TH | EN
TH | EN
หน้าแรกInterviewHealth at Home สตาร์ตอัพโตช้า แต่โตชัวร์

Health at Home สตาร์ตอัพโตช้า แต่โตชัวร์

ปัจจุบันจำนวนผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปในประเทศไทยมีจำนวนมากกว่า 12 ล้านคน ซึ่งคิดเป็น 18.3% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งผู้สูงวัยช่วงอายุ 60-69 ปี มีจำนวนกว่า 6 ล้านคน ส่วนช่วงอายุ 70-79 ปี มีจำนวนกว่า 3.5 ล้านคน และผู้สูงวัยในช่วงอายุ 80 ปีขึ้นไป มีจำนวนมากว่า 1.7 ล้านคน จากสถิติดังกล่าวทำให้ปีนี้ไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุแบบเต็มตัวแล้ว ซึ่งภาครัฐพยายามปรับเปลี่ยนนโยบายต่าง ๆ ให้สอดรับเพื่อรับมือเรื่องนี้มาตลอด 3-5 ปีที่ผ่านมา แต่ในวงการสตาร์ตอัพเป็นที่รู้กันว่า Health at Home คือ ผู้มาก่อนกาลในเรื่องการดูแลผู้ป่วยสูงวัยนอกโรงพยาบาล

หากย้อนกลับไปเมื่อ 7 ปีก่อน บริการด้านเฮลท์แคร์ยังไม่มีการพูดถึงผู้ดูแลที่เฉพาะด้านผู้สูงอายุมากนัก นพ.คณพล ภูมิรัตนประพิณ หรือ “หมอตั้ม” ได้เปลี่ยนจุดเจ็บของผู้ป่วยสูงวัยที่ต้องรักษาตัวนอกโรงพยาบาล เป็นจุดเชื่อมต่อของการสร้างอาชีพให้กลุ่มผู้ดูแลมืออาชีพ จนต่อยอดสร้างมูลค่าให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน

Health at Home สตาร์ตอัพผู้มาก่อนกาล

นพ.คณพล ภูมิรัตนประพิณ หรือ หมอตั้ม ประธานบริหารและผู้ก่อตั้งบริษัทเฮลท์ แอท โฮม (Health at Home) เล่าว่า เขาเป็นเด็กมัธยมปลายธรรมดาที่เรียนไม่เก่งมากนัก แต่อยากเป็นแพทย์ จึงตั้งใจเรียนจนสอบได้และจบแพทย์จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หลังจากนั้นกลับมาใช้ทุนในโรงพยาบาลประจำอำเภอที่ขนาดไม่ใหญ่มากของจังหวัดพัทลุง ตอนนั้นมีโอกาสได้เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลทำให้ได้ทำงานด้านบริหารมากขึ้นและรู้สึกชอบมากเพราะได้คิดโปรเจ็กต์ต่าง ๆ ได้สัมผัสชีวิตของคนในชุมชน

ทั้งนี้ ยังทำให้เรียนรู้ว่าบริบทของโรงพยาบาลยังไม่ได้ตอบโจทย์อีกหลายคน เช่น บางคนอยากรักษาตัวที่บ้าน ไม่อยากมานอนโรงพยาบาล ซึ่งผู้สูงอายุบางคนอยู่บ้านอาการดีขึ้น หายเร็วกว่ามานอนที่โรงพยาบาล หลังจากทำงานใช้ทุน 3 ปี จึงกลับมาเรียนต่อแพทย์เฉพาะทางอายุรศาสตร์ที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ และต่อมาได้รับทุนจากโรงพยาบาลกรุงเทพเรียนต่อด้านเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ (Geriatric and Palliative medicine) ที่ Month Sinai hospital รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

