TH | EN
TH | EN
หน้าแรกCareer & TalentSEAC’s Smart Learning แก้ Pain Point การเรียนที่ไม่ใช่แค่ได้รู้

SEAC’s Smart Learning แก้ Pain Point การเรียนที่ไม่ใช่แค่ได้รู้

จากการสำรวจ และเก็บข้อมูลของ Harvard Business Review กว่า 100,000 คนทั่วโลก พบว่า 88% ของคนที่เข้าอบรมเทรนนิ่ง ไม่สามารถนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ อีก 75% ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองได้รับการพัฒนาหลังเข้าเรียน และ 70% ไม่ได้รับการเทรนนิ่งทักษะที่จำเป็นต่อการทำงาน

นี่คือปัญหาที่องค์กรหลายแห่งกำลังประสบกับการสูญเปล่าในการส่งบุคลากรเข้ารับการอบรมตามหลักสูตรต่าง ๆ เพราะการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ความไวของยุคดิจิทัล และเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของทุกคนแบบก้าวกระโดด จึงส่งผลให้การอบรมเทรนนิ่งในรูปแบบเดิมที่มีข้อจำกัด เน้นแต่หลักทฤษฎี จึงไม่สอดคล้องกับมิติที่เปลี่ยนไป และตอบโจทย์ความต้องการของทุกคนได้อย่างแท้จริง

ความรู้มีมาก แต่ใช้ไม่ได้จริง ความท้าทายของการเรียนรู้แบบเก่า

“ภาพรวมตลาดธุรกิจด้านการพัฒนาศักยภาพบุคลากรและองค์กร (Corporate Training) ของประเทศไทย มีมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังโควิด-19 ที่ผู้คนพยายาม Reskill ใหม่ ๆ ให้กับตัวเอง แต่จากงานวิจัยพบว่า กว่า 75% ของผู้เรียนไม่ได้รู้สึกว่าการเข้าฝึกอบรมมีประสิทธิภาพจริง และกว่า 88% ของผู้เข้าเรียนไม่สามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในการทำงานได้ ซึ่งถือเป็นจำนวนที่มาก หากเทียบกับตัวเลขผู้เข้าเรียนและเม็ดเงินที่ผู้คนได้ใช้จ่ายให้กับอุตสาหกรรมนี้” สิรยา คงสมพงษ์ ที่ปรึกษาอาวุโส ซีแอค (SEAC) ได้กล่าวเน้นย้ำ พร้อมตั้งข้อคำถามเพิ่มเติมก่อนเข้าสู่การบรรยายในหัวข้อ Redefine What Makes Learning Work ว่าขณะนี้พวกเรากำลังเผชิญปัญหาการเรียนรู้แบบไหนกันอยู่บ้าง

  1. ออกจากห้องเรียนแล้ว ไม่รู้จะเอาความรู้ไปใช้อย่างไร
  2. เนื้อหาที่เรียนไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง
  3. เนื้อหาไม่อัปเดต ไม่เท่าทันโลก
  4. เรียนแล้วไม่สามารถวัดผลได้ รู้สึกเรียนไปก็เท่านั้น

ปัญหาชวนคิดนี้ได้สะท้อนความท้าทายของการเรียนรู้แบบเก่า ที่แม้มีข้อมูลมากมาย แต่ผู้เรียนกลับไม่สามารถนำองค์ความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้จริง ยิ่งเมื่อโลกผันเวียนเปลี่ยนผ่านมาถึงยุคดิจิทัล ที่การเรียนรู้ไร้ขอบเขตจำกัด เต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสารมหาศาล และเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา ยิ่งสะท้อนให้เห็นได้ชัดว่า ไม่มีใครเก่งที่สุด แต่สิ่งที่จะเป็นตัวชี้วัดว่าใครเลิศที่สุดก็คือ คนนั้นมีความสามารถในการต่อยอดการเรียนรู้และนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงมากแค่ไหนต่างหาก

จึงเป็นที่มาของการคิดค้นนวัตกรรม SEAC’s Smart Learning” เอกสิทธิ์เฉพาะของ SEAC ที่ต้องการส่งเสริมแนวทางการเรียนรู้อย่างชาญฉลาด (SMART Learning) ให้ความสำคัญกับบริบทของผู้เรียน และผลลัพธ์เพื่อการ “นำไปใช้ได้จริง” ด้วยการดีไซน์โปรแกรมการพัฒนาบุคคลและองค์กรที่เรียกว่า SEAC’s SMART 456 Learning Experiences’ นับเป็นก้าวสำคัญในการประกาศความพร้อมสู่การเป็นผู้นำในตลาดธุรกิจการพัฒนาตนเองและองค์กรอย่างรอบด้าน และส่งเสริมผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตอีกด้วย

