TH | EN
TH | EN
หน้าแรกInterviewเป้าหมาย "ท๊อป จิรายุส" Bitkub ไม่ใช่แค่ Good company แต่เป็น Great company

เป้าหมาย “ท๊อป จิรายุส” Bitkub ไม่ใช่แค่ Good company แต่เป็น Great company

จากผู้ประกอบการวัย 23 ปีที่ไม่มีความรู้เรื่องการเปิดบริษัท นั่งทำงานคนเดียวหน้าจอคอมพิวเตอร์นานกว่า 10 เดือน ไม่มีเงินเดือน ไม่มีรายได้ โดนปปง. แบงก์ชาติ สรรพากรเรียกตัวไปสอบสวน ไม่มีบริษัทกฎหมายไหนช่วย จนต้องพยายามเรียนรู้ by doing ทุกอย่างคนเดียว เพื่อดีเฟนด์เคสตัวเอง พิสูจน์ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและคนรอบยอมรับในสิ่งที่ตนทำ จนสามารถสร้างเป็น Bitkub แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนเงินสกุลดิจิทัล สำหรับการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล และขึ้นแท่นเป็นยูนิคอร์ได้สำเร็จ

‘ท๊อป’ จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด กับเป้าหมายครั้งต่อไปของเขา… การสร้างดิจิทัล อินฟราซัคเจอร์ให้แก่ประเทศไทย

“แม้ในวันหนึ่งผมจะไม่อยู่แล้ว แต่ทุกอย่างที่ผมสร้าง ต้องดำเนินต่อไปได้ด้วยตัวมันเอง ทุกคนยังจำเป็นต้องใช้อยู่ ” 

ตามที่ท๊อปเคยเล่าให้ The Story Thailand ฟังใน “บนเส้นทางถนนลูกรังของ “ท๊อป จิรายุส” แห่ง Bitkub” กว่าจะมาเป็น Bitkub ในวันนี้ไม่ง่าย เขาต้องผ่านอะไรมามากมาย แต่ทั้งหมดที่ท๊อปทำเพื่อจุดประสงค์เดียวคือพิสูจน์ให้คนเห็นว่าสิ่งที่เขาทำคือสิ่งที่ถูกต้อง นั่นก็คือ “บิตคอยน์จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงวงการการเงินไทย” ซึ่งสิ่งที่ทำให้ท๊อปมั่นใจจะสามารถทำได้คือ dot ทั้ง 4 ที่ท๊อปสั่งสมมา นั่นก็คือ 1) ความเชื่อที่เขามี 2) หนังสือที่เขาอ่าน 3) ประสบการณ์ที่เขาเจอ และ 4) คนที่เขาเจอ

วันนี้ท๊อปไม่ได้มองบิทคับว่าเป็นบริษัทของตัวเอง แต่มองว่าเป็น “โครงสร้างพื้นฐานของประเทศ” ที่ต้องอยู่ต่อไป ถึงแม้จะมีเขาหรือไม่มีเขา บิทคับต้องเป็นนาฬิกาที่บอกเวลา และโตต่อไปได้เรื่อย ๆ เหมือน “วอลต์ ดิสนีย์” ที่คนก่อตั้งหายไปตั้งนานแล้ว แต่วอลต์ ดิสนีย์ยังอยู่ เหมือน Apple ที่สตีฟ จอบส์ เสียชีวิตไปตั้งนาน แต่ Apple ยังได้รับความนิยม นี่คือความสำเร็จอันต่อไปที่อยากจะสร้างขึ้นมาให้กับ Bitkub 

“สมมติวันหนึ่งผมโดนรถชนไปบิทคับต้องอยู่รอด ซึ่งตอนนี้ยังไม่ถึงจุดนั้น วันนี้ถ้าท๊อป จิรายุส เป็นอะไรมา บิทคับกระทบหนักมาก ทำอย่างไรให้ท๊อป จิรายุสไม่เกี่ยวกับบิทคับ ทำอย่างไรให้คนที่เห็นอนาคตนำบิทคับไปต่อยอดได้ ทุกคนสามารถที่จะพัฒนา บอกเวลากันได้หมด เป็นนาฬิกาที่แข็งแรง”

ไฟแนนเชียล แพลตฟอร์มของโลกอนาคต

ท๊อปบอกว่า เขาอยากทำ Bitkub ให้เป็น Great Company เป็นบริษัทที่เป็น Long last thing ทิ้งมรดกไว้กับประเทศ ที่คนส่วนใหญ่ทำกันไม่ได้ เป็นบริษัทที่เปลี่ยนประเทศ เปลี่ยนโลก เหมือน Apple Facebook ที่เปลี่ยนโลก

