TH | EN
TH | EN
หน้าแรกInterviewบนเส้นทางถนนลูกรังของ "ท๊อป จิรายุส" แห่ง Bitkub

บนเส้นทางถนนลูกรังของ “ท๊อป จิรายุส” แห่ง Bitkub

“คนมองว่ารวยเร็ว ประสบความสำเร็จเร็ว แม้อายุยังน้อย นี่คือสิ่งที่ผมเจ็บปวดที่สุดเวลาที่ถูกคนมองแบบนี้ ผมผ่านอะไรมาบ้าง กรีดเลือดกรีดเนื้อตัวเองไปเท่าไหร่ ใครจะรู้”

นี่คือคำพูดจากปาก ท๊อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา แห่ง Bitkub ยูนิคอร์นผู้สร้างไฟแนนเชียล แพลตฟอร์มชั้นนำของไทย เขาเป็นผู้ชายที่มีอิทธิพลต่อหลาย ๆ วงการธุรกิจไทยในตอนนี้ แต่ใครหลายคนอาจไม่รู้ว่าภายใต้ความสำเร็จของ Bitkub ผู้ชายคนนี้ต้องผ่านอะไรมาบ้าง

ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อนในครอบครัวคนจีนที่คุณพ่อคุณแม่ประกอบธุรกิจ ผลิตและจัดจำหน่ายเสื้อผ้าอยู่ที่ตลาดค้าส่งใหญ่ประตูน้ำ ท๊อปเป็นลูกชายคนโต ในบรรดาพี่น้อง 4 คน เป็นเด็กเกเร ชอบชกต่อยกับเพื่อน และมีผลการเรียนต่ำจนถูกครอบครัวส่งไปดัดนิสัยที่ประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งขณะนั้นเขาเรียนอยู่ชั้นมัธยม ในโรงเรียนที่เน้นสอนเรื่องกีฬาเป็นหลัก 

“ตื่นขึ้นมาต้องวิ่งตอนเช้าเป็นสิบกิโล แล้วไปโรงอาหารทานข้าว เข้าเรียน บ่ายสามโมงเลิกเรียนไปเล่นกีฬาต่อ มีซัมเมอร์สปอร์ตที่เลือกเรียนว่ายน้ำ กับวินเทอร์สปอร์ตเลือกเรียนฟุตบอล และแบดมินตัน”

ชีวิตในวัยเด็กของท๊อปไม่ตั้งใจเรียน เพราะมองว่าการเรียนไม่ใช่เรื่องสำคัญ อยากเป็นนักฟุตบอล ความฝันคืออยากเข้าไปเล่นให้กับทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ชอบคริสเตียโน โรนัลโดมาก อยากเป็นคนไทยคนแรกที่ได้เข้าไปเล่นให้กับทีมแมนยู

ฟุตบอลถือเป็นกีฬาที่เขาเล่นได้ดีสุด นานสุด ฝึกหนักสุด ขนาดพ่อแม่ไปรอรับกลับบ้านก็ไม่ยอมกลับ จนสุดท้ายต้องนั่งรถเมลกลับบ้านเอง

“เวลากลับบ้านก็จะมีลูกฟุตบอลพลาสติกกลับมาด้วยตลอด มีตู้เก็บลูกฟุตบอลที่เราภูมิใจที่เห็นตู้ทั้งหลังเต็มไปด้วยลูกฟุตบอล เป็นความภาคภูมิใจลึก ๆ ของเราตั้งแต่เด็ก”

เมื่อท๊อปเรียนจบระดับมัธยมที่นิวซีแลนด์ กลับมาเมืองไทย แต่สอบเข้ามหาวิทยาลัยในประเทศไทยไม่ได้ เนื่องจากไม่ใช่เด็กเรียนดี ไม่มีองค์ความรู้ เรียนอ่อนทุกวิชา วิชาที่เรียนดีที่สุดคือเลข ซึ่งท๊อปเล่าให้ The Story Thailand ฟังว่าสมัยเรียนมัธยมปลายเขาชอบวิชาเศรษฐศาสตร์มากที่สุด เพราะเข้าใจมากสุด ในขณะที่วิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ ชีววิทยานั้นเรียนไม่รู้เรื่อง

“ในสายตาของเด็กอายุ 18 ตอนนั้น แตกหนุ่ม มีเพื่อน มีแฟนคนไทย ไปเรียนต่างประเทศมานาน เห็นคนใส่ชุดนักศึกษามหาวิทยาลัยก็อยากใส่บ้าง เป็นสิ่งที่เท่มาก แต่เกรดไม่ดี สอบเทียบไม่ได้ ไม่มีอะไรสู้เด็กไทยได้ เกิดเป็นปมขึ้นมาในใจ”

และความที่เขาชอบฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ ท๊อปจึงเริ่มเดินทางใหม่อีกครั้ง โดยเลือกศึกษาต่อระดับปริญญาตรีที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ตอนนั้นอังกฤษมีระบบ UCAS (Universities and Colleges Admissions Service) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่รับสมัครบุคคลเพื่อเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษาของสหราชอาณาจักร มีให้เลือกแค่ 5 มหาวิทยาลัย โดยจะมี Ranking Table ให้ ทั้งลิเวอร์พลู นิวคาสเซิล และแมนเชสเตอร์ สุดท้ายเขาก็เลือกมหาวิทยาลัยตามสโมสรฟุตบอลที่ชื่นชอบ

“รู้สึกว่าตัวเองมีความทะเยอทะยานมาก เลือกเรียนมหาวิทยาลัยยังเลือกที่อยู่อันดับต้น ๆ ของตาราง ทีมแมนยูตอนนั้นก็เป็นแชมป์ทุกปี พอมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ (The University of Manchester) รับดีใจมาก เพราะเป็นทีมโปรด สัญญากับตัวเองว่าจะตั้งใจเรียน”

