก็โดยพญาอินทรีทำร้ายได้รับบาดเจ็บมาแล้ว

แต่กรณีของ TikTok มีความน่าสนใจมากขึ้นไปอีก และต้องใช้สุภาษิตนี้ “เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง”

คำว่าแบน TikTok นั้น ไม่ได้เป็นการแบนแบบเตะออกจากตลาดสหรัฐฯ แต่เป็นการเอาบริษัทอเมริกันเข้ามาสวม เพื่อดำเนินการต่อ และหวยก็ไปออกที่ “Microsoft” บริษัทสัญชาติอเมริกัน ซึ่งปัจจุบันมี CEO สัญชาติอเมริกัน เชื้อชาติอินเดีย

การที่ Microsoft เข้าไปเจรจา กับ Bytedance บริษัทแม่ของ TikTok นั่นก็เป็นเพราะประธานาธิบดีทรัมป์ ได้พูดคุยกับ สัตยา นาเดลลา ซีอีโอ ของ Microsoft ถึงการเข้าซื้อกิจการ TikTok ในสหรัฐฯ โดย “Microsoft” รับลูกบอกว่าเข้าใจความห่วงกังวลของประธานาธิบดีทรัมป์ พร้อมบอกจะเร่งดำเนินการเจรจาเข้าซื้อกิจการให้เร็วที่สุด คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 15 กันยายน 2020 นี้ และเมื่อการเข้าซื้อกิจการเสร็จสิ้นลง TikTok ที่โอเปอเรทอยู่ในสหรัฐฯ รวมถึงแคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ จะเปลี่ยนเป็นสัญชาติอเมริกันทันที

สำหรับมูลค่าของ TikTok ในสหรัฐฯ ขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.6 ล้านล้านบาท

การเข้าซื้อ TikTok นี้ ทาง Microsoft ชี้แจ้งเว็บไซต์ของบริษัทว่าภายใต้โครงสร้างการบริหารใหม่ Microsoft จะเพิ่มในเรื่องของการป้องกันความปลอดภัยระดับ World Class เข้าไปในแอปพลิเคชันกันเลยทีเดียว และจะลบข้อมูลที่แบคอัพไว้อยู่นอกประเทศทั้งหมด ทันทีที่ได้ส่งข้อมูลผู้ใช้งานชาวอเมริกันกลับเข้ามายังเซิร์ฟเวอร์ในประเทศแล้ว

กรณีที่เกิดขึ้นนี้ ต้องบอกว่าจะเปลี่ยนภูมิทัศน์ครั้งใหญ่ของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft จากที่ผ่านมาเล่นอยู่ในโซนของพัฒนาและจำหน่ายระบบซอฟท์แวร์มาอย่างต่อเนื่อง และครองตำแหน่งบริษัทยักษ์ใหญ่ 1 ใน 3 ของโลก ที่มูลค่าสูงสุด ซึ่งการเข้าไปซื้อกิจการ TikTok ของ Microsoft ในครั้งนี้ ยังเพิ่มพละกำลังในการต่อกรกับ Facebook และ Youtube ที่มี Google ถืออยู่

ก่อนหน้าที่จะเกิดโมเดลให้ Microsoft เข้าซื้อ TikTok นั้น … มีแนวทางอื่นที่ประธานาธิบดีทรัมป์ พยายามใช้ เพื่อจะเปลี่ยนเจ้าของ TikTok จากจีนเป็นสหรัฐให้ได้

ซึ่งมีทั้งการให้คณะกรรมการพิจารณาการลงทุนจากต่างชาติของสหรัฐ หรือ CFIUS สอบสวนการเข้าซื้อกิจการ Musical.ly ของ Bytedance เมื่อปี 2017 ซึ่งได้เริ่มการสอบสวนตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ก่อน รวมไปถึงการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ จะพิจารณาใช้อำนาจ ประกาศว่าให้ TikTok เป็นภัยคุกคามชาติ และห้ามบริษัทและชาวอเมริกันทำธุรกิจกับ TikTok ในสหรัฐฯ… เล่นยาแรง แบบหามไปฝังได้เลย

ต้องบอกว่ากรณีนี้… ทำให้เกิดคำถามขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นทำไมต้องเป็น Microsoft ทำไมไม่เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจในแพลตฟอร์ม โซเชียลมีเดีย อยู่แล้ว ซึ่งมีคำอธิบายว่า เพราะการที่ Microsoft ไม่ได้ดำเนินธุรกิจด้านนี้ การเข้าถือหุ้น ก็อาจจะไปคานอำนาจกับโซเซียลมีเดียเจ้าอื่น ๆ

แต่ที่เห็นได้ชัดกว่า Microsoft น่าจะเป็นลูกรักของรัฐบาลชุดนี้ เพราะเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีการเชิญบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ อย่าง Facebook, Google, Apple และ Amazon เข้าไปชี้แจงในประเด็นเรื่องการผูกขาดตลาดต่อรัฐสภา ปรากฎว่ามีเพียง Microsoft เท่านั้นที่ไม่โดนเรียกไปชี้แจง