“คือไม่ทำสิ่งที่ Nice to have แต่ทำในสิ่งที่จำเป็นต้องมี ถึงจะไม่เสียเวลาคนที่ทำงานหนักที่นี่”

การที่จะทำองค์กรให้เป็น Great Company ได้ ซีอีโอจะต้องสามารถมองเห็นเทรนด์ของโลก และพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนั้นตลอดเวลา คือดูว่าลมจะเปลี่ยนทิศเมื่อไร ดูว่าลมกำลังจะพัดแรงที่ไหน แล้วนำทีมบินไปพร้อมกับลม

อย่างอื่นฝึกได้หมด ใช้ Outsource ได้หมด การเงิน การบัญชี การตลาด เป็นความรู้พื้นฐานที่เรียนรู้ได้และตามทัน แต่สิ่งที่ตามไม่ทัน คือ ความสามารถในการเห็นอนาคตของผู้นำองค์กร

“Skill set อื่น ๆ พนักงานคนอื่นทำเก่งกว่าอยู่แล้ว ผมยอมรับ แต่ความสามารถที่จะเห็นอนาคตที่สำคัญ บอกทุกคนได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และให้ทีมทุกคนทำตามไดเรกชัน ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้จากการ Connect the dot ของผู้นำองค์กร ซึ่งแต่ละคนมี dot ที่ไม่เหมือนกัน”

บิทคับจะเปลี่ยนทุกวงการ เพราะบิทคับจะเป็นดิจิทัลอินฟราซัคเจอร์ เมื่อ App Store คือ โครงสร้างพื้นฐาน แอปฯ ที่อยู่บนนั้นเปลี่ยนอะไรบ้าง Instagram เปลี่ยนวงการถ่ายรูป Grab เปลี่ยนวงการส่งอาหาร

ส่วน Bitkub สร้างอินฟราซัคเจอร์ของ Web 3.0 ท๊อปบอกว่า จริง ๆ เขาต้องการสร้างเป็นไฟแนนเชียล แพลตฟอร์มของโลกอนาคต เป็นสถาบันการเงินอีกรูปแบบหนึ่ง ที่สามารถทำทุกอย่างได้ในที่เดียว เหมือนมีเดียแพลตฟอร์มอย่างเฟซบุ๊กที่ทำทุกอย่างได้ในที่เดียว เป็นทั้งดิจิทัลทีวี ดิจิทัลเรดิโอ ดิจิทัลพอดแคสต์ทีวี วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ในที่เดียว โดยที่เฟซบุ๊กไม่ต้องมีคอนเทนต์เป็นของตัวเอง 

“วงการการเงินก็เหมือนกัน ตอนนี้ยังเป็น Single Channel อยู่ ธนาคารทำได้แค่ปล่อยกู้ ฝาก-ถอน Superrich ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนเงินตรา ตลาดหลักทรัพย์ซื้อขายหุ้น แต่พอเราสร้างไฟแนนเชียลแพลตฟอร์มขึ้นมา จะกลายเป็นการรวมเอาทุกอย่างอยู่ในนั้น ทั้งตลาดหลักทรัพย์ ธนาคาร Superrich ในที่เดียว โอนเงินข้ามประเทศได้ เทรดหุ้นได้ ปลีกย่อยได้ทุกอย่างที่เรียกว่า Digital Asset ซึ่งทุกวันนี้ทำอยู่ เรียกว่า Digital Currency Hub แต่ขยายได้อีก FX Trading ก็ทำได้ แลกเปลี่ยนเงินตราก็ทำได้ ทั้งหมดคือ All Channel โดยที่ไม่ต้องมีเงินเป็นของตัวเอง นี่คือสิ่งที่เราจะทิ้งไว้ให้กับประเทศไทย เป็นแพลตฟอร์มของวงการการเงิน”

ท๊อปอธิบายว่า ประเทศไทยตอนนี้ ทุกวงการมีแพลตฟอร์มเป็นของตัวเอง วงการอสังหาริมทรัพย์มี AirBnB โดยที่ไม่ต้องมีอสังหาฯ เป็นของตัวเอง แต่มีห้องพักของ Marriott วงการแท๊กซี่มี Grab เป็นอู่รถแท๊กซี่ที่ใหญ่ที่สุดโดยที่ไม่มีแท๊กซี่เป็นของตัวเอง วงการสื่อสารโทรคมนาคมมี Line ตอนนี้วงการการเงินมี Bitkub

