TH | EN
TH | EN
หน้าแรกTechnologyบำรุงราษฎร์ มั่นใจศักยภาพการแพทย์ครบทุกมิติ

บำรุงราษฎร์ มั่นใจศักยภาพการแพทย์ครบทุกมิติ

เนื่องด้วย สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยเริ่มคลี่คลายลง อีกทั้งประเทศไทยยังถูกจัดอยู่ในอันดับ 1 ในเอเชียโดย Global COVID-19 Index (GCI) ในการฟื้นตัวของแต่ละประเทศจากสถานการณ์โควิด-19 จาก 184 ประเทศทั่วโลก และเป็นประเทศที่บรรเทาการระบาดของไวรัสได้ก้าวหน้าที่สุดในโลก สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว ถือเป็นจังหวะที่ดีในการสร้างความได้เปรียบทางการตลาดด้านความปลอดภัย และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical and Wellness Tourism) ให้เป็นตัวชูโรงด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยหลังโควิด-19 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศอีกทางหนึ่ง

-เดลต้าแนะการบริหารจัดการไฟฟ้าในโรงพยาบาลช่วงโควิด-19
-ไอเน็ต จับมือ IBM ส่งเทคโนโลยีรักษาวัณโรค 75 โรงพยาบาลทั่วไทย

จากการประชุมศูนย์กลางด้านการแพทย์ ปี 2561 รายงานว่ามีผู้ป่วยต่างชาติมาใช้บริการในด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ประมาณ 3.4 ล้านครั้ง สร้างรายได้ให้ประเทศกว่า 1.4 แสนล้านบาท และไทยยังมีสถานบริการสุขภาพผ่านมาตรฐานคุณภาพสถานพยาบาลระดับสากล JCI ถึง 68 แห่ง มากที่สุดในอาเซียน สะท้อนให้เห็นถึงความได้เปรียบในการแข่งขันด้าน Medical Hub ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายประเทศ

ในโอกาสครบรอบ 40 ปี โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ภญ. อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ผู้อำนวยการด้านบริหาร (CEO) โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เปิดเผยว่า นับตั้งแต่วันแรกที่เปิดให้บริการ คือ วันที่ 17 กันยายน 2523 บำรุงราษฎร์ให้การบริบาลผู้ทั้งคนไทยและคนทั่วโลกมาถึง 40 ปี การรักษาคือหัวใจสำคัญที่เรายึดมั่นมาตลอด โดยยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง เพื่อส่งมอบการรักษาและประสบการณ์ที่ดีที่สุดด้วยคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัย รวมทั้งความพยายามที่จะยกระดับคุณภาพการรักษาและการบริการอยู่ตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง เป็นผลสืบเนื่องในวันนี้ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้กลายเป็นที่ประจักษ์และได้รับการยอมรับว่าเป็นต้นแบบและจุดหมายหมายปลายทางของการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของโลก (Medical Tourism Destination) โดยโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เป็นโรงพยาบาลแห่งแรกของโลกที่ได้การประกาศรับรองจาก Global Healthcare Accreditation (GHA) COVID-19 ซึ่งเป็นการรับรองด้านมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากลสำหรับการจัดการการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

ด้วยประสบการณ์กว่า 40 ปีของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เรายังคงมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนองค์กรสู่การบริบาลสุขภาพแบบองค์รวมระดับโลก โดยบำรุงราษฎร์ได้ยกระดับสู่โรงพยาบาลในการรักษาขั้นจตุตถภูมิ (Quaternary Care) ซึ่งจะอยู่บนยอดปิระมิดสูงสุดในการรักษาพยาบาล เป็นการให้การบริบาลทางการแพทย์ที่มีความซับซ้อนอย่างมากด้วยนวัตกรรมขั้นสูง เราได้เล็งเห็นเทรนด์โลกด้าน Wellness จึงได้ทำงานร่วมกับศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ซึ่งเป็นศูนย์สุขภาพการแพทย์เชิงป้องกันแห่งแรกในภูมิภาคเอเชีย ที่มีประสบการณ์กว่า 20 ปี เพื่อให้การดูแลสุขภาพครอบคลุมในทุกมิติ ตามแนวคิดการแพทย์แบบผสมผสาน (Integrated Medicine) ทั้งในด้านการแพทย์แผนปัจจุบัน (conventional medicine) และการรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Medicine) แบบองค์รวม ซึ่งเป็นเทรนด์ของการดูแลสุขภาพ ที่มีการวิเคราะห์เชิงลึกถึงระดับพันธุกรรม ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ เพื่อค้นหาความเสี่ยงในการเกิดโรคในอนาคต รวมถึงวางแผนการดูแลรักษาแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Medicine) เพื่อผลลัพธ์การรักษาที่มีประสิทธิภาพ ภายใต้มาตรฐานและคุณภาพระดับสากล