นอกจากนี้ ยังมีคำถามใหญ่ คือ การใช้อำนาจการเมืองเข้ามาจัดการกับบริษัทที่ไม่ใช่บริษัทที่ชาวอเมริกันเป็นเจ้าของ โดยใช้ข้ออ้างเรื่องความมั่นคง แต่ท้ายสุดแทนที่จะแบนอย่างสิ้นเชิง กลับเปลี่ยนคนบริหาร เพื่อมาดูแลข้อมูลผู้ใช้งาน TikTok ชาวอเมริกัน ที่มีอยู่ถึง 80 ล้านคน และส่วนใหญ่แล้วเป็นวัยรุ่นในวัย 20 ต้น ๆ

แต่ทั้งนี้ ก็ไม่รู้ได้ว่าข้อมูลผู้เล่น TikTok ชาวอเมริกันที่มีมากถึง 80 ล้านคน นี้จะถึงมือรัฐบาลทรัมป์หรือไม่… ซึ่งตามหลักการและความถูกต้อง Microsoft ไม่ควรนำส่งข้อมูลนี้ให้กับรัฐบาล

ขณะที่กรอบเวลาที่ Microsoft ก็รับลูกว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกลางเดือนกันยายน ยังเป็นช่วงเวลาก่อนหน้าที่จะการเลือกตั้งประธานาธิบดีประมาณเดือนพฤศจิกายนนี้… แน่นอนว่าการที่ประธานาธิบดีทรัมป์พยายามกีดกันบริษัทของจีนอย่างหนัก โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยีของจีน หรือ จุดชนวนสงครามการค้ากับจีน ก็เป็นไปตามนโยบายและเจตนารมณ์ที่ประกาศไว้ในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดี คือการปกป้องผลประโยชน์ของชาวอเมริกัน ไม่ให้ต้องเสียเปรียบประเทศอื่น

ดราม่าการบีบให้ TikTok ต้องขายกิจการให้ Microsoft คงยังไม่จบง่าย… และหลายคนคงน่าจะมองออกว่าไม่ใช่เป็นเรื่องแค่การทำธุรกิจระหว่างประเทศ การล้วงข้อมูล หรือภัยความมั่นคง แต่ยังการงัดข้อกันรอบใหม่ของ “พญามังกร และ พญาอินทรี” โดยมี TikTok เป็นหมากในกระดานนี้

ทันทีที่ประธานาธิบดีทรัมป์ คิดแผนให้ Microsoft เข้าสวม TikTok…รัฐบาลจีน ไม่รอช้าเหมือนกัน ออกโรงปกป้อง TikTok ทันที แม้ว่าก่อนหน้านี้ TikTok ในฮ่องกง ต้องเก็บกระเป๋าออกจากเกาะ เพราะรัฐบาลเขตบริหารพิเศษฮ่องกง จ่อล้วงข้อมูลผู้ใช้งาน

กระทรวงต่างประเทศของจีนแถลงขอให้สหรัฐยุติการกระทำนี้ ซึ่งถือว่าเป็น “นโยบายเลือกปฏิบัติ” หรือ “Discriminatory Policies” ขณะที่สื่อทางการจีนเองก็ออกมาซัดกลับสหรัฐฯ ด้วยเหมือนกัน โดยสื่อ Global Times ประณามว่าเป็นการกระทำไร้อารยะของรัฐบาลจอมโกง และยังบอกว่าการที่ Microsoft เข้าซื้อ TikTok คือ การปล้น TikTok ของรัฐบาลสหรัฐฯ

คงจะเป็นมหากาพย์การสาดโคลนกันไปมาของสหรัฐฯ และจีน ไปอีกสักพักใหญ่

ทั้งยังมีอีกหลาย ๆ คำถามที่เกิดขึ้นมากมาย จากกรณีที่เกิดขึ้นนี้…แต่สิ่งที่กังขาคือ คำว่า “ประเทศเสรี” นั่นหมายถึงเสรีประชาชนในการใช้ชีวิต เสรีของการทำธุรกิจ อย่างที่เคยเข้าใจมาตลอด หรือจะเป็นเสรีของผู้นำที่จะดำเนินการอะไรกับบริษัทใด ๆ ก็ได้ กันแน่…

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

-Apple ผลประกอบการ Q3 โต 11% สถิติใหม่ประจำไตรมาสเดือนมิถุนายน
-เอไอเอส เปิดสิทธิพิเศษแกนใหม่ “Well-being” หนุนป้องกันก่อนรักษา
-Bolt รุกตลาดไทย พร้อมชิงส่วนแบ่งตลาดบริการขนส่ง
-ซิสโก้ชี้ ดิจิทัลมีความจำเป็นสำหรับ SMEs ในการเพิ่มพัฒนาประสิทธิภาพและรายได้

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