“สิ่งที่แปลกตั้งแต่เด็ก คือผมจะเป็นคนมีแค่เป้าหมายเดียว สนใจอย่างเดียว และทำให้ดีไปเลย สมัยเรียนมัธยมชอบฟุตบอลก็ฟุตบอลอย่างเดียว พอเข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่สนใจอย่างอื่น สนใจแค่ว่าทำอย่างไรให้เข้า Top University ให้ได้ พอปฏิญาณตนจบคิดแค่ว่า ชีวิตนี้ต้องได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของโลกให้ได้” ท๊อปบอก

“พอเปลี่ยนความคิด วิถีชีวิตก็เปลี่ยนไป สายตาสั้นครั้งแรกตอนเรียนมหาวิทยาลัย อ่านหนังสือไปเรื่อย ๆ วันละ 10-12 ชั่วโมงตลอด 7 วัน วันหยุดคริสมาสต์ก็ไม่กลับบ้าน ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เป้าหมายเดียวที่ตั้งใจไว้”

ท๊อปเรียนจบจากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ได้อันดับเหรียญทองของเหรียญทอง หมายถึงเรียนคณะเศรษฐศาสตร์ได้ที่หนึ่งของคณะ แต่คณะนี้อยู่ใน School ที่เรียกว่า Social Science เรียนการบัญชี การเงินเป็น Study Business เศรษฐศาสตร์ จบแล้วได้ที่ 1 ของ ที่ 1 ของ School จนมหาวิทยาลัยให้ทุนคืน เพราะเรียนดีมาก ขึ้นไปรับใบประกาศถือธงสีม่วงอยู่คนเดียว ชนะทุกชาติ

“ตอนนั้นตกใจ แล้วคิดได้ว่าพอเราพยายามกับอะไรจริง ๆ ก็ทำได้ดี แต่เราก็เสียสละมากกว่าคนอื่น ไม่ได้ไปปาร์ตี้ ไม่ได้มีแฟน ไม่ได้ใช้ชีวิตเหมือนเด็กมหาลัยทั่วไป วัน ๆ อ่านแต่หนังสือ 10-12 ชั่วโมงอยู่แบบนี้ เพื่อนบางคนอยู่ไพรเวท อพาร์ทเมนต์ เราอยู่หอมหาวิทยาลัย นั่งรถบัสไปเรียน กินน้ำจากห้องสมุด ประหยัดทุกบาท ทุกสตางค์

พอระดับปริญญาโท เขาบอกว่าตอนนั้นสามารถเลือกได้หมด จะเรียนที่ไหน ออกซ์ฟอร์ด เคมบริดจ์ ให้ทุนหมด แต่ที่เลือกเรียนมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด เพราะชื่นชอบอภิสิทธิ เวชชาชีวะ ซึ่งขณะนั้นเป็นนายกรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุด เขาเดินทางมาเยี่ยมที่ออกซ์ฟอร์ดพร้อมกับกรณ์ จาติกวณิช คนไทยที่อยู่ที่นั่นเดินทางไปต้อนรับ เขาก็เป็นคนหนึ่งในนั้น ไปล้อมอภิสิทธิ 

“ตอนนั้นรู้สึกว่าทำไมเขาเท่แบบนี้ เลยไปสืบและรู้มาว่าทั้งอภิสิทธิ และกรณ์เป็นเด็กเก่าออกซ์ฟอร์ด เรียนคณะเศรษฐศาสตร์ เลยปฏิเสธเคมบริดจ์ไปเพื่อเรียนคอร์สเดียวกับอภิสิทธิ พอเปลี่ยนไอดอลมาเป็นอภิสิทธิ เป้าหมายก็เปลี่ยนไปด้วย”

Oxford เข้าได้ ต้องออกให้ได้ 

เมื่อได้เข้าไปเรียนที่มหาลัยออกซ์ฟอร์ดตามความมุ่งมั่นของตัวเองได้แล้ว เป้าหมายต่อไปของท๊อปคือเรียนจบออกมาให้ได้ เพราะทุกคนเป็นโอลิมปิกเหรียญทองหมด ไม่เคยเป็นที่สอง ตอนนั้นเด็กสุดในห้อง อายุ 21 ปี ทั้ง ๆ ที่อายุเฉลี่ยเพื่อนร่วมชั้นปริญญาโทอยู่ที่ 25-26 ปี

เมื่อถามว่า ทำได้อย่างไรเมื่อโฟกัสอะไรแล้วทุ่มทุกอย่างขนาดนี้ โดยที่ไม่ว๊อกแว๊ก ท๊อปบอกว่า มีท้อแท้บ้าง แต่ไม่ถอย มีน้อยใจบ้าง ตั้งใจมาเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ เพราะชอบฟุตบอล แต่มาอยู่ 5 ปี ไปดูกีฬาที่สนาม Old Trafford แค่ครั้งเดียว ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหน ไม่เคยเห็นอะไรที่ยุโรป 

“ก็มีท้อบ้าง ก็เหมือนเด็กหนุ่มทั่วไป อยากมีแฟน แต่จะเอาเวลาที่ไหน วัน ๆ อ่านหนังสืออยู่แต่ในห้องสมุด เรารู้ว่าอะไรสำคัญเราก็เลือกที่จะเสียสละสิ่งอื่น เพื่อเป้าหมายของเรา

ท๊อปบอกเหมือนเป็นปมในใจว่าต้องเรียนจบมหาวิทยาลัยระดับโลกให้ได้ คิดแค่ว่าถ้าอายุ 70-80 ปี อยากมีอะไรที่น่าจดจำ ไม่อยากดูถูกตัวเองว่าไม่พยายามเต็มที่ 