สำหรับประสบการณ์ตอนเรียนแพทย์ที่นิวยอร์กทำให้ได้เห็นเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ใช้ในงานบริการด้านการแพทย์นอกโรงพยาบาล เมื่อเรียนจบและกลับมาประเทศไทยได้เข้าทำงานที่โรงพยาบาลกรุงเทพระยะหนึ่งพบว่า ผู้ป่วยสูงอายุยังมีความต้องการบางอย่างระหว่างการรักษา เช่น ผู้ป่วยบางคนต้องพักอาศัยคนเดียวไม่พร้อมออกจากโรงพยาบาล พื้นที่ของบ้านยังไม่พร้อมรองรับการพักฟื้นของผู้ป่วย ซึ่งหากย้อนไปเมื่อ 7 ปีที่แล้ว เทคโนโลยีต่าง ๆ ยังไม่ได้ทันสมัยมากนัก จึงทำให้เกิดความคิดที่ว่าจะทำยังไงให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีคนดูแล และสามารถติดต่อรับคำปรึกษาได้ในเบื้องต้นเมื่อมีอาการบางอย่าง โดยที่ยังไม่ต้องเข้ามาที่โรงพยาบาล

จาก Pain point ที่เกิดขึ้นจึงได้คิดโปรเจ็กต์เกี่ยวกับการบริการดูแลผู้ป่วยนอกโรงพยาบาล (Home care) ด้วยการนำเทคโนโลยีในการเชื่อมต่อกับการรักษาเบื้องต้นมาใช้ ซึ่งตอนเรียนที่สหรัฐอเมริกาบริการด้านนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว จึงมองว่าในประเทศไทยมีโอกาสเช่นกัน โดยตอนนั้นสตาร์ตอัพกำลังเป็นกระแส มีนักลงทุนให้ความสนใจค่อนข้างมาก จึงตัดสินใจเข้าร่วมดีแทค แอคเซอเลอเรท ปีที่ 4 และผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย จากจุดเริ่มต้นครั้งนั้น ทำให้ได้เงินมาลงทุน มีการเปิดบริษัทอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี พ.ศ.2558 และได้ลาออกจากการเป็นแพทย์ประจำที่โรงพยาบาลกรุงเทพ

จาก Day One สู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน

หมอตั้ม เล่าต่อว่า เราเป็นสตาร์ตอัพที่โตช้ากว่าหลายบริษัทในรุ่นเดียวกัน แต่ Health at Home โตแบบชัวร์ ด้วยทีมกลยุทธ์ที่ร่วมก่อตั้งกันมา ยอมรับอย่างภูมิใจว่า ทีมเราเก่ง เรามองกลยุทธ์ของแผนธุรกิจในทิศทางเดียวกันจึงทำให้การตัดสินใจขยายธุรกิจหรือการวางแผนต่าง ๆ มีความชัดเจน ทำให้ผ่านอุปสรรคและวิกฤติต่าง ๆ มาได้ ตอนนี้มีพนักงานของบริษัทประมาณ 50 คน แบ่งเป็น 3 ทีมหลักคือ ทีมโปรดักซ์ ทีมการตลาดและขาย และทีมแพทย์และพยาบาล

ทั้งนี้ จากวันแรกจนถึงวันนี้เรายังคงใช้ 3 แนวคิดในการเลือกคนเข้าทีมทำงาน คือ Growth mindset มีวิธีคิดอย่างไร Empathy มีความเข้าใจผู้ดูแลและผู้ป่วยสูงอายุหรือไม่ และAgility คล่องตัว ว่องไว เนื่องจากเราเป็นบริษัทขนาดเล็กซึ่งสิ่งที่จะใช้สู้กับบริษัทขนาดใหญ่ได้คือ ความเร็วเท่านั้น

Health at Home มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอด 7 ปี โดยรายได้รวมของบริษัทในปี 2564 ที่ผ่านมานั้นอยู่ที่ 30 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมปีนี้คาดว่าเราสามารถทำได้ที่ประมาณ 60-70 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามแผนธุรกิจและสำหรับปีหน้า 2566 เราตั้งเป้าหมายรายได้รวมไว้ที่ 100 ล้านบาท