“จริง ๆ วงการการเงินมี Binance อยู่แล้ว เป็น global monopoly model มีฟีเจอร์เยอะมากโดยที่เขาไม่ต้องมารอการอนุมัติตามกฎข้อบังคับ (Regulatory Approval) ในขณะที่ของบิทคับเป็น local monopoly model ทำเสร็จไปหลายอย่างแต่เปิดตัวไม่ได้ เพราะกฎหมายตามไม่ทัน”

ในอนาคตเขาเตรียมขยาย Bitkub Exchange ซึ่งไฟแนนเชียลแพลตฟอร์มออกไปยังต่างประเทศ แต่ที่ยังไม่ทำตอนนี้เนื่องจากเป็น local monopoly model จะต้องขยายทีละตลาด เพราะแต่ละตลาดมีระบบนิเวศและคอมมูนิตี้ที่ไม่เหมือนกัน ไม่ใช่ ‘one size fit all’ รวมถึงเรื่องของความพร้อมของกฎข้อบังคับ (regulation) ในประเทศ

“จริง ๆ หลาย ๆ ตลาดที่บิทคับทำเสร็จหมดแล้ว แต่เปิดไม่ได้ ยกตัวอย่าง NFT Marketplace เสร็จก่อน OpenSea (ตลาดออนไลน์สำหรับโทเค็นที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้) เป็นปี แต่เปิดตัวไม่ได้ เพราะกฎหมายไม่ให้เปิด Fans Token ก็คิดก่อน เสร็จก่อนแต่โดนแบน ห้ามทำ สุดท้ายเมืองไทยเองที่เสียผลประโยชน์ 20,000 ล้านดอลลาร์ที่อยู่ใน OpenSea ตอนนี้ แทนที่จะมาเกิดที่บิทคับ Fans Token NFT Platform ก็ทำเต็มที่เท่าที่เราจะทำได้ แต่การจะทำให้มันเกิดสิ่งใหม่ขึ้นได้ ต้องมีการกระทำรวม (Collective Action) จากหลาย ๆ คนในวงการ  เป็น ecosystem เป็นกฎข้อบังคับ และผู้สร้าง ecosystem รวมถึงการเป็นคู่ค้ากัน

Bitkub กับการสร้างโอกาส

เป้าหมายสูงสุดของบิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป คืออะไร … ท๊อป บอกว่า Bitkub เปิดบริษัทมาเพื่อสร้างโอกาส ทั้งโอกาสการเข้าถึงการลงทุนที่ดี โอกาสในการเข้าถึงความรู้การศึกษาที่ดี บิทคับมีออนไลน์แพลตฟอร์ม Bitkub Academy ซึ่งเป็นศูนย์กลางส่งเสริมการเรียนรู้ในสินทรัพย์ดิจิทัล เทคโนโลยีบล็อกเชน นำเสนอความรู้ ตั้งแต่ระดับเริ่มต้นจนถึงผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเตรียมพร้อมให้ทุกท่านสำหรับการเปลี่ยนแปลงในยุค Digital Disruption 

โอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน อย่าง Bitkub Ventures ที่จะลงทุนในสตาร์ตอัพเพิ่มอีก 10 เท่าเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในปีถัดไป ซึ่งท๊อปบอกว่าการที่เขามี Bitkub ในวันนี้ได้ เพราะเขาได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่คนหนึ่งเหมือนกัน 

ท๊อป กล่าวว่า จากวันแรกจนถึงวันนี้ Bitkub ได้มีการ Pivot และทรานส์ฟอร์มตัวเองมาเยอะมาก แต่กลยุทธ์ไม่มี เปลี่ยนตลอดทุกวัน ทดลองอะไรใหม่ ๆ ตลอด บิทคับมีแผนจะขยาย Bitkub Exchange ไปยังประเทศที่ไม่มี clear winner เพราะท๊อปเชื่อในเรื่องของเน็ตเวิร์ก และอีโคโนมีสเกลของแพลตฟอร์มธุรกิจ

“สำหรับธุรกิจอื่น ๆ ของบิทคับจะเป็นการสร้างอินฟราซัคเจอร์สำหรับรองรับ web 3.0 ที่จะเกิดขึ้นในอีก 10 ปีข้างหน้า”  