รศ.นพ.ทวีสิน ตันประยูร ผู้อำนวยการปฏิบัติการทางการแพทย์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า ตลอด 4 ทศวรรษ บำรุงราษฎร์ได้ทำงานร่วมกันอย่างสอดประสาน ระหว่างแพทย์ผู้ชำนาญการต่างสาขากับบุคลากรทางการแพทย์ในหลายสาขาวิชาชีพ เพราะโดยลำพังแพทย์เองก็ไม่สามารถดูแลรักษาผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โชคดีที่เรามีทีมที่มีประสิทธิภาพ ทั้งแพทย์เฉพาะทาง อาทิ แพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทางระบบประสาท ทางลิ้นหัวใจ หัวใจเต้นผิดจังหวะ ทารกแรกเกิด มะเร็งเฉพาะส่วน มีพยาบาลวิชาชีพเฉพาะทางในหลายสาขา เช่น พยาบาลเฉพาะทางผู้ป่วยวิกฤตทารกแรกเกิด ทางด้านหัวใจและหลอดเลือด ทางด้านออร์โธปิดิกส์ รวมถึงเภสัชกรวิชาชีพกว่า 100 คน ที่มีความชำนาญเฉพาะทาง เช่น เภสัชกรด้านมะเร็ง เภสัชกรผู้ป่วยวิกฤต เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีนักกายภาพบำบัด นักโภชนาการ นักเทคนิคการแพทย์ และบุคลากรวิชาชีพอื่น ๆ อีกกว่า 4,800 คน ที่ทำงานร่วมกัน ซึ่งพร้อมดูแลผู้ป่วยตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อส่งมอบการดูแลรักษาให้แก่ผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพในระยะเวลาอันรวดเร็ว

นอกจากนี้ บำรุงราษฎร์ได้นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยเสริมประสิทธิภาพการรักษาอย่างเหมาะสม เพื่อให้สามารถดูแลรักษาโรคเฉพาะทางและซับซ้อนได้อย่างครอบคลุมและมีผลลัพธ์ที่ดีที่สุด อาทิ ศูนย์หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด (Robotic Surgery Center) เป็นการนำหุ่นยนต์เข้ามาช่วยแพทย์ในการผ่าตัด โดยเฉพาะกับอวัยวะสำคัญต่าง ๆ ที่มีความซับซ้อนละเอียดอ่อน การใช้แขนกลหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด ช่วยให้ได้ผลลัพธ์การรักษาที่ดีขึ้น หรือการนำเทคโนโลยีขั้นสูง AI IBM Watson for Oncology เพื่อวางแผนการรักษาโรคมะเร็งแบบเฉพาะเจาะจงให้ผู้ป่วยแต่ละราย เพื่อรักษาต้นเหตุของโรคอย่างแม่นยำและตรงจุด ซึ่งจากองค์ประกอบ 3 ประการ คือ การบริบาลด้วยความเอื้ออาทร ความร่วมมือระหว่างกัน และการใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม จึงทำให้บำรุงราษฎร์ ได้รับความไว้วางใจจากผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เป็นจำนวนกว่า 1.1 ล้านรายในแต่ละปี และทำให้บำรุงราษฎร์ เป็นจุดหมายปลายทางทางการแพทย์ของผู้คนทั่วโลก