ทั้งนี้ แน่นอนว่าประเทศไทยเข้าสู่งสังคมผู้สูงอายุเต็มตัวแล้ว ดังนั้น ภาพรวมอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ (Health Care) จึงมีความชัดเจนในความต้องการด้านดูแลกลุ่มนี้มากขึ้น รวมถึงภาครัฐมีการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่แข็งแรงมากนักซึ่งการดูแลให้ทั่วถึงทุกกลุ่มยังมีช่องว่างอยู่ จึงมองว่าการเติมเต็มบริการจากภาคเอกชนยังมีโอกาสอีกมาก ส่วนในมุมของนักลงทุนต่างชาตินั้นยังคงมองว่าประเทศไทยมีจุดได้เปรียบกว่าหลายประเทศในงานบริการด้านการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นความใส่ใจ บริการด้วยความเป็นมิตรและการมีภูมิประเทศที่เป็นจุดแข็งด้านธรรมชาติในกลุ่มนักท่องเที่ยว เฮลท์แคร์จึงยังคงเป็นเมกะเทรนด์ 

สำหรับการก่อตั้งบริษัทในปีแรก ๆ เรามีเพียงบริการเดียวคือ ผู้ดูแลมืออาชีพ หรือ Carepro โดยการเปิดพื้นที่บนแพลตฟอร์มดิจิทัลให้ผู้ป่วยสูงอายุได้พบกับผู้ดูแลมืออาชีพที่ผ่านการอบรมด้านการดูแลผู้ป่วยสูงอายุจากหลักสูตรตามมาตรฐานการดูแลผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเราเป็นผู้จัดอบรมและทดสอบ หลังจากนั้นในปี พ.ศ.2563 มีการขยายธุรกิจเพิ่มเติมด้วยการเปิดเนิร์สซิ่ง โฮม (Nursing home) ในชื่อศูนย์ดูแลผู้สูงอายุเฮลท์ แอท โฮม แคร์เซ็นเตอร์ ที่ปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยให้บริการดูแลผู้สูงอายุ ผู้ป่วยพักฟื้นหลังผ่าตัดและผู้ป่วยติดเตียง

โดยเมื่อไม่นานมานี้เราได้เปิดบริการด้านเทเลเมดิซีน (Telemedicine) เป็นการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารดิจิทัลเข้ามาช่วยในเรื่องการให้คำปรึกษาจากแพทย์ไปยังผู้ใช้บริการซึ่งเจาะกลุ่มลูกค้าองค์กรเป็นหลัก เป็นบริการแบบ B2B ซึ่งใช้ชื่อว่า Health at Work ที่ตอนนี้มีบริษัทขนาดใหญ่และขนาดเล็กเข้าใช้บริการมากกว่า 100 รายแล้ว เช่น บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ส. ขอนแก่นฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) เป็นต้น โดยบริษัทเหล่านี้จะมอบบริการของเราให้เป็นส่วนหนึ่งของสวัสดิการพนักงาน โดยได้พบแพทย์ให้คำปรึกษาในการรักษาสำหรับโรคทั่วไปที่ไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาลเมื่อมีอาการ ซึ่งจุดแข็งที่เรามีคือการสร้างประสบการณ์การรักษาเบื้องต้นที่ดีให้กับผู้ใช้บริการผ่านเทคโนโลยีเทเลเมดิซีนที่ประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลา

สำหรับสัดส่วนรายได้หลักของบริษัทตอนนี้ยังคงมาจากบริการผู้ดูแลมืออาชีพ 70% ส่วนศูนย์ดูแลผู้สูงอายุเฮลท์ แอท โฮม แคร์เซ็นเตอร์อยู่ที่ 15% และบริการ Health at Work 15% โดยมีจำนวนครอบครัวผู้เข้าใช้บริการทั้งหมดจากวันเริ่มต้นจนถึงปัจจุบันมากกว่า 5,000 ครอบครัว   