“ผมเดินตามความฝันมี check list ของชีวิต Top University คือหนึ่งในนั้น มีช่วงหนึ่งที่คิดว่าโลกใบนี้จะมีปัญหา โลกร้อน ไม่ยั่งยืน เราก็ไม่แคร์ คิดแค่ว่าถ้าชีวิตมันสั้นจริง ๆ สักครั้งหนึ่งฉันก็ต้องได้เรียน Top University ให้ได้ สมมติโลกจะหยุดที่ปี 2023 อย่างน้อยก็จะทำแบบนี้อยู่ดี ไม่ทำอย่างอื่น ถ้าเวลามันจำกัด”

สุดท้ายท๊อปก็เรียนจบ MPhil in Economics เป็นหลักสูตรที่เรียนทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ประยุกต์ ซึ่งเขาบอกว่า จบแบบเส้นยาแดงผ่าแปดมาก เป็นสิ่งที่ถ้าให้ทำอีกทีหนึ่งก็คงไม่ทำ ทรมานมาก ถ้าแต่ถ้ายังไม่ก็ต้องทำ เพราะเป็นเป้าหมายของชีวิต

“ช่วงนั้นเป็นช่วงค้นหาตัวเอง เพราะที่ผ่านมามีเป้าหมายเดียว ไม่เคยเตรียมอนาคตไว้ อัดมาจนหยดสุดท้ายเพื่อให้มันจบมาให้ได้ ทุกเอนเนอร์จีที่มีเพื่อเป้าหมายเดียว พอจบมาก็เคว้ง เหมือนเอาหินที่แบกมาออกจากอกว่าฉันทำได้แล้ว ทำตามที่ฝันไว้”

หาประสบการณ์ที่จีน

ท๊อปเล่าว่า ตอนนั้นบินไปทำ Investment Banking (วาณิชธนกิจ) ที่เซี่ยงไฮ้ ทั้ง ๆ ที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่จะถูกเทรนด์ให้ไปทำงานในบริษัทใหญ่ ๆ ที่มีชื่อเสียง เนื่องจากจบมหาวิทยาลัยระดับโลก มีอีโก้ มีความสำเร็จค้ำคอ ต้องได้รับเงินเดือนหลายแสน เพื่อนที่จบมาด้วยกันทำงานที่ Top firm อยู่อังกฤษ ไฟแนนเชียลก็อยู่ที่อังกฤษ แต่ตัวเขาเองเลือกที่ optimize ประสบการณ์ ไม่ได้เลือก optimize เงินเดือน 

“อยู่นิวซีแลนด์มา 5 ปี อังกฤษ 5 ปี อยากลองหาประสบการณ์ใหม่เลยไปจีน ไปทำในบริษัทเล็ก ๆ ชื่อ Invertech Capital เลือกบริษัทที่เราเข้าไปแล้วเห็นทุกด้าน ได้ทำทุกมิติ ถ้าเข้าไปในบริษัทใหญ่ ๆ ได้ทำแค่จิ๊กซอว์เดียว”

ที่เขาเลือกไปจีน นอกจากเป็นประเทศที่ไม่เคยไป ยังมองว่าจีนเป็น Fast Growing Industy จากสวนเป็นเมืองภายใน 20 ปี เป็นประเทศที่มีการเติบโตเร็วที่สุดของโลก แล้วจีนเป็นประเทศที่เปิดประเทศได้ 20 ปี บริษัทจีนก็เข้าตลาดหลักทรัพย์ในอเมริกา ท๊อปจึงเข้าไปทำงานในวงการ Pink Sheets – The Wolf of Wall Street ตลาดการเงินของอเมริกาที่ให้ข้อมูลราคาและสภาพคล่องสำหรับหลักทรัพย์ที่ซื้อขายตามเคาน์เตอร์ (OTC) ที่ไม่มีกฎระเบียบอะไร มีแค่ 3 ตลาด เพื่อแจ้งให้นักลงทุนทราบถึงโอกาสและความเสี่ยง คือ OTCQB OTCQX และ Pinksheet

“ทำ Investment Banking ได้สักพัก แล้วไปทำคอนซัลติ้งได้ 2 เดือนครึ่ง ไม่ชอบ เรามีวิถีอยากทำนู้นนี่ แต่ที่ไปทำเป็นบริษัท ติดผู้จัดการ อยากคิดค้นอะไรใหม่ก็ทำไมได้ ไม่ใช่เราไม่ทำ เราทำหมด ทำงานหนัก 7 วันต่อสัปดาห์จนชิน พอเข้าไปสู่โลกความเป็นจริง เด็กคนอื่นทำได้ไม่เหมือนเรา ผู้จัดการตกใจ ทำไมแรงขนาดนี้ เราขึ้นไปคุยกับเจ้าของบริษัท ทำไมไม่ทำแบบนั้น แบบนี้ จนเขาถามว่าเด็กคนนี้คือใคร ตอนนั้นอายุ 23 ปี เลยรู้ว่าการทำงานในบริษัทไม่เหมาะกับเรา”

รู้จัก Bitcoin ได้อย่างไร?

“ตอนทำ Pink Sheet เปิดอินเทอร์เน็ตดู Yahoo Finance อยู่ ๆ ก็เจอข่าวบิตคอยน์ Asset อะไรไม่รู้ จาก 10 ดอลลาห์สหรัฐ พุ่งขึ้นเป็น 1,150 ดอลลาห์สหรัฐ 10,000% เริ่มสงสัย ถามเพื่อนเพื่อนก็ไม่สนใจ เราเลยไปหาอ่านจากทุกบล็อก แล้วไปเจอบล็อกของมาร์ก แอนเดอร์สัน ตอนนั้นไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่เขาเขียนไว้ว่า Why Bitcoin Matters ตอนนั้นยังเป็น Random Blog Post อยู่ แต่ตอนนี้เป็น Classic New York time Article”

