TH | EN
TH | EN
หน้าแรก Interview ‘ปัญญา พรขจรกิจกุล’ ในวันเปลี่ยนผ่านสู่ ‘Bluebik Vulcan’ ... Digital Intelligence ที่ส่งต่อด้วย T2P

‘ปัญญา พรขจรกิจกุล’ ในวันเปลี่ยนผ่านสู่ ‘Bluebik Vulcan’ … Digital Intelligence ที่ส่งต่อด้วย T2P

กว่า 20 ปีในแวดวงไอทีของ ‘ปอง – ปัญญา พรขจรกิจกุล’ กับความชำนาญการด้านการพัฒนาแอปพลิเคชันที่เริ่มต้นจากหน่วยธุรกิจหนึ่งในเอ็มเฟค กรุ๊ป สู่ MD บริษัท Bluebik Vulcan ในปัจจุบัน เพื่อส่งต่ออาวุธทางเทคโนโลยีและความชาญฉลาดด้านดิจิทัล (Digital Intelligence) ให้องค์กรสามารถเผชิญความท้าทายและปรับตัวในทุกการเปลี่ยนผ่านด้วยกุญแจความสำเร็จ “T2P” คือ เทคโนโลยี (Technology) กระบวนการธุรกิจ (Process) และคน (People)

“Bluebik Vulcan ” เทพแห่งการช่างยุคดิจิทัล 

เทพโรมัน “วัลแคน” (Vulcan) หรือรู้จักในชื่อภาษากรีกว่า เฮฟเฟสตุส คือ เทพแห่งไฟ โลหะ และการช่าง ผู้ประกอบอัสนีบาตเป็นอาวุธให้เทพเจ้าซูส โดยมีสิ่งคู่กาย คือ ฆ้อน แทนความหมายเทพเจ้าแห่งการประดิษฐ์อาวุธและประติมากร ซึ่งสื่อถึงภาพลักษณ์ทางธุรกิจของ Bluebik Vulcan  นั่นคือ “การติดอาวุธทางเทคโนโลยีให้กับลูกค้าเพื่อสู้ศึกในโลกดิจิทัลปัจจุบัน”

“เป็นชื่อที่ตั้งล้อกับอีกหนึ่งหน่วยงานไอทีภายใต้ Bluebik (บลูบิค) คือ Bluebik Titans (บลูบิค ไททันส์) ซึ่งจะมาจับมือกันในการนำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันส่งมอบให้ลูกค้า”

คติพจน์ของ Bluebik Vulcan  คือ “Make Reality Alive” ต่อยอดจาก “Ambition to Reality” ของบลูบิค โดยดึงคำว่าเรียลลิตี้มานิยามการพัฒนาเทคโนโลยีที่มีชีวิต เกิดขึ้นจริง และเติบโตไปกับลูกค้าในทุกยุคทุกสถานการณ์ ดังเช่น การพัฒนาแอปพลิเคชันธุรกรรมการเงินบนมือถือที่เริ่มต้นตั้งแต่ยุคเอทีเอ็มซิม (ATM SIM) บริการโอนเงินต่างประเทศ WARP และอื่น ๆ จนมาเป็น Mobile Banking ธนาคารบนมือถือในปัจจุบัน 

ปัญญา ย้อนความเป็นมากว่าจะมาเป็น Bluebik Vulcan ให้ฟังว่า เดิมเป็นหน่วยธุรกิจดิจิทัล เดลิเวอรี่ (Digital Delivery) ภายใต้บริษัท เอ็มเฟค กรุ๊ป ทำงานด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบครบวงจร โดยมีลูกค้าเป้าหมายเป็นกลุ่มธนาคารราว 80% และกลุ่มพลังงาน 20% ส่วนการเข้าซื้อหน่วยธุรกิจนี้เพื่อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบลูบิค กรุ๊ป นับเป็นโอกาสที่จะได้เสริมแกร่งในมิติการเป็นบริษัทที่ปรึกษา และต่อยอดโซลูชันเพื่อขับเคลื่อนดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน โดยบลูบิคจะเป็นทัพหน้าในการเจรจารับทราบความต้องการของลูกค้า และมี Bluebik Vulcan เป็นทัพหลังในการสนับสนุนด้านเทคโนโลยีให้เกิดขึ้นจริง ซึ่งจะทำให้ “เรามีศักยภาพมากพอที่จะเติบโตเป็นบริษัทที่ปรึกษาที่สามารถแข่งขันได้กับต่างชาติ หรือเติบโตสู่ระดับโกลบอลได้ในอนาคต”

