เมื่อเร็ว ๆ นี้ “ลุงตู่” พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีก็ทำฮือฮาเปิดเผยผ่านรายการ “นายกรัฐมนตรีเล่าเรื่อง” ในเพจไทยคู่ฟ้าว่า รัฐบาลตั้งเป้าหมายที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปีนี้ให้จีดีพีขยายตัวเฉลี่ยถึงร้อยละ 4
ตอนแรกคิดว่า “ลุงตู่” คิดอยู่คนเดียวกระทั่ง “สุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์” รองนายกรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ออกมาไขความลับว่าที่ รัฐบาลเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ถึงร้อยละ 4 เพราะขณะนี้ตัวเลขการออมเงินของคนไทยสูงขึ้นกว่าร้อยละ 11 คิดเป็นวงเงินถึง 1.5-1.6 แสนล้านบาท ถ้านำเงินก้อนนี้ออกมาใช้จ่ายได้ ก็จะกระตุ้นเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะโตร้อยละ 3 กว่านั้น ให้เป็นร้อยละ 4 ได้อย่างแน่นอน
พูดง่าย ๆ ว่ารัฐบาลกำลังจะหาวิธีล่อให้ชาวบ้านนำเงินออมก้อนมหึมาที่อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบสำหรับอนาคตออกมากระตุ้นเศรษฐกิจด้วยมาตรการจูงใจต่าง ๆ ให้ชาวบ้านเอาออกมาจับจ่ายใช้สอยและลงทุนให้ได้ตามเป้านั่นเอง
ไม่รู้ว่าในยามเศรษฐกิจที่ยังมองไม่เห็นอนาคต จะมีใครกล้านำเงินออมออกมาใช้จ่าย สนองเจตนารมณ์ลุงตู่หรือไม่ เพราะทุกวันนี้ทุกคนพยายามกอดเงินสดไว้แน่น ยิ่งจะให้นำไปลงทุนยิ่งไม่ต้องพูดถึง หลายปีที่ผ่านมามีแต่การลงทุนภาครัฐเท่านั้น ขณะที่เอกชนยังไม่มั่นใจจึงไม่ยอมลงทุนทำให้ไม่มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ
ดังนั้น การจะผลักดันให้จีดีพี ขยายตัวไปถึงเป้าหมายร้อยละ 4 จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ จะเห็นได้จาก “ไอเอ็มเอฟ” คาดการณ์จีดีพีไทยปีนี้ ขยายตัวเพียงร้อยละ 2.7 ส่วนธนาคารโลกก็คาดว่า จะกลับมาบวกร้อยละ 3 หรือไม่เกินร้อยละ 3.4 รั้งอันดับบ๊วยของอาเซียน วิ่งตามก้น เวียดนาม ที่คาดจีดีพี จะบวกแรงถึงร้อยละ 6.6 ส่วนมาเลเซีย บวกร้อยละ 6 ฟิลิปปินส์ บวกร้อยละ 5.5 อินโดนีเซีย บวกร้อยละ 4.4 ทั้งที่ประเทศเหล่านี้การระบาดโควิด-19 หนักกว่าเรามาก ขณะที่ “กัมพูชา” และ “ลาว” จีดีพี บวกร้อยละ 4 เท่ากับไทย
เบื้องหลังการถ่ายทำ ที่ทั้งไอเอ็มเอฟและธนาคารโลกคาดจีดีพีไทยต่ำ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการท่องเที่ยวต่างประเทศ สูงถึงร้อยละ 13-15 ของจีดีพี “พระเอกขี่ม้าขาว” ที่จะช่วยปลุกให้การท่องเที่ยวฟื้นมาได้มีเพียง “วัคซีน” ซึ่งจะต้องเร่งระดมฉีดให้กับคนในพื้นที่ท่องเที่ยวให้มากที่สุด เพื่อให้นักท่องเที่ยวมีความมั่นใจ
แต่ทุกวันนี้ การบริหารจัดการวัคซีนของรัฐบาลยังช้าและสะเปะสะปะ ประชาชนที่ได้รับวัคซีนยังน้อยมาก แม้รัฐบาลประกาศว่าจะมีแผนเปิดวันที่ 1 กรฏาคมนี้ก็ตาม ทั้งที่ภาคเอกชนและองค์กรท้องถิ่นเสนอตัวเข้ามาช่วยแบกรับภาระแต่ไม่มีการตอบสนองจากฟากรัฐ