ส่วนผู้ดูแลมืออาชีพที่เข้าร่วมงานกับเราเป็นกลุ่มช่วงอายุ 35-50 ปี ซึ่งเรามีการคัดกรองกลุ่มผู้ดูแลเบื้องต้นในด้านทักษะพื้นฐานด้านการดูแลผู้ป่วยสูงอายุ ทัศนคติ บุคลิกภาพ และมีการอบรม 420 ชั่วโมงเพื่อให้ความรู้และทำการทดสอบตามมาตรฐานเดียวกับหลักสูตรของกระทรวงสาธารณสุข โดยลักษณะการเข้าอบรมกับเราคือ เราให้ทุนเรียนก่อนและเมื่อผ่านการอบรมเข้าทำงานแล้วจะมีการทยอยจ่ายทุนคืน ซึ่งมีผู้ดูแลบางรายผ่านการอบรมแล้ว แต่ไม่ต้องการร่วมทีมทำงานกับเรา แต่ก็เป็นส่วนน้อย แต่อุปสรรคเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ เราไม่สามารถห้ามให้เขาออกกจากทีมได้ แต่เราสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นกับผู้ดูแลได้ว่า แพลตฟอร์มของเรามีความจริงใจและให้ผลตอบแทนที่ดี ซึ่งแต่ละงานที่ผู้ดูแลได้รับมีความยากง่ายต่างกัน ตอนนี้มีจำนวนผู้ดูแลทั้งหมด 300 คน แต่มีการทำงานต่อเนื่องประมาณ 100 คน ซึ่งจำนวนผู้ดูแลที่เรามีอยู่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของจำนวนผู้ป่วยสูงอายุ

วิกฤติโควิด-19 สู่โอกาสขยายธุรกิจ Work at Home

ประธานบริหารและผู้ก่อตั้ง Health at Home เล่าถึงการพลิกวิกฤติสู่โอกาสการขยายธุรกิจว่า ในช่วงแรกที่มีโควิด-19 ระบาดนับว่าเป็นความท้าทายอย่างมากในส่วนธุรกิจผู้ดูแลมืออาชีพ เนื่องจากมีการล็อกดาวน์พื้นที่ ห้ามเดินทาง และต้องเว้นระยะห่าง ไม่สามารถรวมตัวเพื่อจัดอบรมทำให้กระทบไปยังอีกธุรกิจ Nursing Home แต่ในวิกฤติก็มีโอกาสเกิดขึ้นทำให้ขยายธุรกิจเพิ่มในงานบริการเทเลเมดิซีน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่ภาครัฐปลดล็อกการใช้เทเลเมดิซีนในการรักษามากขึ้นทำให้ โดยตอนนี้มีแพทย์ในทีมมากกว่า 10 คน ซึ่งจุดต่างที่เรามีเหนือคู่แข่งคือ เราเป็นสตาร์ตอัพที่ทำงานโอเปอเรชันด้านเฮลท์แคร์ให้เกิดขึ้นอย่างสมเหตุสมผลตามความต้องการของผู้ใช้บริการ ซึ่งตอนนี้เราสามารถให้บริการได้แล้วทุกหัวเมืองหลักทั่วประเทศ โดยใช้จุดเชื่อมต่อในการจ่ายยาจากร้านยากรุงเทพเป็นพาร์ตเนอร์หลัก

แม้ว่าตอนนี้หลายโรงพยาบาลเข้ามาให้บริการด้านเทเลเมดิซีนกันมากขึ้น แต่เรากลับมองว่าเป็นสัญญาณที่ดีว่าสิ่งที่ทำอยู่ตลอดระยะเวลา 7 ปี เราเดินมาถูกทางแล้ว แต่หากถามว่ามองเป็นคู่แข่งหรือไม่นั้น เรามองว่าจุดแข็งของการให้บริการต่างกัน โรงพยาบาลคือการให้คำปรึกษาผู้ป่วยในเบื้องต้นและดูแลรักษาในพื้นที่ภายในโรงพยาบาล แต่เราคือมีทีมดูแลให้ที่บ้านและมีส่วนของการดูแลก่อนมาและหลังกลับจากโรงพยาบาล เป็นการดูแลผู้ป่วยนอกพื้นที่โรงพยาบาล