มัดใจลูกค้าแบบ End-to-End 

พันธกิจหลักของ Bluebik Vulcan ช่วง 1-2 ปีแรก จะเน้นการให้บริการฐานลูกค้าเดิมในกลุ่มการเงินการธนาคารและกลุ่มพลังงาน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบใด ๆ ในระยะเปลี่ยนผ่าน คู่ขนานไปกับการผสานแผนกลยุทธ์ร่วมกัน ก่อนขยายฐานไปยังกลุ่มธุรกิจบริการด้านสุขภาพ เช่น โรงพยาบาลเอกชน หรือบริการสุขภาพสำหรับภาคประชาชนอื่น ๆ ร่วมกับทีมงานที่เคยดูแลงานกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมาก่อน ซึ่งทำให้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า สัดส่วนของลูกค้าเป้าหมายในอนาคตจะอยู่ในกลุ่มการเงินและการธนาคาร 70% พลังงาน 20% และบริการสุขภาพ 10% 

“ชาวต่างชาติที่กลับเข้ามาและธุรกิจที่ฟื้นตัวจะทำให้เกิดการพัฒนาแอปฯ เพื่อรองรับธุรกรรมและรูปแบบการชำระเงินใหม่ ๆ ในภาคการเงินการธนาคารทั้งในและระหว่างประเทศมากขึ้น ส่วนการจับตลาดพลังงานที่เพิ่งเริ่มเมื่อราว 1-2 ปี ที่ผ่านมา ทำให้เห็นโอกาสทางธุรกิจที่ไม่ใช่เฉพาะน้ำมันอีกต่อไป แต่คือ Business Ecosystem ที่ดึงซัพพลายเชนเข้ามาเพื่อให้การบริหารพื้นที่ในปั๊มน้ำมันเกิดประโยชน์เชิงการให้บริการลูกค้า ซึ่ง Super App น่าจะตอบโจทย์มากที่สุด และการเจาะตลาดสุขภาพซึ่งต้องการความรวดเร็วในการบริการ เช่น การนัดหมาย การเชื่อมข้อมูลคนไข้เข้าหากัน ตลอดจนระบบการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล กฎหมาย PDPA ต่าง ๆ” 

การพัฒนาซอฟต์แวร์จะเป็นลักษณะแบบ End-to-End ตั้งแต่การพัฒนาระบบงานหน้าบ้านและหลังบ้าน การมองภาพรวมการเดินทางของลูกค้าต่อการใช้งานและมีปฏิสัมพันธ์กับสินค้าหรือบริการ (Customer Journey) ผ่านการพัฒนาแอปฯ เพื่อให้ลูกค้าได้รับทั้งประสบการณ์การใช้งานที่ดี (User Experience-UX) การออกแบบให้ใช้งานง่าย (User Interface-UI) ไปจนถึงการนำแอปพลิเคชันขึ้นสู่ระบบเพื่อส่งต่อการใช้งานจริง และการดูแลซ่อมบำรุงระบบ 

“ความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัลทำให้เราช้าไม่ได้ เราเคยเจอลูกค้าบางรายต้องการให้พัฒนาแอปพลิเคชันด้วยงบประมาณเท่านี้ให้เสร็จ พร้อมทดสอบและส่งมอบการใช้งาน (Minimal Viable Product-MVP) แบบเร็วสุดคือ 4 เดือน ซึ่งเป็นการวัดขีดความสามารถขององค์กรในเชิงการจัดการรายได้ และองค์ความรู้ทางเทคโนโลยีที่แม่นยำของทีมงาน” 

การเติบโตไปเป็น Tech Company ที่ครบเครื่องจึงต้องคำนึงถึง 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ “เทคโนโลยี” ที่ต้องตามให้ทัน “บุคลากร” ที่ต้องพัฒนาอยู่ตลอดเวลา และ “กระบวนการทำงาน” ที่ต้องไขน็อตให้เหมาะกับปัญหาหรือสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง

เก็บตกทุกความต่างทางเทคโนโลยี

จุดพลิกผันของการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่พอแบ่งได้เป็น 2 ช่วง คือ ยุคของซอฟต์แวร์ที่เขียนมาสำหรับทำงานผ่านเว็บไซต์หรืออินเทอร์เน็ต หรือ “Web-based ” ที่ไม่ว่าลูกค้าต้องการแบบไหน นี่คือสิ่งที่องค์กรมีให้ แต่ในยุค Digital Transformation การพัฒนาซอฟต์แวร์เป็นแบบ “Application-based” ที่ทำงานผ่าน Mobile Devices ซึ่งมีมากเป็นหมื่น ๆ แอปพลิเคชันบนแอปสโตร์ อีกทั้งแนวคิดของการพัฒนาแอปฯ ที่เปลี่ยนจาก “ทำไปอย่างไรก็มีคนใช้” กลายเป็น “ทำแล้วจะมีคนใช้หรือเปล่า” เพราะผู้ใช้บางรายอาจจะโหลดแอปฯ ลงมาใช้งานแค่ 3 นาทีก็ลบทิ้ง เพราะหากคลิกแค่ 3 ครั้งแล้วไม่ชอบ หรือใช้ยาก ผู้ใช้งานมักจะลบแอปฯ นั้นทิ้ง 