หัวใจของการเรียนรู้อย่าง ‘S M A R T’ ได้แก่

S – Scalable: ปรับเปลี่ยนได้ทุกความต้องการ

M – Motivating: สร้างแรงบันดาลใจในการเรียนรู้

A – Adaptable: ปรับการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับผู้เรียนที่แตกต่างกัน

R – Relevant: นำความรู้ไปปรับใช้ได้ในชีวิตจริง

T- Targeted: ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนให้กับผู้เรียน

โปรแกรมการเรียนรู้ SEAC’s Smart Learning ประกอบด้วย 4Line Learning, 5Phase Development และ 6 Learning Labs  ซึ่งจุดเด่นของโปรแกรมนี้คือ การจับทุก Pain Point ของการเรียนรูปแบบเก่ามาปรับใหม่ โดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เน้นผลลัพธ์ที่นำไปใช้ได้จริง ด้วยวิธีการเรียนที่ยืดหยุ่นสำหรับแต่ละบุคคล เน้นการเชื่อมโยงให้ผู้เรียนเห็นว่าจะนำความรู้ไปใช้พัฒนางานต่อได้อย่างไร เห็นคุณค่าของการเรียนและการปรับใช้ ตลอดจนสามารถติดตาม และวัดผลการพัฒนาเชิงพฤติกรรมได้อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยเครื่องมือ นวัตกรรม แนวทางการเรียนรู้ และสังคมแห่งการเรียนรู้ (Learning Community) ที่สามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ต่อยอดและแบ่งปันความคิดของกันและกัน ที่ช่วยให้ผู้เรียนสนุก มีส่วนร่วม เรียนได้อย่างต่อเนื่อง และนำไปใช้ได้จริง

‘SEAC’s SMART 456 Learning Experiences’ คำตอบของการเรียนรู้ในโลกยุคใหม่

ด้าน อริญญา เถลิงศรี กรรมการผู้จัดการ และผู้ก่อตั้ง SEAC กล่าวในหัวข้อ Reframe Learning Innovation for a Greater Impact ว่า “โลกปัจจุบันไม่เหมือนเดิม เราจึงไม่สามารถทำทุกอย่างด้วยวิธีเดิม ๆ ได้ และต้องโฟกัสคำว่า Reframe ที่เกี่ยวข้องกับทุกธุรกิจทุกภาคส่วน ทาง SEAC จึงหันมาตั้งคำถามว่า แล้วเราจะยังมองเรื่องการเรียนรู้ได้เหมือนเดิมหรือไม่”

SEAC’s SMART 456 Learning Experiences’ จึงเป็นคำตอบที่จะไขโจทย์การเรียนรู้ของคนยุคใหม่ให้องค์กรต่าง ๆ สามารถบูรณาการความรู้ และศักยภาพของพนักงานให้เป็นรูปธรรม พร้อมเป็นหน่วยหนึ่งในการขับเคลื่อนธุรกิจองค์กรในมิติสังคมที่เปลี่ยนไปเช่นนี้

อย่าง 4 Lines Learning’ เป็น 4 รูปแบบการเรียนรู้ที่ช่วยให้ผู้เรียนได้รับประสิทธิผลและผลลัพธ์สูงสุดไม่ว่าจะเรียนรู้เมื่อไร อย่างไร และที่ไหนก็ตาม ได้แก่ OnLine – เรียนรู้ทฤษฎีได้ทุกที่ทุกเวลาบนแพลตฟอร์มออนไลน์, InLine – เรียนจริง ปฏิบัติจริงกับโค้ชตัวจริง ร่วมกับเพื่อน ๆ เพื่อเชื่อมโยงเนื้อหาที่ได้รับเข้ากับสถานการณ์จริง, FrontLine – เรียนรู้ผ่านเครื่องมือ และคอมมูนิตี้เพื่อการประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง และ BeeLine – คอมมูนิตี้ต่อยอดการเรียนรู้ หรือพื้นที่สำหรับแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และผลลัพธ์จากการนำสิ่งที่เรียนไปต่อยอดการเรียนรู้ให้กันและกัน