พอเขาได้อ่าน ได้เห็นอีกมุมหนึ่งว่าบิตคอยน์จะมาเปลี่ยนแปลงโลกอนาคตของวงการการเงิน ท๊อปบอกว่า มาร์ก แอนเดอร์สันเป็นคนที่เห็นสิ่งใหม่ 10 ปีก่อนที่คนทั่วไปจะเห็น เขาสร้างคลาวด์คอมพิวติ้งก่อนที่อเมซอนจะมาสร้างคลาวด์ เขาเห็นบิตคอยน์ตั้งแต่ปี 2013 เกือบ 10 ปีแล้ว เลยเริ่มเชื่อมั่น และให้โอกาสตัวเองอีกทีหนึ่งว่าชอบจริง ๆ ไหม เลยไปสมัครบริษัทปรึกษาด้านการเงินการบัญชี ที่ซานฟรานซิสโก ประเทศอเมริกา

ตอนบินไปซานฟราน เป้าหมายคืออยากไปซิลิคอนวัลเล่ย์ เริ่มสนใจเทคโนโลยี หลังได้อ่านเรื่องบิตคอยน์ อยากไปดูออฟฟิศ Facebook Google แต่เข้าไปทำอะไรไม่ได้ ไม่ได้จบวิศวะ งานที่ดีที่สุดคือพวกอีโคโนมิค คอนซัลติ้ง ระหว่างรอเปลี่ยนงานก็เหลือเวลา 1 เดือน เลยบินกลับเมืองไทย อีเมลหาเพื่อนที่จบอังกฤษมาด้วยกัน เพื่อนคนหนึ่งอยู่ฟิลิปปินส์ตอบกลับมาว่ากำลังทำโปรเจกต์ที่ชื่อว่า World Startup Report เจ้าของโปรเจกต์ชื่อโบวี่ กาย เขาเป็น entrepreneur มาจากซิลิคอนวัลเล่ย์ กลับมาวันเดียวก็แพ็กกระเป๋า บินไปฟิลิปปินส์ พ่อแม่ตกใจ ไปแบบแบ็กแพ็กด้วย ไปนอนบ้านพ่อแม่เพื่อน เพราะไม่อยากใช้เงินพ่อแม่ตัวเอง

เราเพิ่งมารู้ว่าคุณพ่อคุณแม่ทานข้าวกล่องทุกวัน เพื่อจะได้มีเงินส่งเราเรียนต่างประเทศ ครอบครัวฐานะปานกลางขายเสื้อผ้าที่ประตูน้ำ ผลิต ค้าส่ง ค้าปลีก แต่ส่งลูกเรียนต่างประเทศ 10 ปีเป็นเงินเยอะมาก คุณพ่ออยากได้รถใหม่ บ้านใหม่คุณแม่ไม่ให้สักกอย่าง กินแต่ข้าวกล่อง เราเพิ่งรู้ความจริงเหล่านี้หลังจบมา เลยไม่อยากใช้เงินพ่อแม่”

ท๊อปบอกว่า ไปถึงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เพื่อทำ World Startup Report ทำรีพอร์ตเกี่ยวกับสตาร์ตอัพเมืองไทยว่าตอนนั้นมีอะไรบ้าง แต่สิ่งที่ได้จากประสบการณ์นั้นคือ ประเทศไทยไม่มีใครทำสตาร์ตอัพเกี่ยวกับบิตคอยน์ จึงเริ่มคิด เพราะเพิ่งรู้จักและสนใจบิตคอยน์แต่ทำไมไม่มีใครทำเลย

“หมดหนึ่งเดือนอย่างรวดเร็ว ได้รู้จัก Seed Round คืออะไร Series A คืออะไร เรียน By doing วันสุดท้ายของการทำงานโบวี่เลี้ยงอาหารขอบคุณที่ช่วยงานเขา เขาถามว่าท๊อปคุณจะบินไปซานฟรานต่อไปทำงานคอนซัลติ้ง ได้ข่าวว่าคุณจบออกซ์ฟอร์ด ทำไมไม่ออกมาเปิดสตาร์ตอัพ คุณอายุ 23 ทำงาน 24 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ไม่มีแฟน ไม่มีลูก ไม่มีครอบครัว พ่อแม่ก็ไม่ได้ต้องการเงินจากคุณ ทำไมคุณไม่ออกมาเทคลิสต์ สร้างบริษัทขึ้นมา ถ้าคุณล้มเหลวคุณจบออกซ์ฟอร์ด ยื่นใบสมัครที่ไหนเขาก็รับ 

แต่ถ้าคุณบินไปที่ซานฟรานทำงานติดหล่มจนอายุ 40 วันนั้นคุณมีลูกมีภรรยา พ่อแม่ไม่อยู่ให้กำลังใจคุณ คุณจะมาทำงาน 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์แบบเด็กอายุ 23 ไม่ได้ ถ้าคุณออกมาแล้วคุณเฟล โอกาสที่คุณจะกลับไปทำงานใหม่มันยากแล้ว เขาก็จะรับเด็กใหม่ที่ไฟแรงกว่า”

ท๊อปบอกพอได้ฟังเช่นนั้น จึงเริ่มคิด บินจากฟิลิปปินส์ไปซานฟรานนั่งคิดตลอด ไปทำงานคอนซัลติ้งได้หนึ่งเดือนรู้สึกไม่ใช่ตัวเอง จะให้มาทำรายงานทั้งชีวิตแบบตอนเรียนออกซ์ฟอร์ดไม่ไหว เลยลาออก แล้วไปเที่ยวเล่นใน Silicon Valley ไปเที่ยวผับคุยกับคนในนั้น