เมื่อเป้าหมายการพัฒนา คือ ทำอย่างไรให้ลูกค้าติดใจ และอยู่กับแอปพลิเคชันไปยาว ๆ จึงไม่ใช่การยืนอยู่กับที่แล้วรอลูกค้าเข้ามา แต่ต้องเริ่มต้นเข้าหาความต้องการของลูกค้าก่อน และไม่คิดว่าแอปพลิเคชันนี้ใช้กับลูกค้าได้ทุกกลุ่ม แต่ต้องลงลึกถึงบุคลิกลักษณะของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายแต่ละกลุ่ม ทำการวิเคราะห์ความต้องการอย่างจริงจัง เพื่อให้การพัฒนาฟีเจอร์การทำงาน หน้าตาของแอปพลิเคชัน ประสบการณ์ที่ดีที่ต้องการส่งมอบนั้น เป็น “ใครกันแน่ที่ต้องการ ใครกันแน่ที่ยอมจ่าย” และด้วยความที่เทคโนโลยีไม่เหมือนเดิม เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ภาษาโปรแกรม เช่น JAVA  ที่มีการใช้งานกันยาว ๆ เป็นสิบปี ซึ่งต่างจากภาษาเกิดใหม่หรือเทคโนโลยีบางตัวที่มาไวไปไว จึงเป็นสิ่งที่ต้องชั่งใจให้ดีว่า ภาษานี้ควรเรียนรู้หรือไม่ ควรทุ่มบุคลากรไปกับเทคโนโลยีนี้หรือเปล่า เพราะบางตัวมีอายุงานแค่ 5 ปี ลูกค้าก็เลิกใช้แล้ว 

“ผมเคยพัฒนาแอปพลิเคชันให้กับธุรกิจบันเทิง โดยต้องทำให้ลูกค้าอยากใช้เวลาไปกับการใช้งานแอปพลิเคชันของเราให้มากที่สุด แต่ทำอย่างไรถึงจะแย่งเวลาจากเฟซบุ๊ก เกม ยูทูป หรือแอปฯ บันเทิงอื่น ๆ ที่เขาชอบ เราจึงต้องเข้าถึงลูกค้าและเข้าใจว่า เขาเหมาะกับเทคโนโลยีแบบไหน ภาษาแบบนี้เหมาะกับการพัฒนางานแบบไหน เพราะทุกอย่างที่พูดมาคือ การลงทุนทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น เงิน เวลา และกำลังคนในการเรียนรู้และพัฒนา ซึ่งผมเองมีทีมงานในการจับตาความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีตลอดเวลา”

ครบเครื่องคนเก่งเทคฯเก่งการจัดการ

การขาดแคลนบุคลากรไอทีเป็นโจทย์ใหญ่ขององค์กรในทุกยุคทุกสมัย แม้กระทั่ง Bluebik Vulcan ซึ่งมีทีมงานร่วม 300 คน และอยู่ในสายงานเทคโนโลยี เช่น นักพัฒนา นักวิเคราะห์ซอฟต์แวร์ นักวิเคราะห์ธุรกิจ และผู้จัดการโครงการมากถึง 90% ก็ยังไม่พอ หนำซ้ำในตลาดงานยังมีการแย่งตัวกันหนักมาก ดังนั้น แนวทางการพัฒนาคน คือ การทำงานร่วมกับทางมหาวิทยาลัยในการนำองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและประสบการณ์จริงไปถ่ายทอด การรับนักศึกษามาฝึกงานราว 4-6 เดือน เพื่อจับมือสอนตั้งแต่เริ่มต้นจนสามารถพัฒนาแอปพลิเคชัน และรับเข้าทำงานหลังเรียนจบ เนื่องจากมีการเตรียมความพร้อมทั้งเรื่องทักษะและเข้าใจวัฒนธรรมการทำงานขององค์กร 

แต่สิ่งที่ท้าทายมากที่สุด คือ ทักษะการบริหารจัดการความต้องการของลูกค้า เพื่อให้การพัฒนาแอปพลิเคชันออกมาโดนใจ ซึ่งต้องอาศัยประสบการณ์และมุมมองจากรุ่นพี่ในการเติมเต็มและขัดเกลา เช่น เทคนิคในการเจรจากับลูกค้าอย่างไร ทักษะในการเก็บข้อมูลความต้องการลูกค้าให้ครบถ้วนตรงใจของทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายปฏิบัติการ หัวหน้างาน หรือผู้บริหาร ตลอดจนทักษะการบริหารจัดการโปรเจกต์ และปิดงาน 