ในส่วนของ ‘5Phase Development’ เป็นกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน ให้ผู้เรียนสร้าง และนำทักษะ (Skillsets) กรอบความคิด (Mindsets) และเครื่องมือ (Toolsets) ไปปรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยใช้เทคโนโลยีในปัจจุบันมาทำให้การเรียนรู้สะดวกขึ้น ง่ายขึ้น และสามารถวิเคราะห์และบ่งบอกสิ่งที่ผู้เรียนต้องพัฒนาเพิ่มเติมแบบเฉพาะเจาะจงกับบุคคล ทำให้การพัฒนาคนในองค์กร หรือการพัฒนาตัวเองจนเกิดผลลัพธ์ที่จับต้องได้ ซึ่งได้รับการพิสูจน์ด้วยความสำเร็จขององค์กรไทยมากกว่า100 เคส ที่เกิดขึ้นจริงว่าช่วยยกระดับการพัฒนาบุคลากรให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ด้วยหลัก 5 เฟส คือ Introduce & Enroll – กระตุ้นให้ผู้เรียนเห็นความสำคัญของการเรียนรู้, Baseline & Measure – สำรวจพฤติกรรมตัวเองและอยากจะพัฒนาตัวเอง, Connect & Inspire – แลกเปลี่ยนกับกลุ่มผู้เรียนและสร้างแรงบันดาลใจร่วมกันจนเรียนสำเร็จ, Build & Integrate – เชื่อมโยงเนื้อหากับบริบทของผู้เรียนให้รู้ว่านำไปใช้จริงอย่างไร และ Consolidate & Sustain -นำสิ่งที่เรียนไปปรับใช้ในชีวิต จนเกิดผลลัพธ์และการเปลี่ยนแปลงที่ดีอย่างยั่งยืน

และด้วยความเชื่อที่ว่า การลงพื้นที่ปฏิบัติจริงตั้งแต่อยู่ในหลักสูตรคือหนทางหนึ่งที่จะทำให้จุดมุ่งหมายดังกล่าวเกิดขึ้นจริงได้ SEAC จึงได้พัฒนาสิ่งที่เรียกว่า ‘6 Learning Labs’ หรือพื้นที่แห่งการลงมือปฏิบัติจริง ซึ่งเป็นเครื่องมือที่เร่งสร้างกระบวนการเรียนรู้ สร้างประสบการณ์ให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมอย่างทั่วถึงร่วมกับผู้เรียนคนอื่น ๆ ประกอบไปด้วย

  1. Unpacking – สรุปทบทวนเนื้อหา เครื่องมือ และโมเดลที่เรียนมา เพื่อสร้างความเข้าใจในเชิงลึก และประยุกต์ใช้ได้ 
  2. S.T.A.R.2 Application & Reflection – การตั้งเป้าหมาย กำหนดวิธีการลงมือ และเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ โดยใช้โมเดล S.T.A.R.2 (Situation, Try, Actions, Result & Reflect) 
  3. Skills Practice – สนามฝึกซ้อมทักษะ สร้างความมั่นใจก่อนลงมือใช้จริง เน้นการฝึกฝนเพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวข้อหรือการใช้เครื่องมือต่าง ๆ 
  4. Coaching – ผู้เชี่ยวชาญให้เครื่องมือ และสนับสนุนผู้เรียนให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพื่อติดตามความคืบหน้าของเป้าหมายที่โค้ชและผู้เรียนตั้งไว้ร่วมกัน 
  5. Impact Presentations – แล็บที่จะประยุกต์ใช้สิ่งที่ได้เรียนกับงานจริงผ่านโปรเจ็กต์การเรียนรู้ แล้วกลับมานำเสนอผลลัพธ์ที่ดีที่เกิดขึ้น และการลงมือทำจริงของผู้เรียน 
  6. Communities of Practice – ชุมชนและพื้นที่ของนักปฏิบัติ เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ เพื่อหาแนวทางปฏิบัติที่สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนร่วมกันในชุมชนแห่งการเรียนรู้ 