“Silicon Valley เป็นที่ที่แปลกมาก ถามใครก็ตอบว่า I am entrepreneur ทุกคน พูดด้วย full passion ว่าจะเปลี่ยนโลกอย่างไร ทำให้เราได้เรียนรู้คำว่า entrepreneurship เลยถามเพื่อนว่ามีใครรู้จักคนในซิลิคอนวัลเลย์ไหม เขานัด “แดน ชูลแมน” executive ของ Paypal ให้ คุยกันเรื่องบิตคอยน์ คำแรกถามเขาว่าคุณคิดอย่างไรกับบิตคอยน์ เขาบอกบิตคอยน์จะมาเปลี่ยนแปลงโลก คุณคือเจนที่โชคดีกว่าผม ตอนที่เปิด Paypal แรก ๆ vision แรกคือสร้างดิจิทัลดอลลาร์ แต่ในยุคนั้นเทคโนโลยีไม่พอ ยังไม่มีคลาวด์ ไม่มีบล็อกเชน Mobile phone penetration ยังไม่มา ยุคคุณมีครบ บล็อกเชนจะมาเปลี่ยนแปลงโลก”

การนัดทานแพนเค้กของท๊อปและแดนครั้งนั้น ถือเป็นมื้อที่มีคุณค่ามากสำหรับเขา เป็นสิ่งยืนยันความเชื่อเกี่ยวกับบิตคอยน์ ที่มีค่ามากที่สุด

“วันนั้นลาออกจากบริษัทในซานฟราน บินกลับไทย อยากเปิดสตาร์ตอัพในไทย เพราะทำรีเสิร์ชในรีพอร์ตที่ฟิลิปปินส์ไม่มีใครทำบิตคอยน์ในไทยเลย เลยเอารีเสิร์ชที่ทำที่ฟิลิปปินส์ เอาความมั่นใจที่ซานฟราน และบทความที่เซี่ยงไฮ้มาคอนเนคกัน”

ได้เวลา Connect the dot

ตอนเรียนออกซ์ฟอร์ด วิชาที่ชอบสุดคือประวัติศาสตร์การเงินของโลก ได้เห็นรูปแบบเงินที่เปลี่ยนไป 50 ปี แต่ละปีเกิดวิกฤตการเงินอะไรบ้าง ทุกวันนี้ยังจำได้อยู่ เรียนเรื่องการพัฒนาของแต่ละประเทศ ทำไมแอฟริกาถึงจน 

“นี่ถือเป็นอีก dot ที่เชื่อมต่อกันมา ทำให้เรามีความเชื่อมากกว่าคนอื่น หนังสือที่เราอ่าน ประสบการณ์ที่เราเจอ คนที่เราเจอ หล่อหลอมให้เรามีความเชื่ออะไรบางอย่างที่คนอื่นมองไม่เห็น”

ถึงเมืองไทย เปิดบริษัท Coin.co.th อยู่บนชั้นลอยของร้านเสื้อผ้าครอบครัวที่ประตูน้ำ มีแล็ปท็อปโตชิบาเครื่องเดียว เปิดบริษัทคนเดียว นั่งจ้องหน้าจอคอมทั้งวัน ลิสต์ บรีฟทุกอย่างให้บริษัท เรียนรู้การจดทะเบียนบริษัท การตลาด บัญชี ทำคนเดียวหมดด้วยวิธี Learn by doing 

“ตอนนั้นทำการตลาด ทำแบบสแปมมิ่ง เพราะไม่มีเงิน ต้องไปสแปมตามเฟซบุ๊ก เว็บไซต์อื่น ๆ เพื่อดึงทราฟิกเข้ามา เว็บไซต์ก็เรียนรู้ที่จะออกแบบเอง ไม่มีวอลเล็ตเป็นของตัวเอง แอบใช้วอลเล็ตของคนอื่นพอลูกค้าสั่งก็แอบไปสั่งของที่อื่นมาให้ พอลูกค้าขายก็ขายจากที่อื่นมาให้ แล้วเอาบิตคอยน์ให้ลูกค้า ขายให้ลูกค้า เหมือนเป็นแค่หน้ากาก กินแค่ส่วนต่าง”

เมื่อถามถึง Core Business ของ Coin.co.th ซึ่งเป็นธุรกิจแรกของเขา ท๊อปบอกว่า “ให้คนซื้อขายบิตคอยน์” เท่านั้นจริง ๆ  

“ตอนนั้นได้วันละ 500 ดอลลาร์สหรัฐ ดีใจมาก อวดคุณพ่อคุณแม่ใหญ่เลยว่าทำเงินได้ 10 เดือนทำงานหนักทุกอย่าง ทำเองทุกอย่าง 10 เดือน มีเงินเก็บ 600,000 บาท ถ้าเทียบกับการไปเป็นพนักงานบริษัทถือว่าน้อยมาก ขนาดข้าวยังกินกับคุณพ่อคุณแม่ ต้องประหยัด”

ท๊อปบอกว่า การกลับมาเมืองไทยครั้งนี้ทำให้ครอบครัวต้องผิดหวังมาก เพราะแทนที่เรียนจบปริญญาโทมหาวิทยาลัยระดับโลกมา ได้ทำงานในบริษัทที่ซานฟราน แต่ทำได้ไม่นานก็ลาออกมาอยู่หน้าจอคอมคนเดียวทั้งวันทั้งคืน

โดนคนดูถูกเยอะมาก แต่เรามีเป้าหมายเดียว คือการเปิดบริษัทอยากพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าทำได้ อยากให้คนเชื่อใน dot ทั้ง 4 ที่เราสั่งสมมาหลาย ๆ ประสบการณ์ ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าคือ Connect the dot แต่มีความเชื่อไปแล้ว พิสูจน์แล้วว่าเราเป็นคนส่วนน้อยที่ถูก และคนส่วนใหญ่ที่ผิด ที่ดูถูกเรา”

ตอนเปิด Coin.co.th เขาไม่มีความรู้อะไร เมื่อถามถึง Vision บริษัท ท๊อปบอกใช้ของมาร์ก แอนเดอร์สัน ที่บอกว่า “บิตคอยน์จะมาดิสรัปชันวงการการเงิน ให้โอนเงินข้ามประเทศได้” จะทำให้มือถือที่ต่ออินเทอร์เน็ตเป็นบัญชีธนาคาร ของคนที่ไม่มีบัญชีธนาคาร แบงก์จะคืออันแบงก์ด้วยดิจิทัลเคอร์เรนซี ทำให้เกิด Micropayment โอนเงิน 10 บาทข้ามประเทศได้ ในขณะที่ธนาคารทั่วไปทำไม่ได้ เพราะต้นทุนสูงเกินไป