“ตอนทำงานเป็นนักพัฒนาอาวุโสที่เอ็มเฟคใหม่ ๆ รุ่นพี่จะพาผมไปเจอลูกค้า ไปดูวิธีคุยงาน สักพักก็ส่งไปคุยกับลูกค้าและปิดงานเอง ทำให้ได้รับประสบการณ์ตรงเรื่องการเก็บความต้องการของลูกค้าที่ต้องรอบด้าน เราคุยกับฝ่ายปฏิบัติการดิบดี พอทำงานไปเสนอ หัวหน้างานกลับเห็นต่างกัน ต้องเสียเวลาแก้ไขใหม่ เราจึงไม่ควรสันนิษฐานเอาเองว่าทุกฝ่ายจะเข้าใจตรงกันหรือเห็นเหมือนกัน  เหล่านี้คือความรู้ที่อยากถ่ายทอดให้น้อง ๆ ยิ่งถ้าสามารถโคลนนิ่งความรู้ทั้งหมดในตัวเราส่งต่อให้รุ่นน้องได้ก็ยิ่งดี”

แม้ Bluebik Vulcan จะได้ชื่อว่า เป็นผู้ให้บริการด้านไอทีครบวงจร หรือ SI ซึ่งเป็นคำที่ “ฟังดูไม่เซ็กซี่ แต่ตลาดกลับมีความร้อนแรง” ยิ่งในยุคดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันที่เทคโนโลยีแทบจะฝังตัวเข้าไปเกือบทุกช่วงเวลาของชีวิต ความสนุกที่ได้รับจากการทำงานในวงการ SI  คือ การที่มีองค์ความรู้และการทำงานกับเทคโนโลยีที่เปิดกว้างหลากหลายไปในแทบทุกอุตสาหกรรม 

บรรยากาศการทำงานแบบครอบครัว สิทธิประโยชน์ที่คุ้มค่ากับความเหนื่อย การจัดกลุ่มพูดคุยทานอาหารหลังเลิกงานทุกวันอังคารสลับกันไป เพื่อสอบถามและรับฟังปัญหา ช่วยแชร์ความคิดและเสนอความช่วยเหลือแบบพี่แบบน้อง ล้วนอยู่บนหลักคิดที่ว่า “เราทำงานกับน้อง ๆ เหล่านี้ ไม่ใช่แค่เพราะอยากได้ Source Code จากเขา หรืออยากได้แค่ชิ้นงานของเขา แต่เราอยากเห็นพวกเขาพัฒนาและเติบโตในองค์กรไปเป็นรุ่นพี่ หัวหน้าทีมทำงาน ผู้จัดการ ผู้อำนวยการ” เพราะเด็กรุ่นใหม่บางคนอาจสนใจเฉพาะงานที่ตัวเองทำ โดยลืมมองถึงการเติบโตไปกับองค์กรในมิติอื่น ๆ เพื่อปูทางความมั่นคงในสายอาชีพนี้ต่อไปในอนาคต 

สำหรับสิ่งที่หายไปและต้องเติมให้เต็ม คือ ศักยภาพของน้อง ๆ ในการเข้าใจกระบวนการจัดกระบวนการทางธุรกิจ เรื่องของบิสซิเนสโดเมน (Business Domain) ต่าง ๆ เพื่อให้การพัฒนาแอปพลิเคชันมีเอกลักษณ์และตรงโจทย์ธุรกิจให้มากที่สุด

“ผมว่าเด็กรุ่นนี้อาจโชคร้ายหน่อยที่เกิดมาในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วมาก แต่ความโชคดีคือ การเข้าถึงเทคโนโลยีได้ง่ายและมีศักยภาพในการตามทัน การแลกเปลี่ยนมุมมองและวิสัยทัศน์กับน้อง ๆ ทำให้เรามีส่วนช่วยเติมเต็มซึ่งกันและกัน เวลาที่ผมเกษียณหรือเกิดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ จะได้มีคนรุ่นต่อไปมารับช่วงต่อ ซึ่งไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของบริษัทเพียงอย่างเดียว แต่เพื่อการเติบโตของกำลังพลด้านไอทีให้พร้อมต่อการพัฒนาประเทศด้วย”