ในช่วงเสวนา “กรณีศึกษาโควิด-19 กับศักยภาพธุรกิจภาคบริการของประเทศไทยสู่อนาคตโลก” จากตัวแทนภาคธุรกิจบริการ ถือเป็นอีกแรงขับเคลื่อนที่จะร่วมฟื้นฟูและสร้างรายได้ให้กับประเทศเพื่อผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้ เริ่มด้วย คมกริช ด้วงเงิน ผู้อำนวยการกองสร้างสรรค์สินค้าการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ให้ความเห็นว่า ยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของ ททท. ช่วง New Normal นี้ จะมุ่งทำตลาดแบบเจาะจงกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่ม Health and Wellness ซึ่งจะเน้นเชิงคุณภาพมากกว่าปริมาณ และมุ่งไปสู่การท่องเที่ยว 3 แบบ คือ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การท่องเที่ยวร่วมกับการรักษา หรือ Medical Tourism และการท่องเที่ยวเชิงเกษตร/อาหาร โดยจะชูจุดขายเรื่องความปลอดภัย เรื่องเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมและอาหาร เรื่องความสวยงามของธรรมชาติที่ได้รับการฟื้นฟู และน้ำใจความเอื้ออาทรของคนไทยในการช่วยเหลือเกื้อกูล ขณะเดียวกันก็จะเพิ่มมูลค่าด้วยการพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยว รวมถึงการทำดิจิทัลแพลตฟอร์มให้เกิดในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวร่วมกับการดูแลสุขภาพให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ธนา เธียรอัจฉริยะ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานการตลาด และรักษาการ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองถึงธุรกิจธนาคารว่าโควิด-19 เป็นตัวเร่งดิจิทัลแบงกิ้ง ส่งผลให้ธนาคารต้องปรับแผนดิจิทัลแบงกิ้งที่เคยวางไว้ที่จะทำในช่วง 2-3 ปีต่อจากนี้ มาเป็นต้องทำให้ได้ภายใน 1-2 เดือน เนื่องจากลูกค้าไม่ต้องการไปสาขา และต้องย้ายการทำธุรกรรมต่าง ๆ มาอยู่บนโทรศัพท์มือถือทั้งหมด รวมถึงปรับวัฒนธรรมองค์กรเพื่อรับวิถีใหม่ โดยหัวใจสำคัญจะอยู่ที่การทำงานให้สำเร็จ ซึ่งเป็นหลักการใหม่ที่เรียกว่า ‘SCB from Anywhere คือ ทำงานที่ไหนก็ได้ แต่ต้องทำงาน เพื่อรองรับลูกค้าให้ได้’ ที่สำคัญวัฒนธรรมองค์กรก็ต้องเอื้อต่อการทดลองสิ่งใหม่ให้ได้ในระยะเวลาอันสั้น เพื่อให้ธนาคารสามารถทดลองสิ่งต่าง ๆ ให้เร็วและไม่กลัวที่จะล้มเหลว แต่ก็ต้องรีบปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว

ด้าน ดร.ปิยะพงษ์ ธัญญศรีสังข์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายบริหาร บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด ในเครือกลุ่มเซ็นทรัลรีเทล กล่าวว่า ห้างเซ็นทรัล ต้องปรับแผนกลยุทธ์ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ โดยให้ความสำคัญเรื่องความสะอาดและสุขอนามัยของลูกค้า พนักงาน รวมถึงพนักงานในร้านค้า รวมทั้งนำเทคโนโลยีการอบโอโซน และ UVC มาใช้ในการฆ่าเชื้อโรคบนธนบัตร มีมาตรการ Social Distancing รวมถึงมีการ Tracking เพื่อติดตามข้อมูลสุขภาพของพนักงาน และลูกค้าที่มาใช้บริการในห้าง ด้านของเทคโนโลยี ได้มีการปรับปรุงพัฒนาระบบต่างๆ เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าในทุกช่องทาง และรองรับความรวดเร็วในการซื้อขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออมนิแชนเนล และเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ห้างเซ็นทรัลฯ ได้จับมือกับโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เปิดบริการ ‘Central at Bumrungrad’ ให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าผ่านบริการ ‘Chat & Shop’ และ ‘Call & Shop’ ตอบโจทย์ผู้มาพักโรงพยาบาล พร้อมส่งฟรีถึงโรงพยาบาลทุกออเดอร์ไม่มีขั้นต่ำ และจัดส่งภายในวันเดียวกันเมื่อยืนยันออเดอร์ก่อนเวลา 18.00 น. เสมือนยกห้างเซ็นทรัลมาไว้ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

ด้าน นภัส เปาโรหิตย์ Chief Marketing Officer โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ให้ความคิดเห็นว่า ปี 2563 นับเป็นก้าวสำคัญของวงการแพทย์และสาธารณสุขไทยที่จะก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จากเหตุการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ได้สะท้อนให้เห็นถึงสปิริตของแพทย์ไทย โรงพยาบาลภาครัฐ และโรงพยาบาลเอกชน ต่างให้ความร่วมมืออย่างสุดความสามารถในการดูแลรักษาคนไทยเพื่อให้ปลอดภัยจากการติดเชื้อโควิด-19 พร้อมรักษาพยาบาลผู้ป่วยให้กลับมาเป็นปกติโดยเร็ว รวมถึงช่วยเหลือสังคมไทยให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน ทว่าแล้วท่ามกลางวิกฤตยังมีโอกาสที่ประเทศได้สร้างชื่อเสียงด้าน Medical Tourism เพื่อก้าวสู่ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ อีกทั้งยังมีข้อได้เปรียบในเรื่องคุณภาพของโรงพยาบาล ความชำนาญการของแพทย์ไทย รวมถึงค่ารักษาพยาบาลที่ประหยัดกว่าสหรัฐอเมริกา ประมาณ 40-75% หรือสิงคโปร์ ประมาณ 30% หากเทียบกับในระดับมาตรฐานสากล ซึ่งโครงสร้างค่ารักษาพยาบาลถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญในการแข่งขันสู่ Medical Hub ในระดับโลก