“เราต้องมี NFT Marketplace ต้องมี Bitkub Chain ที่มี Bitkub เป็น Operating System ให้คนสร้างแอปฯบน Bitkub Chain มี Bitkub World Tech ทำร่วมกับคุณวิชัย ทองแตง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ สอนทักษะที่สำคัญและจำเป็นสำหรับแรงงานในอุตสาหกรรมดิจิทัล และบล็อกเชนให้กับประเทศไทย โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือนักเรียน นักศึกษาในระดับอาชีวะ 

Bitkub M Social ดิจิทัล คอมมูนิตี้แห่งแรกของไทยซึ่งทำร่วมกับเดอะมอลล์ Bitkub Venture ที่ต้องการเงินทุนมากกว่าสินทรัพย์หายาก (Hard Asset) รวมถึงการเปิดกองทุน Bitkub infinity เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงการลงทุนทีดีขึ้น โดยไม่ต้องมีความรู้ เวลา หรือความเข้าใจ เรารับลงทุนให้ ซึ่งในขณะนี้กำลังยื่นขอไลเซนส์อยู่ เนื่องจากเป็นธุรกิจใหม่”

ที่สำคัญคือ Bitkub Academy ที่สร้างขึ้นมาเพื่ออัปสกิล รีสกิลให้กับคน แต่ต้องเป็นตลาดใหม่ที่สร้างเป็น Open education system ข้อมูลต้องเชื่อมต่อกันทันที เป็นการเข้าถึงแบบเปิด (Open Access) ให้ทุกคนเข้าถึงได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำ โดยใช้เทคโนโลยีในการสอน ให้ทุกคนมา learn-to-earn เรียนแล้วได้เงิน proof-to-earn ตรงนี้ ท๊อปมองเห็นแล้วว่าในอนาคตจะเกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงานคนในกลุ่มนี้ 

“คนทำ Skill set ใหม่ ๆ ในไทยมีน้อยมาก เราต้องเร่งสร้าง Blockchain engineer ซึ่งในไทยมีไม่กี่คน ส่วนใหญ่อยู่ที่บิทคับหมด จริง ๆ แล้วต้องขยายให้ได้มากกว่านี้”

ท๊อปดูเป็นคนมีวุฒิภาวะเกินอายุ เขากล่าวว่า เขาพัฒนาความคิดที่มีวุฒิภาวะแบบนี้ได้ ด้วยการอ่านหนังสือมากกว่าคนอื่น รวมถึงการเปิดบริษัทแรกที่ต้องบีบตัวเองให้เก่งขึ้นมา ให้บริษัทอยู่รอด ทำเองทุกด้าน เป็นช่วงที่เจ็บปวดมากที่ต้องฝืนทำอะไรหลายอย่างที่เขาไม่อยากทำ เพื่อความอยู่รอดของบริษัท เขามาถึงจุดนี้ได้ หากจะให้มองว่าตัวเองเก่งกาจเรื่องอะไรมากสุด เขาบอกว่า เขาเก่งกาจมากเรื่องความอดทน ยอมรับความเจ็บปวด

“อยากให้ดูเรื่องราวของผมเป็นตัวอย่าง การที่เราเชื่อมั่นกับอะไรบางอย่าง ทำมันทุกวันโดยไม่สนใจอย่างอื่น มันเปลี่ยนแปลงสังคมได้ เปลี่ยนแปลงประเทศได้จริง ๆ แค่มีความอดทน มีความเชื่อ วันที่ทะเลาะกับพ่อแม่ ท่านสั่งให้ปิดบริษัทผมไม่ปิด ในวันที่โดนปปง. เรียกตัว ไม่มีใครมาดีเฟนด์เคส ผมก็ดีเฟนด์ตัวเอง แม้วันที่เงินเหลือ 2 เดือนสุดท้ายต้องบอกพนักงานว่าไม่มีเงินจ่ายแล้ว แต่เราต้องเชื่อว่ามันมีแสงที่ปลายอุโมงค์ที่ดีที่สุดให้ได้ หลังจากที่ทุกอย่างมืดไปหมด”

ท๊อปบอกว่า entrepreneur คือ กลุ่มคนที่เชื่อว่าสุดท้ายต้องมีแสงที่ปลายอุโมงค์ออกมา ถ้าทำมันทุกวัน ถ้าคนทำไม่เชื่อแล้วใครจะเชื่อ อยากให้ทุกคนหาสิ่งที่ตัวเองมีความเชื่อมั่น หาแพชชั่นของตัวเองให้เจอ แล้วทำมันทุกวัน ทุกคนจะเจอความสำเร็จในแบบของตัวเอง