ไขน็อตกระบวนการทำงาน

ในโลกที่เทคโนโลยีเกิดขึ้นใหม่ได้ตลอดเวลา การตามทันเทคโนโลยีว่ายากแล้ว แต่ยังไม่ยากเท่าการจำแนกให้ได้ว่า เทคโนโลยีนี้ควรใช้กับใคร ใช้ทำอะไร และทำอย่างไร เมื่อทำแล้วสามารถสร้างประโยชน์อย่างไร ขณะเดียวกัน กำลังคนที่จ้างมาแล้วก็ต้องรับผิดชอบในการพัฒนาให้เติบโต และส่งเสริมศักยภาพของพวกเขาอย่างเต็มที่ เพราะยิ่งมีมาก ลูกค้าก็ยิ่งได้ประโยชน์ 

เขาใช้วิธีบริหารจัดการทีมในรูปแบบ “สควอด (Squad)” โดยมีหัวหน้าและทีมงานในการรับผิดชอบหน่วยธุรกิจ (ไม่นับรวมส่วนงานจัดการทั่วไป) ทั้งหมด 8 หน่วยธุรกิจ แบ่งเป็น 2 แกนหลัก คือ แกนเทคโนโลยี เช่น กลุ่มเว็บ กลุ่มโมไบล์ และแกนประเภทลูกค้า เช่น กลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคาร

โดยแต่ละหน่วยจะบริหารเสมือนเป็นสตาร์ตอัพภายใต้ Bluebik Vulcan มีความเป็นเจ้าของหน่วยธุรกิจที่ต้องบริหารเรื่องการพัฒนางาน ตัวเลขรายได้ กำไร และค่าใช้จ่ายของตัวเอง โดยมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างบริหารไปตามสถานการณ์ เช่น การสลับสับเปลี่ยนเอาแกนเทคโนโลยีนำบ้าง แกนลูกค้านำบ้าง เพื่อให้เกิดพลวัตการขับเคลื่อนทางธุรกิจมากขึ้น เพราะเทคโนโลยีหนึ่งตัวอาจจะขายลูกค้าได้หลายกลุ่ม อย่างแอปพลิเคชันบนโมไบล์ที่เคยขายกลุ่มลูกค้าการเงิน เมื่อตลาดกลุ่มนี้เริ่มนิ่งหรือมีความต้องการลดลง ก็อาจโยกไปทำตลาดกลุ่มลูกค้าพลังงาน เป็นต้น

รวมถึงการนำ “ข้อมูล” มาเสริมการขับเคลื่อนการบริหารองค์กรนอกเหนือจากการใช้ความรู้สึก ประสบการณ์ หรือความเก๋าเพียงอย่างเดียว ปัญญาบอกว่า ไม่วันใดก็วันหนึ่งองค์กรควรอยู่ด้วยการใช้ข้อมูลมาวิเคราะห์ปัญหา ความยากง่าย และความเป็นไปได้ของงานแต่ละโปรเจกต์ รวมถึงการประเมินศักยภาพของบุคลากรต่อการทำงานและความสำเร็จในโปรเจกต์ต่าง ๆ เพราะในวันที่บริษัทยังเล็ก มีงานและคนที่ต้องดูแลไม่มาก ยังพอมองเห็นภาพรวม แต่เมื่อเพิ่มเป็นคน 200 – 300 คน ภาพที่เคยมองเห็นก็อาจจะเบลอและยากขึ้น 

“องค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลต้องเกิดขึ้นที่ตัวเราก่อนจึงจะนำไปอิมพลิเมนต์ต่อให้ลูกค้า ผมมองว่าก้าวต่อไปของดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน ยังไงก็ต้องใช้ข้อมูลในการวิเคราะห์และทำนายผล การนำเสนอโซลูชันหรือแอปพลิเคชันจึงต้องพ่วงการจัดการข้อมูลที่ชาญฉลาดไว้ด้วย เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูง”

ตัวตนคนไม่เก่ง

“ผมไม่ได้โตมาแบบคนที่เก่งมาก แต่ผมโตได้เพราะการพัฒนาตัวเองและองค์กรให้โอกาส”

เด็กสวนกุหลาบอย่างปัญญาที่บอกว่าตัวเองเป็นเด็กเกรดซี เล่าให้ฟังว่า ตัวเองเรียนจบสถิติประยุกต์ คณะวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯ ลาดกระบัง ต่อด้วยปริญญาโทด้านวิทยาการสารสนเทศ (Information Science) การเรียนสถิติทำให้เข้าใจกระบวนการทำงาน เข้าใจเรื่องการอ่านตัวเลข จนทะลุมาทำเรื่องการเขียนโปรแกรม และเริ่มการทำงานครั้งแรกที่บริษัทสตาร์ตอัพแห่งหนึ่งที่มีทุนมาทำธุรกิจในไทย ในตำแหน่งโปรแกรมเมอร์เขียนภาษา JAVA ธรรมดา ๆ