ซึ่งปีนี้ ถือเป็นอีกปีที่มีความท้าทายอย่างมาก เนื่องจากระยะแรกของวิกฤตโควิด-19 ทุกภาคส่วนต่างให้ความสำคัญและฝากความหวังไว้กับบุคลากรทางการแพทย์ ในฐานะโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ จึงต้องก้าวให้เร็วกว่าปกติ ยอมรับการเปลี่ยนแปลง กล้าคิดและกล้าทำในสิ่งใหม่ๆ และตัดสินใจอย่างรวดเร็ว โดยได้เตรียมความพร้อมในเรื่อง บุคลากร องค์ความรู้ นวัตกรรม และเทคโนโลยี รวมถึงได้มีการพัฒนายกระดับการให้บริการต่าง ๆ เพื่อให้สอดรับกับ new normal และพฤติกรรมของผู้มาใช้บริการที่เปลี่ยนไปให้ครอบคลุมในทุกมิติ เช่น การแยกพื้นที่บริการเพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อ, บริการ teleconsultation, บริการ Homecare Services หรือชื่อว่า Bumrungrad @ Home Service Center เพื่อให้บริการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่องถึงบ้าน และบริการ “60 Second Service” เพื่อให้บริการขั้นพื้นฐาน เช่น ฉีดวัคซีน และรับยาเป็นไปด้วยความรวดเร็ว เข้าถึงง่าย และปลอดภัยสูงสุด ขณะเดียวกันก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุดของผู้ป่วย ซึ่งชาวบำรุงราษฎร์สามารถแก้ปัญหาทันต่อสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีขีดเวลาจำกัดได้เป็นอย่างดี สอดคล้องกับทิศทางขององค์กร เพื่อก้าวสู่โลกแห่งอนาคตในวิถี New Normal

ทั้งนี้ การพัฒนาอุตสาหกรรมการรักษาพยาบาลอย่างยั่งยืนต้องเดินไปพร้อมกันทั้งองคาพยพ นอกจากบุคลากรแพทย์ เทคโนโลยีใหม่ ๆ เครื่องมือทันสมัย ตลอดจนคุณภาพการให้บริการแล้วนั้น อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือ การสร้างระบบเครือข่ายพันธมิตร เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายฐานลูกค้ากว้างขึ้น ดึงจุดแข็งที่แต่ละองค์กรมี มาแบ่งปันองค์ความรู้ให้กันและกัน ประสานความร่วมมือสร้างการเติบโตไปพร้อมกัน นี่คือหัวใจสำคัญของการสร้างความยั่งยืนในธุรกิจปัจจุบัน

ปิดท้ายด้วย ลิเดีย ศรัณย์รัชต์ ดีน ในฐานะตัวแทนผู้ใช้บริการ แชร์ประสบการณ์ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีระบบทางการแพทย์ที่ดีมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีโรงพยาบาลที่มีคุณภาพ มีการทำงานอย่างมืออาชีพ มีมาตรการการคัดกรองและคัดแยกที่รัดกุม มีแพทย์ที่เก่งและมีความสามารถสูง มีเครื่องมือเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีอุปกรณ์ป้องกันโควิด-19 ที่มีคุณภาพอย่างครบครัน มีการรักษาพยาบาลอย่างมีประสิทธิภาพ ดูแลทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ ซึ่งผู้ป่วยเองก็สามารถเข้าถึงบุคลากรทางการแพทย์ได้ง่าย และยังมีค่ารักษาพยาบาลที่เป็นธรรม จากที่ตนป่วยเป็นโควิด-19 ทำให้รู้สึกเข้าใจแพทย์ พยาบาล และทุกสหวิชาชีพที่ต้องทำงานท่ามกลางสภาวะกดดัน แต่ทุกคนยอมสละเวลาและอุทิศตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวมและเพื่อประเทศชาติ ทำให้รู้สึกศรัทธาในอาชีพ ‘นักรบชุดขาว’ ด้วยใจจริง และขอส่งกำลังใจถึงทุกอาชีพในรั้วโรงพยาบาลทุกคน พร้อมมั่นใจว่าประเทศไทยจะเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ในระดับโลกได้ ไม่เป็นรองใคร

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

-เผย 3 เทรนด์ใหม่ของสถานที่ทำงานยุค New Normal
-Pomelo ตั้งเป้า ผู้นำแพลตฟอร์มเสื้อผ้าแฟชั่นออนไลน์
-เลอโนโว เผยโฉม “แล็ปท็อป-แท็บเล็ต” รุ่นใหม่ พร้อมขายปลายปี
-ททท. จับมืออาลีเพย์และฟลิกกี้ ชวนชาวจีนในไทยเที่ยวไทย

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