ก้าวต่อจากนี้ สถาบันอบรมผู้ดูแลกลุ่มสูงวัยมืออาชีพ

ส่วนกลยุทธ์ที่จะช่วยเพิ่มงานบริการของเราต่อนี้คือ การเพิ่มจำนวนผู้ดูแลให้มากขึ้นเพื่อรองรับกับจำนวนผู้ป่วยสูงอายุและการเพิ่มทักษะการดูแลเฉพาะด้านให้ผู้ดูแลมีความรู้เพิ่มขึ้น เช่น ผู้ดูแลในกลุ่มอัลไซเมอร์ กลุ่มหลอดเลือดสมอง เป็นต้น โดยมีแผนจะเปิดโรงเรียนบริบาลเพื่ออบรมหลักสูตรเฉพาะในต้นปี 2566 ซึ่งตอนนี้อยู่ในขั้นตอนขอใบอนุญาตกับกระทรวงสาธารณสุข โดยสถาบันฝึกอบรมนี้สามารถรองรับการอบรมได้มากกว่า 30 คนต่อสัปดาห์ จากปัจจุบันที่อบรม 10 คนต่อสัปดาห์

โดยผู้ดูแลที่ผ่านการอบรมหลักสูตรจากสถาบันจะได้รับใบรับรองด้านการดูแลผู้ป่วยสูงอายุนอกพื้นที่โรงพยาบาลจากกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งการเปิดสถาบันครั้งนี้จะเป็นส่วนที่ช่วยเพิ่มจำนวนผู้ดูแลของ Health at Home เป็นหลัก โดยมองว่าจะสามารถเพิ่มผู้ดูแลในแพลตฟอร์มได้มากกว่า 100 คนต่อปี

ส่วนธุรกิจด้าน Nursing home จะเปิดเพิ่มอีก 1 สาขาในปี 2566 บริเวณพื้นที่รามอินทรา และมองว่าหลังจากขยายในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลได้ครอบคลุมแล้ว จะต่อยอดไปสู่พื้นที่ต่างจังหวัด เพราะกลุ่มผู้สูงอายุมีจำนวนมากและอาศัยอยู่กระจายทั่วประเทศ และสำหรับธุรกิจในส่วนของเทเลเมดิซีน Health at Work นั้น เราจะขยายไปยังพาร์ทเนอร์ใหม่ๆ เช่น กลุ่มประกันชีวิตและประกันภัย เป็นต้น

ทั้งนี้ หากถามเรื่องการระดมทุนนั้น เรามองว่าตอนนี้รูปแบบจะเปลี่ยนไปจากเดิมด้วยบริษัทสามารถสร้างกำไรได้เองแล้วในระดับหนึ่ง ดังนั้นก้าวต่อไปคือการมองหา Strategic partnership ที่จะพาเราไปได้ไกลกว่าเดิม ซึ่งตอนนี้มีการคุยกันบ้างแล้วในหลายๆ กลุ่ม เช่น อสังหาริมทรัพย์ โรงพยาบาล โรงแรม เป็นต้น ซึ่งกลุ่มเหล่านี้สามารถปรับให้สอดรับกับบริการด้านเฮลท์แคร์ได้

บทสัมภาษณ์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ

เปิดใจ “ยอด ชินสุภัคกุล” แห่ง LINE MAN WONGNAI กับความฝันสู่ “แพลตฟอร์มบริการแห่งชาติ”

อายุน้อย DOESN’T MATTER ….”ศรัณย์พร ปัญญาโรจน์” กับ EDUCATION JOURNEY ที่ GLOBISH

HUMANSOFT – HR CLOUD SOLUTION PLATFORM ตอบโจทย์บริหารงานบุคคลที่มี “คน” เป็น CORE VALUES

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