“เปิดบริษัทได้ 4 ปี Gojek มาซื้อกิจการไป ประมาณ 70-100 ดอลลาร์สหรัฐ ตอนนั้นอายุ 27 ปี ตอนแรกรู้สึก achieve เป็นอะไรที่ big news มาก ถือเป็นการเข้าซื้อกิจการที่ใหญ่ที่สุด (Biggest acquisitions) ในวงการสตาร์ตอัพในอาเซียน”

เขาบอกว่ากว่าจะมาถึงจุดนั้น 4 ปีแรกยาวนานมาก เพราะเริ่มจาก 1 คน เปิดรับสมัครพนักงานยังไม่มีใครมาสมัคร บริษัทไม่มีชื่อเสียง ไม่มีอะไรเลย มีแค่เด็กอายุ 23 ปีเป็นซีอีโอ สุดท้ายได้ญาติตัวเองมาเป็นพนักงาน 2 คน ใช้เงิน 6 แสนที่เก็บมาไปเป็นค่าจ้าง ตอนนั้นสนุกมาก เพราะทำงานคนเดียว ไม่คุยกับใครมา 10 เดือน ออกสังคมก็ไม่เป็น

“มีอยู่ครั้งหนึ่ง เด็กออกซ์ฟอร์ด เคมบริดจ์นัดเจอกัน ทุกคนจะคุยว่าตัวเองทำอะไร ส่วนใหญ่ทำบริษัทการเงิน บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำ พอถึงคิวเรา เราบอกทำสตาร์ตอัพคนเดียว ทำบิตคอยน์ เขาบอกฟอกเงิน ก็ทนไม่ได้ แต่ไม่สนใจ อยู่เงียบ ๆ คนเดียว เพราะลึก ๆ เราเป็นคนไม่ชอบแพ้ แต่เราสู้ ถึงแม้จะมีท้อ”

ท๊อปบอกว่าจริง ๆ เขาเป็นคนแคร์คำพูดคนมาก แต่มนุษย์เราพอมีความเจ็บปวดเข้ามาเยอะ ๆ จะสามารถปรับตัวได้ เหมือนอกหักครั้งแรกจะเจ็บสุด แต่หลังจากนั้นจะดีขึ้น ทำบริษัทเองทำให้เราเก่งขึ้น เพราะต้องฝืนทำทุกอย่างที่ไม่ชอบทำ ทำไม่เป็น 

“แต่ก่อนไม่ได้พูดเก่งแบบนี้ ไม่เคยขึ้นพูด ไม่เคยออกสื่อ เพราะไม่ชอบพูดต่อหน้าคนเยอะ จนต้องขึ้นพูดครั้งแรก หัดพูดหน้ากระจกทั้งคืน จำทุกคำพูดเป็นตัวอักษรได้หมด ตอนขึ้นพูดมือสั่นตัวสั่น แต่การเป็น entrepreneur ทำให้เราฝืนการเป็นตัวตนของเราเองทุกวัน มาถึงวันนี้ยิ่งคนเยอะยิ่งดี ยิ่งชอบ นิ่งมาก มนุษย์เก่งมากในการปรับตัวเมื่อต้องทำอะไรบ่อย ๆ อะไรที่ทำเกิน 1,000 ครั้งคุณจะ expert ในสิ่งนั้น ตอนนี้ให้ขึ้นพูดอะไร ไม่มีสคริปต์ก็พูดได้”

หนักสุดในชีวิต

ช่วง 4 ปีที่ทำ Coin.co.th ท๊อปเล่าว่า โดนสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เรียกตัวไปพบ ธนาคารแห่งประเทศไทย สรรพากรเรียกตัว โดยเรียกไปสอบสวน โทรศัพท์หาบริษัทกฎหมายไม่มีใครรับทำ ไม่มีเงินจ่ายเขา ต้องศึกษาด้วยตัวเอง อ่านกฎหมายการฟอกเงินทุกอย่าง เพื่อที่จะดีเฟนซ์เคสตัวเอง เพราะไม่มีใครรับทำ ทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง บอกพนักงานไม่ได้ กลัวเขาลาออก

“ช่วงนั้นหนักมากจบปปง. เสร็จ แบงก์ชาติเรียกต่อ ในเมื่อบริษัทกฎหมายไม่ช่วย ต้องไปนั่งอ่านกฎหมายให้แบงก์ชาติอีก ทำงานถึงตี 3 แบบนี้ 7 วันต่อสัปดาห์ ยิ่งกว่าอ่านหนังสือตอนเรียนออกซ์ฟอร์ด ไม่หมดแรง คิดแค่ว่าต้องอ่านให้ได้มากที่สุด เต็มที่กับงานที่สุด เพราะไม่มีใครช่วยจริง ๆ จะมายอมแพ้ ให้บริษัทโดนปิด ไม่ยอม”

พ่อมาบอกให้เราปิดบริษัท เราไม่ปิด คิดแค่ว่าบิตคอยน์จะเปลี่ยนโลก จนทะเลาะกัน ไม่เคยทะเลาะกับที่บ้านหนักขนาดนี้ เป็นช่วงที่หนักมาก เครียดมากจนทุกวันศุกร์ต้องขับรถไปสนามบินดอนเมือง ดูว่าเครื่องไฟลท์ไหนจะออก ซื้อตั๋ว ไปที่ไหนก็ได้ ขอไปอยู่เงียบ ๆ คนเดียว 2 วัน วันอาทิตย์กลับมา วันจันทร์ลุยใหม่”