“ผมจะมาถึงจุดนี้ไม่ได้ ถ้าไม่มีคนรอบข้างคอยซัพพอร์ต ทุกคนเก่งกว่าผม ทุกคนที่อยู่ข้างหลัง คือ ทีมที่แข็งแรง คือ ทีมที่ใช่ ตอนคบแฟนก็บอกกับแฟนว่างานสำคัญกับเรานะ รับได้ไหม ถ้าจะคบก็ต้องรับให้ได้ ทุกคนมีข้อเสียหมด ข้อเสียของเราคืองานเป็นสิ่งสำคัญกับชีวิตมาก อะไรที่เกี่ยวกับงาน ทุกอย่างคือเรื่องรองหมด รวมถึงแฟนด้วย ขนาดงานวันเกิดน้องสาวก็ยังไม่ไป ถ้าติดงาน”

เมื่อเขามีเป้าหมายแล้ว เขาต้องพุ่งชนไป เขาบอกว่า ทุกช่วงชีวิตเขามีแค่เป้าหมายเดียว ทำให้ถึงก่อนอย่างอื่นค่อยว่ากัน เหมือนตอนที่ตั้งเป้าว่าจะให้บิทคับเป็นยูนิคอร์น ก็พุ่งเป้าทำจนสำเร็จ

“เป้าหมายสำคัญถัดจากการเป็นยูนิคอร์น คือ การวางโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลให้กับประเทศ เป็นโครงสร้างสำคัญที่จะทำให้เกิดธุรกิจใหม่ บนโครงสร้างที่เราสร้างจะโอกาสมีเยอะมาก Web 3.0 จะมา เรามองว่าต้องมีดิจิทัล อินฟราซัคเจอร์ ซึ่งเรากำลังสร้างมันอยู่”

บิตคอยน์ (อาจ) ทำให้หลายคนเจ็บปวด

เขาบอกว่า ทุกการเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งใหม่ จะมีคนกลุ่มหนึ่งเอาสิ่งใหม่ไปหลอกคนอื่น อีเมลก็เคยหลอกคนอื่นมาก่อน ตอนมีรถยนต์ก็มีโจรขับหนีตำรวจ เรื่อง Dead machine ไฟฟ้าคนก็กลัว เป็นแบบแผนของการเกิดสิ่งใหม่ ดังนั้นต้องมีสติและมีความพร้อม มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เรียนรู้วิธีซื้อ-ขาย และเก็บเหรียญอย่างปลอดภัย Limit Orders หรือ Market Orders ต่างกันกันอย่างไร ถ้าพร้อมแล้วค่อยซื้อขายบิตคอยน์มาเก็บ

“ทุกตลาดมีคนล้มละลายหมด อยู่ที่ว่าเราถนัดหรือไม่ เราพร้อมจะลงทุนหรือไม่”

ท๊อป ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า ที่สำคัญต้องดูว่าคุณมีเงินเย็นไหม อย่าขายบ้านขายรถมาซื้อ ไม่แนะนำ อะไรที่ขึ้นแรงก็ลงแรง ถ้าขึ้น-ลง 10% รับไม่ได้อย่ามาวงการนี้ ขึ้น-ลง 20% ปกติมาก พร้อมจะรับความเสี่ยงไหวไหม ที่สำคัญต้องดูว่าอะไรที่เกินกว่าความเป็นจริง อะไรที่รับประกันผล 20% แน่นอนแบบนี้หลอกลวงแน่ ๆ นอกจากนี้ต้องซื้อ-ขายกับบริษัทที่ได้รับใบอนุญาต ที่มี Industry Protection ที่ดี อย่าทำอะไรเกินตัว เพราะความพร้อมของแต่ละคนไม่เท่ากัน ที่เห็นเขาประสบความสำเร็จเพราะเขาอาจศึกษามานาน มีเงินเย็นมากพอ คำนึงไว้เสมอว่าจะมีคนกลุ่มหนึ่งที่เอาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ไปหลอกคนอื่น อย่าเชื่อใจอะไรที่ดีเกินจริง ที่สำคัญอย่าทำตามคนอื่น ลงทุนในสิ่งที่เราเข้าใจดีกว่า

อศินา พรวศิน – สัมภาษณ์
สุมณี อินรักษา – เรียบเรียง

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ก.ล.ต. จับมือ ตลท. สนับสนุน SME/Startup เปิดทางเลือกระดมทุนผ่าน ‘LiVE Exchange’

ดีมานด์ทองคำในไทยฟื้นตัวในปี 2564 อยู่ที่ 37 ตัน

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