เปลี่ยนองค์กรที่ผิดพลาด ให้เป็นองค์กรที่สมาร์ท

ด้านเจมส์ เอนเกล Chief Learning Architect, SEAC กล่าวในหัวข้อ Refocus Learning for Success ได้ยกกรณีศึกษาของบริษัท Pepsico ที่ทำโปรเจ็กต์ร่วมกัน ด้วยการออกแบบ สร้างเส้นทางการเรียนรู้ และสภาพแวดล้อมด้วยการใช้เทคโนโลยี มีเครื่องมือติดตามพฤติกรรมของผู้เรียนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อพาไปถึงเส้นชัย และย้ายจากยุคมืด ไปสู่ยุคแห่งการเรียนรู้ เปรียบดั่งเวทมนต์ ที่นำไปสู่ผลลัพธ์การปรับใช้ได้จริง (Empower Lives Through Learning) โดย SEAC’s Smart Learning จะเป็นโซลูชันที่อำนวยความสะดวกให้ผู้เรียนสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกตั้งแต่ฐานรากของชีวิต ไปจนถึงระดับองค์กรได้ โดยมีตัวชี้วัดเป็น 6 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ 

  1. บริบท – ดังคำกล่าวของแกรี่ เวเนอร์ชัก นักธุรกิจชื่อดัง “หากเนื้อหาคือราชา บริบทก็คือพระเจ้า”
    เราจึงให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ และออกแบบประสบการณ์การเรียนโดยคำนึงถึงบริบทการทำงานของผู้เรียนเป็นหลัก 
  2. การประยุกต์ใช้ – เน้นช่วยให้ผู้เรียนเชื่อมโยงเนื้อหากับบริบทของตนและนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง 
  3. ความยืดหยุ่นและความมุ่งมั่น – มีวิธีการเรียนรู้และช่องทางเพิ่มพูนทักษะที่หลากหลาย ให้ผู้เรียนมีตัวเลือก เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น และช่วยให้ความมุ่งมั่นในการเรียนสูงขึ้น 
  4. เน้นการแบ่งปันความคิดอย่างแท้จริง – ใช้เทคโนโลยีเชื่อมต่อผู้เรียน แบ่งปัน และฝึกปฏิบัติไปด้วยกัน 
  5. ให้การสนับสนุน – มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ 
  6. เริ่มต้นที่ตัวตนของแต่ละคน – ช่วยให้ผู้เรียนเห็นว่า พวกเขาอยู่จุดไหนและต้องการอะไรจากการเรียน 

“เราต่างรู้กันดีว่าการเรียนรู้รูปแบบเดิมนั้นอาจไม่สามารถนำไปสู่การปรับใช้ได้อย่างแท้จริง และในอนาคตอันใกล้เป็นไปได้สูงที่ AI จะมีบทบาทในการเป็นผู้ช่วยใช้ชีวิตของพวกเราทุกคนมากยิ่งขึ้น เราจะพัฒนาตนเองเพื่อเตรียมพร้อมรับมือและคว้าโอกาสใหม่ ๆ อย่างชาญฉลาด หรือจะปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ พาให้เราถอยหลังไม่ทันโลก หัวใจสำคัญในการพัฒนาคนและองค์กรสำหรับโลกยุคนี้ คือ รูปแบบและวิธีการเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนนำไปปรับใช้ได้จริง และสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับการทำงานและการใช้ชีวิตได้อย่างยั่งยืน” เจมส์ กล่าวทิ้งท้าย 

เพราะ SEAC เชื่อว่า ในโลกยุคใหม่ การตั้งโจทย์เพื่อออกแบบหลักสูตรให้คนสามารถนำสิ่งที่เรียนไปประยุกต์ใช้ได้จริง จะไม่ใช่แค่ ‘ใคร – เรียนอะไร – ได้ข้อสรุปอย่างไร’ แต่จะเป็นการเริ่มต้นจาก ‘เรียนอะไร – เรียนอย่างไร – แล้วจะนำไปใช้ได้อย่างไร’ มากกว่า การเรียนรู้แบบ SMART Learning จะช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จในการพัฒนาและฝึกฝนบุคลากรได้อย่างรอบด้าน ทั้งยังพัฒนาศักยภาพผู้เรียนและส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Born Thailand สตาร์ตอัพสายเกษตรมุ่งมั่น Scale up ศักยภาพชุมชนก่อนเม็ดเงิน “ชุมชนต้องสำเร็จก่อนเราจึงจะสำเร็จ”

กสิกรไทย จับมือ PEA เปิดบริการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป พร้อมหนุนสินเชื่อ-ดอกเบี้ยพิเศษ

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