“ทำแบบนี้ติดต่อกันอยู่ 7 สัปดาห์ เพราะไม่รู้จะปลดปล่อยอย่างไร เครียดหมดทุกด้าน ตอนเรียนเครียดโทรไปคุยกับพ่อแม่ได้ แต่ตอนทำงานคุยไม่ได้ เขาจะให้ปิดบริษัทอย่างเดียว เลยต้องบินไปเปลี่ยนสภาพแวดล้อมเพื่อรักษาตัวเอง ไปหาที่ชาร์จแบต ท้อมากตอนนั้น”

ขยายบริษัท

ช่วงนั้น Co-working space กำลังได้รับความนิยม ท๊อปจึงพาตัวเองและพนักงานย้ายออกจากชั้นลอยร้านเสื้อผ้า ไปอยู่ที่เอกมัย รับพนักงานเพิ่มชื่อเมย์ ตอนนั้นมีทีม 4 คน ทำทุกอย่าง หมุนทุกด้าน พอมีคนมากขึ้น Skill set มากขึ้น พอกราฟิกได้ โฆษณาเริ่มเข้า หลังจากนั้นจึงขยายทีม จนมี 9 คน 

“ตอนนั้นภูมิใจมาก แค่ได้ไปนั่งทานข้าวกับพนักงานตอนเที่ยง เรานั่งหัวโต๊ะ เห็นพนักงานกินข้าวก็ดีใจเรามีบริษัทเป็นของตัวเอง มีความสุขมาก แต่สุดท้ายก็โดนปปง. เรียกตัวอีก กลับจากการสอบสวนพนักงานลาออกครึ่งบริษัท จึงเปิดรับสมัครใหม่ ขยายเป็น 30 คน ย้ายออฟฟิศไปชิดลม transaction มากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนั้น 200 transaction ต่อวันถือว่ามากแล้ว ดีใจมาก จดไว้หมด ยอด Like บนเฟซบุ๊ก กี่ออเดอร์ ทวิตเตอร์มียอดเท่าไร เขียนแมททริกให้ทุกคนเห็น อินสไปร์ทีม พูดทุกอย่าง แบงก์ชาติเรียกตัวอีกรอบ พนักงานลาออกอีกครึ่ง ดีเฟนซ์เคสเองกับแบงก์ชาติตอนนั้น ไม่นานโดนสรรพากรบุกออฟฟิศ พนักงานทุกคนรู้พร้อมกัน”

ท๊อปบอกว่าตอนนั้นพนักงานที่ Coin.co.th มีประมาณ 30 ชีวิต ทุกคนทำงาน 10.00-19.00 น. ทำงานของตัวเอง 19.00-03.00 น. เขาก็ยังอยู่ เราผลักดันเขา ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่ใช่เรื่องดี แต่เพราะเราโตมากับการเก็บเงินทุกบาททุกสตางค์ ตอนนั้นคิดแค่ว่าลงไป 1 บาทต้องได้คืน 10 บาท บริษัทถึงอยู่รอด 

“เราโตมากับความประหยัด ขนาด Bitkub ยังใช้เงินแค่ 110 ล้านบาท สร้างบริษัทเกือบ 100,000 ล้านบาท คงไม่มีใครทำได้ขนาดนี้ ถ้าเทียบกับขนาดองค์กร ส่วนใหญ่ถ้าคิดเป็นเงินดอลล่าร์ การจะสร้างยูนิคอร์นได้ 1 บิลเลียนดอลล่าร์ ต้องใช้เงินประมาณ 400-500 บิลเลียนดอลล่าร์ แต่บิทคับ ใช้ 32,000 บิลเลียนดอลล่าร์ Turn over สูง แต่คนที่ทำงานกับเราได้จะเป็นเพชร เขาจะแกร่งมาก คนที่อยู่กับเราได้เขาก็จะชอบ เขาโตเร็วมาก”

ท๊อปบอกว่าพนักงานที่ทำกับเขาตั้งแต่ Coin.co.th ปัจจุบันเป็น Head ที่นี่ อย่าง Deputy CEO (รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร) ของบิทคับ สมัยทำที่คอยน์ MS Excel ยังใช้ไม่เป็น ไม่รู้จักสูตรคำนวนอะไร ตอนนี้มาเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทการเงินของโลกใหม่ 

“โดนเรียกที พนักงานลาออกทีละครึ่ง ใครจะไปทนไว 10.00-03.00 น. ค่าโอทีให้ไม่ได้ ไม่มีเงิน เป็นสตาร์ตอัพที่ไม่มีเงิน เป็น 4 ปีที่หาที่ไหนไม่ได้ ถามว่าให้กลับไปทำแบบนั้นอีกเอาไหม บอกเลยไม่เอา” 

ปัจจุบัน Coin.co.th ถูกขายให้กับ Gojek ซึ่งเป็นสตาร์ตอัพสัญชาติอินโดนีเซียตั้งแต่ปีพ.ศ. 2561 ซึ่งเวลานั้นท๊อปบอกกับ The Story Thailand เป็นช่วงที่เหนื่อยมาก อยากจะพัก แต่มูลค่าบิตคอยน์ขึ้นไปถึง 600,000 บาท สื่อทุกสื่อวิ่งมาหา เพราะเขาเป็นคนเดียวในประเทศที่ทำ Bitcoin ปีนั้นขึ้นพูดไปกว่า 300 เวที

“ตอนนั้นอยากพัฒนาทักษะการสื่อสารตัวเอง เพราะอยากอธิบายให้ทุกคนเข้าใจเกี่ยวกับบล็อกเชน เป็นจังหวะหนึ่งของชีวิต ออกทีวี เฉลี่ยวันละเวที เป็นปีที่ได้ทักษะใหม่ โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ”