ตราบใดการจัดการวัคซีนยังมะงุมมะงาหราและไร้ทิศทาง ที่เคยคาดว่าครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยจะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ และจะเปิดประเทศสิ้นปี โดยคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 3 ล้านคนเข้ามาเที่ยวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยและรายได้คนไทยที่ฟื้นตัว ก็คงจะเป็นไปได้ยาก ยิ่งเศรษฐกิจโลกยังไม่มีความชัดเจนว่าจะฟื้น โดยเฉพาะการท่องเที่ยวของโลกไม่แน่ใจว่าจะกลับคืนมาง่าย ๆ
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยลบต่าง ๆ อีกมากมายที่จะฉุดรั้งไม่ให้จีดีพีขยายตัวร้อยละ 4 ที่ไม่ควรมองข้าม อย่างปัญหาภัยแล้งเป็นสิ่งที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด คาดว่าปีนี้จะแล้งหนักกว่าทุกปี ทำให้น้ำใช้ในการเกษตรอาจจะขาดแคลนอย่างหนัก จะกระทบถึงผลผลิตการเกษตรตกต่ำ หากภาคเกษตรมีปัญหาก็จะส่งผลถึงกำลังซื้อในระดับรากหญ้าตามมา ซึ่งปีไหนภาคเกษตรย่ำแย่มักจะฉุดให้จีดีพีต่ำลงไปด้วย
เหนือสิ่งใด อุปสรรคใหญ่ที่เรื้อรังมานานยังแก้ไม่ตกอย่างการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้เนื่องจากปัญหา “ท่อตัน” ทำให้โครงการลงทุนภาครัฐหลายโครงการต้องชะลอออกไปไม่มีกำหนด เม็ดเงินที่จะเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามเป้า
ที่สำคัญ ปัญหาใหญ่ที่สุด คือ เศรษฐกิจโดยรวมยังไม่ฟื้น ประชาชนไม่มีรายได้ แม้รัฐบาลจะอัดฉีดเม็ดเงินผ่านมาตรการต่าง ๆ มากมาย แต่ก็แค่เยียวยาความเดือดร้อนและกระตุ้นเศรษฐกิจเฉพาะหน้าเท่านั้น ไม่สามารถไปกระตุ้นให้เศรษฐกิจฟื้นได้อย่างถาวร เห็นได้จากตัวเลขคนว่างงานใหม่เพิ่มขึ้นทุก ๆ เดือน
ดัชนีชี้วัดอีกตัวสะท้อนจากในรอบ 5 เดือน กระทรวงคลังเก็บรายได้จากภาษีต่ำกว่าเป้าราว 1 แสนล้านบาท
กรมสรรพากรหน่วยงานเดียวต่ำกว่าเป้าราว ๆ 7 หมื่นล้านบาท หรือดูจากตัวเลขหนี้ครัวเรือล่าสุดพุ่งกระฉูดกว่า 89.3% ของจีดีพี สูงสุดในรอบ 18 ปี ดัชนีความเชื่อมั่นต่าง ๆ ก็ต่ำกว่ามาตรฐานสะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นจริง ๆ
ในขณะที่ปัญหาด้านการเมืองก็เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนและภาคธุรกิจก็รุมเร้าทั้งในสภาฯและการเมืองในท้องถนน จากปัจจัยต่าง ๆ หักกลบลบกันแล้ว เห็นแต่ปัจจัยลบรุมเร้า เว้นแต่ว่ารัฐจะบริหารจัดการวัคซีนให้เข้าที่เข้าทางเท่านั้น
จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่บิ๊กตู่กับครม. จะผลักดันหรือขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวร้อยละ 4 อย่างที่ฝันหวานเอาไว้