พอปี 2546 จึงลาออกไปทำงานที่เอ็มเฟค กรุ๊ป ในตำแหน่งนักพัฒนาอาวุโส ขยับขยายไปสู่นักวิเคราะห์ซอฟต์แวร์ และเป็นหัวหน้าทีมพัฒนา จากนั้นก็ลาออกไปทำงานที่บริษัท ธอมสัน รอยเตอร์ ราวปี 2551 และกลับไปทำงานที่เอ็มเฟคอีกครั้งในตำแหน่ง Deputy Project Director เมื่อปี 2554 จนมาถึง Bluebik Vulcan ในปัจจุบัน

ตอนอยู่ธอมสัน รอยเตอร์ นับเป็นโอกาสของการเปิดหูเปิดตาในการเรียนรู้กระบวนการจัดการทำงานของบริษัทระดับโกลบอล รวมถึงการแยกแยะและวิเคราะห์ปัญหาได้ดีขึ้น เพราะตอนที่ยังเด็ก เขามักจะมองปัญหาแบบรวม ๆ แต่การทำงานที่ธอมสัน รอยเตอร์ สอนให้เขาต้องแยกปัญหาออกมาแล้วแก้ทีละจุด เพื่อไม่ให้ปัญหานั้นย้อนกลับมาอีก หรือแก้แล้วไม่ไปสร้างปัญหาเพิ่มขึ้น ไม่งั้นจะทับถมไปเรื่อย ๆ

เขากล่าววา ทักษะความสามารถของน้อง ๆ ที่ร่วมงานกันมา เมื่อเทียบกับธอมสันก็ไม่ได้ต่างกันมาก เพียงแต่ต้องปรับความคิดและการทำงานบางอย่าง เพื่อก้าวสู่การทำงานที่ทัดเทียมระดับอินเตอร์มากขึ้น

“พี่เล้ง – ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร CEO เอ็มเฟค เคยสอนผมเรื่องของ “การรักษาสมดุล” ให้รอบด้าน ทั้งการทำงาน การดำเนินชีวิต เทคโนโลยี ผู้ร่วมงาน ลูกค้า สิทธิประโยชน์ต่างๆ เราต้องพยายามขึงเชือกเพื่อให้แกนทุกแกนอยู่ได้ในตำแหน่งที่ดี ที่สมดุลกัน และที่สำคัญต้อง “รู้จักให้ รู้จักรับ (Give and Take) ”

ส่วนความเชี่ยวชาญแบบเป็ดที่เขาให้นิยามตัวเองไว้ว่า “อยากเป็นเป็ดที่เก่งที่สุด” ด้วยการพร้อมเปิดรับข้อมูลและการทำงานที่สดใหม่ไปกับโลกที่เปลี่ยนแปลงทุกวันแบบ 360 องศา ทำให้สามารถสื่อสารพูดคุยกับทุกคน ทุกที่ ในทุกเรื่องที่เกี่ยวข้อง

“ผมอยู่กับ Mobile Banking  มาสิบกว่าปี ถ้ารวมยุคที่ทำเอทีเอ็ม ซิมด้วย คืออยู่กับสิ่งนี้มายาวนานมาก เป็นการลงทุนเวลาชีวิตที่ผมภูมิใจกับตรงนั้น เพราะทำให้เราต่อยอดความรู้และธุรกิจจนเติบโตมาถึงปัจจุบัน รวมถึงน้อง ๆ ที่ร่วมสร้างทีมกันมาตั้งแต่มีคนไม่ถึงร้อยจนมาเป็น 300 กว่าคนในวันนี้ ผมสามารถทำให้เขามีเส้นทางอาชีพที่เติบโตมากขึ้นในสายการพัฒนาและไปต่อได้ในสายงานการเป็นที่ปรึกษา ในมุมของลูกค้า ผมอยากทำให้ Bluebik Vulcan เป็นที่เชื่อมั่นไว้วางใจ รวมถึงการสร้างงานที่มีคุณภาพเพื่อนำพาพวกเขาไปสู่เป้าหมาย”

เทคโนโลยีกับสมดุลชีวิตและการเรียนรู้

ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันเป็นสิ่งที่พูดถึงกันมาแล้วอย่างน้อย 5 ปี และสิ่งนี้ถูกใช้ไปในการสร้างรูปแบบบริการต่าง ๆ แต่หลังจากนี้คือการต่อยอดเทคโนโลยีดิจิทัลให้มีความชาญฉลาดมากขึ้น (Digital Intelligence) ด้วย “ข้อมูล” ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลการใช้งานแอปฯ ต่าง ๆ ของผู้ใช้งาน การเก็บประสบการณ์ของผู้ใช้ที่ผ่านมา เพื่อให้องค์กรรู้ใจลูกค้ามากขึ้นและสามารถผลิตสินค้าและบริการในแบบที่ “เรารู้นะว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่”  ส่วนการจะทำให้ข้อมูลมีประสิทธิผลได้ระดับนี้ จำต้องใช้ AI เข้ามาต่อยอด ซึ่งต้องเป็นการจับคู่ข้อมูลและแอปพลิเคชันที่ใช้งานอย่างเหมาะสม และต้องไม่ละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล

“แต่คำถาม คือ เราจะเชื่อ AI อย่างเดียวแน่เหรอ แล้วสุดท้าย AI  ทำให้เรากลายเป็นมนุษย์ที่คิดน้อยลงหรือเปล่า”

เขาเชื่อว่า ยุคของ AI Revolution คงเกิดขึ้น แต่ใช่ว่าทุกคนจะใช้ AI ในการตอบโจทย์โลกใบนี้ทั้งหมด ในกลุ่มนักคิดนักพัฒนาเราอาจพ้นจากการครอบงำของ AI ไปได้ แต่ในมุมของลูกค้าหรือผู้บริโภคอาจถูก AI ครอบงำ เปรียบเทียบง่าย ๆ กับการขับรถโดยใช้แผนที่ Google Map อาจทำให้เรามองข้ามตัวเลือกอื่นที่อยู่ข้างทาง หรือเลือกที่จะไม่เปลี่ยนเส้นทาง ซึ่งต้องกลับไปนึกถึงคำว่า “สมดุล” ที่พูดถึงข้างต้น เช่น เราใช้ AI เป็นไกด์ไลน์ได้นะ แต่ก็ต้องเชื่อตัวเองบ้างในบางครั้ง และลองมองหาเส้นทางอื่นในการดำเนินชีวิตบ้าง เพื่อให้โลกความจริงไม่ไร้สีสันจนเกินไป

ส่วน Bluebik Vulcan เองก็จะทำหน้าที่เป็นฟันเฟืองหนึ่งในการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อสนับสนุนโครงสร้างและการปฏิบัติงานในทุกมิติ เพื่อติดอาวุธประเทศและองค์กรธุรกิจไทยให้มีศักยภาพในการสู้ศึกดิจิทัลไร้พรมแดนทั้งปัจจุบันและอนาคต

บทสัมภาษณ์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ

เมื่อยุคของ Web 3.0 มาถึง โลกเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าที่คุณคิด

‘ปิยธิดา ตันตระกูล’ ขายไอที ซีเคียวริตี้ ต้องใช้ศาสตร์และศิลป์ให้ลูกค้าเชื่อใจ

เรดดี้แพลนเน็ต ตำนาน ‘เว็บสำเร็จรูป’ 22 ปี แห่งความท้าทาย สู่เส้นทางโตยั่งยืน

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
0ผู้ติดตามติดตาม

Lastest News

โตชิบ้า ยืนยัน ข่าวขายกิจการในต่างประเทศ ไม่กระทบกับการดำเนินธุรกิจในไทย

บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ ส่งจดหมายชี้แจง กรณีที่มีข่าวจากสำนักข่าวต่าง ๆ ทั้งในประเทศญี่ปุ่นและทั่วโลก เกี่ยวกับ “บริษัท โตชิบา คอร์ปอเรชัน จำกัด ปิดดีล ขายกิจการมูลค่า 2 ล้านล้านเยน

SCB 10X เปิดเวที Hackathon เฟ้นหาทีมนักพัฒนา ขับเคลื่อนนวัตกรรมด้วยบล็อกเชน

เอสซีบี เท็นเอกซ์ (SCB 10X) เปิดเวที “BANGKOK BLOCKATHON 2023” ภายใต้แนวคิด “Blockchain for the Next Billion Users”

GRAMMY x RS ตั้งบริษัทร่วมทุน เตรียมจัด 3 คอนเสิร์ตใหญ่ ก.ค.- ต.ค. นี้ เมืองทองธานี

GMM MUSIC และ RS MUSIC ประกาศจัดตั้ง กิจการร่วมค้าอะครอสเดอะยูนิเวิร์ส (Across The Universe Joint Venture) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมจัดซีรีส์คอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์

Blendata เปิดบริการ Analytics as a Service ในรูปแบบ Pay Per Use

เบลนเดต้า (Blendata) เปิดตัวบริการใหม่ Analytics as a Service บริการวิเคราะห์ข้อมูลครบวงจร รองรับทุกความต้องการด้าน Data Analytics ในรูปแบบการคิดค่าบริการตามการใช้งานจริง