กว่าจะมาเป็น Bitkub วันนี้

หลังจากโดนสื่อแขนงต่าง ๆ ยิงคำถามเรื่องบิตคอยน์ ท๊อปจึงอยากทำให้ภาครัฐเห็นว่าบล็อกเชนทำอะไรได้มากกว่านั้น จึงไปลงแข่งขันฟินเทค ชาเลนจ์ ที่จัดโดย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเพิ่มโอกาสระดมทุนสตาร์ตอัพ แหล่งลงทุนใหม่ของนักลงทุน โดยใช้ชื่อ “ไพรเวท เชน (Private Chain)” เป็นผู้ให้บริการระบบซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชน จนได้รับรางวัล Innovative Fintech 

“ตอนนั้นบอกกับพี่ที่รู้จักกันในก.ล.ต. ว่าอยากทำธุรกิจของตัวเอง แต่ด้วยเงื่อนไขหลาย ๆ อย่าง ทำให้ต้องเปลี่ยนชื่อบริษัท เพื่อระดุมสร้าง Bitkub เอาระยะ Seed Round ไปคุย จนได้ลูกค้าเก่า ที่เคยเทรด Coin.co.th ซึ่งเขารู้จักและติดตามเราตั้งแต่เรียนต่างประเทศ มาลงทุนให้ เป็น Angel Investor”

เขาบอกว่าตอนแรกสัญญาไว้ 64 ล้านบาท แลกกับ 16% ตีมูลค่าได้ 400 ล้านบาท จากนั้นนำไปซื้อกิจการบริษัทไอที เพื่อให้มาทำงานให้บิทคับ รวมคนที่รู้จักในวงการมาทำงานร่วมกัน เร่งทำงานก่อนที่ใบอนุญาตจะออก เพราะรู้ว่าถ้าใบอนุญาตออกแล้วเจอคลื่นแน่

“วันที่เปิดบริษัทวันแรกเหลือเงิน 34 ล้านบาท ทุกคนไปจัดงานเลี้ยงเปิดบริษัทกัน เราเป็นคนเดียวที่ไม่อยู่ ออกไปนอกกรุงเทพ ไปบิตฟันดิ้งเพิ่ม สุดท้ายสยามราชก็ลงให้ ถ้าไม่มีเงินวันนั้น Bitkub ก็อยู่ไม่รอด”

“ได้มา 30 ล้านบาท รวมเป็น 64 ล้านบาท รีเทิร์น 10,000% น่าจะเป็นการลงทุนที่คุ้มที่สุดในประวัติศาสตร์สตาร์ตอัพไทย”

ท๊อปบอกว่ากว่าจะถึงวันนี้ได้ ไม่ง่ายเลย ช่วงรอยต่อระหว่าง Coin.co.th > Private Chain จนมาถึงบิทคับ เดินสายให้ความรู้ ไม่เคยได้หยุด ตลอด 8 ปี อยากพัก แต่หลาย ๆ เหตุการณ์ที่เข้ามาทำให้เขาพักไม่ได้

ปัจจุบัน Bitkub เป็น exchange platform สำหรับการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลให้บริการแก่บุคคลทั่วไปให้สามารถซื้อขายและเก็บสินทรัพย์ดิจิทัล ได้ตามต้องการ โดยบริษัทได้รับจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายด้วยทุนจดทะเบียน 290 ล้านบาท

The Story Thailand อดถามไม่ได้ว่า วันนี้ภาพที่ทุกคนเห็นท๊อปจากสื่อทุกช่องทาง ทุกสำนักคือ Bitkub เป็นบริษัทคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จล้นหลาม ใคร ๆ ต่างอยากร่วมงานด้วย ใคร ๆ ต่างชื่นชมในตัว “ท็อป จิรายุส” เบื้องหลังที่แท้จริง ท๊อปเคยล้มเหลวบ้างไหม

เยอะมาก แต่ส่วนใหญ่ไม่อยู่ในสื่อ ช่วงรดน้ำต้นไม้ หว่านเมล็ด ตากแดด ไม่มีในสื่อ เห็นแต่ตอนเราอยู่ใต้ร่มเงาแล้ว เราล้มทุกวัน กรีดเลือดกรีดเนื้อตัวเองทุกวัน ไม่มีให้เห็นในสื่อ

ท๊อปเล่าว่า เขาเคยถามพนักงานว่าถ้าไม่จ่ายเงินเดือน 10 เดือน จะมีใครทำงานที่ Bitkub ไหม พนักงานเงียบทั้งบริษัท แต่เขาทำกับตัวเอง เปิด Coin.co.th 10 เดือน ไม่จ่ายเงินเดือนตัวเอง 10 เดือน เคยทำกับคุณต้น สกลกรย์ สระกวี ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ เพื่อต้องการส่งสัญญาณให้พนักงานคนอื่นเห็น ซึ่งส่วนตัวเขามองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก 

เคยมีจุดหนึ่งบิทคับเหลือเงินหมุนเวียน 2 เดือนสุดท้าย ต้องไล่พนักงาน 80 คนออกจากบริษัท ก่อนที่เงินจะหมด ถ้าเราไม่ประหยัดทุกเม็ด คงไม่มี Bitkub ในวันนี้ เพราะแค่จ่ายเงินเดือนตัวเองกับคุณต้น เงินก็หมดบริษัท บริษัทก็ต้องปิด”

ณ วันนี้ ความเจ็บปวดนั้นหายไปหรือยัง? 

ท๊อปทิ้งท้ายเอาไว้ว่า “ตอนนี้ชินแล้ว แรก ๆ อกจะระเบิด คนด่าเราทั้งประเทศ มีคนมาทุบประตูบริษัทตอนเที่ยงคืน จะเอาเงินคืน เราก็หาทางแก้ปัญหาไป ผมมองว่าการที่เราเชื่อมั่นกับอะไรบางอย่าง และเราทำทุกวัน จะสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้ เปลี่ยนแปลงประเทศไทย แค่เรามีความอดทน และเชื่อในสิ่งที่เราทำ”

อศินา พรวศิน – สัมภาษณ์
สุมณี อินรักษา – เรียบเรียง

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