เซ็นทรัลพัฒนา ผนึก WeChat Pay จัดแคมเปญใหญ่ ต้อนรับนักท่องเที่ยวจีน

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผนึก WeChat Pay ผู้ให้บริการ E-Wallet รายใหญ่จากประเทศจีน มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สะดวก รวดเร็ว

ดีป้า จับมือพันธมิตร เปิดตัว Tech Thailand แพลตฟอร์มชุมชนคนสายเทค

สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า ร่วมกับ บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด และ บริษัท มิสเตอร์ฟ็อกซ์ จำกัด ร่วมเปิดตัว Tech Thailand

ธ.กรุงเทพ – AIS เปิดตัวบัตรเดบิต “Be1st Digital AIS POINTS” ยิ่งใช้ ยิ่งได้พ๊อยส์

ธนาคารกรุงเทพ ร่วมกับ AIS เปิดตัว Be1st Digital AIS POINTS บัตรเดบิตที่จะมาพลิกโฉมประสบการณ์ช้อปปิ้งออนไลน์ของลูกค้า ด้วยสิทธิพิเศษจากคะแนนสะสมของ AIS

กสิกรไทย x ธนาคารแมสเปี้ยน เปิดตัว QRIS – QR Code Payment

ธนาคารกสิกรไทยเปิดตัวบริการ QRIS ระบบชำระค่าสินค้าและบริการที่ร้านค้าของธนาคารแมสเปี้ยนเป็นบริการแรก หลังเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นรวมเป็น 67.5%

CP LAND แต่งตั้ง กีรติ ศตะสุข นั่งเก้าอี้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร

บริษัทซี.พี. แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ CP LAND ประกาศแต่งตั้ง กีรติ ศตะสุข ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์ (CSO) ขึ้นดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO)

บาร์บีคิวพลาซ่า เปิดตัว น้ำจิ้มสูตรไลท์ ลดโซเดียม ลดน้ำตาล เอาใจคนรักสุขภาพ

บาร์บีคิวพลาซ่า ปล่อยน้ำจิ้มสูตรใหม่! น้ำจิ้มบาร์บีคิวสูตรไลท์ หลังจากพัฒนาสูตรมากกว่า 2 ปี หวังตีตลาดผู้บริโภคสายสุขภาพ โดยปรับลดสัดส่วนปริมาณเกลือโซเดียมลงมากกว่า 53%

MUST READ

บาร์บีคิวพลาซ่า เปิดตัว น้ำจิ้มสูตรไลท์ ลดโซเดียม ลดน้ำตาล เอาใจคนรักสุขภาพ

บาร์บีคิวพลาซ่า ปล่อยน้ำจิ้มสูตรใหม่! น้ำจิ้มบาร์บีคิวสูตรไลท์ หลังจากพัฒนาสูตรมากกว่า 2 ปี หวังตีตลาดผู้บริโภคสายสุขภาพ โดยปรับลดสัดส่วนปริมาณเกลือโซเดียมลงมากกว่า 53%

อดีตผู้บริหาร “นกแอร์” พาที สารสิน เตรียมเปิดตัวสายการบินใหม่ ‘Really Cool Airlines’ ให้บริการปลายปี 66

พาที สารสิน ประกาศเปิดตัวสายการบินใหม่ 'Really Cool Airlines' มีจุดมุ่งหมายเพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมการบินและการบริการของประเทศไทย ภายใต้สโลแกน 'We Fly the Future'

ยูนิเวนเจอร์ จับมือ ทีซีซีเทค ยกระดับองค์กรสู่ data-driven organization

ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดโครงการจัดการวางระบบ SAP ภายใต้ชื่อ “BetterV Project” มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างจุดเปลี่ยนและเสริมศักยภาพให้กับยูนิเวนเจอร์ที่มีหลากหลายธุรกิจ

ทรูเปิดฉาก “โครงการสามเณร ปลูกปัญญาธรรม ปี 9” สานต่อเรียลลิตี้ธรรมะ

เครือเจริญโภคภัณฑ์ และทรู คอร์ปอเรชั่น เปิดฉาก “โครงการสามเณร ปลูกปัญญาธรรม ปี 9” เผยโฉม 12 เยาวชนชาย ร่วมค้นหามรดกธรรม ในเมืองมรดกโลก

ตรวจแถวการเมือง … วัดกึ๋นทีมเศรษฐกิจ

คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้องจะเป็นปัจจัยชี้ขาดในการเลือกตั้งครั้งนี้ ก่อนหน้านี้ทุกพรรคการเมืองพยายามแข่งกันนำเสนอนโยบายประชานิยม ลด แลก แจกแถม
Newsletter

สนใจรับข่าวสารจาก The Story Thailand อัพเดตก่อนใคร สมัคร Newsletter กับเราเพียงกรอกอีเมลเท่านั้น