เป็นเวลากว่า 20 ปีของ ธนัตถ์ เตชะธนบัตร ผู้อยู่เบื้องหลังความเสร็จของ โนเกีย ประเทศไทย นับตั้งแต่เข้ามาทำงานตำแหน่งผู้จัดการโครงการที่ประเทศไทยในปี พ.ศ. 2539 จนปัจจุบัน ซึ่งเขาบอกว่าโอกาสที่ได้รับจาก Nokia ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ถือเป็นประสบการณ์ที่หล่อหลอมจนเป็นเขาในทุกวันนี้
วันนี้ในยุคของยุคดิจิทัลดิสรัปชัน เขามองเห็นโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี สู่การนำเสนอสินค้าและบริการเพื่อช่วยผลักดันประเทศให้ก้าวสู่ Thailand 4.0
ธนัตถ์ เตชะธนบัตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โนเกีย ประจำประเทศไทยและกัมพูชา เล่าให้ The Story Thailand ฟังว่าตลอดเวลากว่า 20 ปีที่ได้ร่วมงานกับโนเกีย มีโอกาสได้ทำงานในหลายตำแหน่งทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เริ่มตั้งแต่ปีพ.ศ. 2539 กับตำแหน่งผู้จัดการโครงการที่ประเทศไทย จากนั้นย้ายไปรับตำแหน่งที่รับผิดชอบงานคล้าย ๆ กันที่ประเทศฟิลิปปินส์ และในปี 2543 ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายบริหารงานโครงการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ต้องประจำอยู่ที่สำนักงานที่สิงคโปร์ จากนั้นเดินทางไปประจำอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น
2 ปีถัดมา เขาย้ายกลับไปประจำที่สิงคโปร์เพื่อดูแลบริหารงานศูนย์ช่วยเหลือด้านเทคนิคประจำเขตเอเชียแปซิฟิกและจีน รวมทั้งรับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายบริหารทรัพยากร ดูแลบริหารงานทีมวิศวกรส่วนงาน VAS (บริการเพิ่มมูลค่า) ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ปีพ.ศ. 2549 ถูกย้ายไปประจำที่ประเทศอินโดนีเซีย ดูแลรับผิดชอบ เครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ เป็นที่ปรึกษา ผู้บริหารงานฝ่ายขาย และการขายด้านบริการ จากนั้นเดินทางไปประจำที่ประเทศเวียดนาม รับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ และอีก 2 ปีถัดมาเขาได้เดินทางกลับมายังประเทศไทย เพื่อรับผิดชอบงานในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจประจำภูมิภาคตอนเหนือของเอเชีย ก่อนจะมารับตำแหน่งในปัจจุบันคือกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โนเกีย ประจำประเทศไทยและกัมพูชา
จากคลื่นวิทยุ สู่ดิจิทัล
ตลอดช่วงเวลาที่ธนัตถ์ทำงานให้กับโนเกีย ได้เห็นการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีการสื่อสาร จากเดิมที่ใช้คลื่นวิทยุและเครือข่าย จนถึงการนำเทคโนโลยีดิจิทัล เครือข่ายระบบคลาวด์ และซอฟต์แวร์โซลูชันต่าง ๆ มาใช้ ซึ่งโนเกียเองได้มีการเตรียมพร้อมรับมือกับกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นมาโดยตลอด
“ตลอดเวลาของการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัล เราให้ความสำคัญกับการลงทุนทำวิจัยและพัฒนา เพื่อเสริมสร้างศักยภาพการพัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชัน รวมไปถึงการพัฒนาด้านบุคลากรเพื่อให้สามารถบริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น”
อย่างไรก็ตาม เขามองว่าเทคโนโลยีเป็นแค่ส่วนหนึ่งของความท้าทายที่เกิดขึ้นปัจจุบัน ผู้คนใช้ชีวิตอยู่ในยุคแห่งการดิสรัปชัน หลาย ๆ บริษัทต่างหาแนวทางที่ดีขึ้นและสร้างสรรค์ขึ้น เพื่อสร้างผลกำไรที่เพิ่มขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่ในแง่ของการส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่มีความคุ้มค่า แต่ยังช่วยเปิดโอกาสให้บริษัทสามารถปรับปรุงการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทข้ามชาติอย่างโนเกีย ซึ่งยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจผ่านการนำเสนอโซลูชันและบริการต่าง ๆ ให้กับองค์กรธุรกิจจากทั่วโลก
“เราเชื่อว่าโนเกียมีความมั่นคงพอที่จะก้าวข้ามความท้าทายต่าง ๆ ไปได้ เพราะทุกส่วนของโลกใบนี้เชื่อมต่อถึงกันได้อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งโนเกียก็ได้สร้างสรรค์เทคโนโลยีที่จะมาช่วยขับเคลื่อนความเป็นไปของโลก ในฐานะพันธมิตรที่เชื่อถือได้ของเครือข่ายหลัก มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีผ่านเครือข่ายไร้สาย มีสาย รวมถึงเครือข่ายคลาวด์”
ธนัตถ์บอกว่า ความยากในการบริหารองค์กรโทรคมนาคม ในยุคเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี คือการได้เห็นการพัฒนาที่สำคัญของธุรกิจโทรคมนาคม อย่างการพัฒนาด้านความปลอดภัยเครือข่าย ที่แม้ในยุคแรก ๆ อาจไม่ใช่จุดสนใจหลักของอุตสาหกรรมในวงกว้าง แต่ได้เฝ้าสังเกตการณ์อย่างต่อเรื่อง และกลายเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกในวันนี้ เนื่องจากตลาดทั่วโลกกำลังพยายามผลักดันตัวเองเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้อุตสาหกรรม 4.0 เกิดเร็วยิ่งขึ้น
เขามองว่าปัจจุบัน หน่วยงานภาครัฐและเอกชนมีความจำเป็นต้องทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์ม แม้การพึ่งพาเทคโนโลยีจะทำให้หน่วยงานต่าง ๆ ต้องเผชิญกับอุปสรรคทางดิจิทัลมากมาย
“โนเกียจะแนะนำให้พันธมิตรในหลาย ๆ องค์กรเลือกติดตั้งเครือข่ายพื้นฐานก่อน ซึ่งเป็นหน้าที่เราในการให้คำปรึกษากับหน่วยงานว่าเทรนด์เทคโนโลยีจะเป็นอย่างไร ให้การสนับสนุนอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากเทคโนโลยีใหม่ ๆ พร้อมไปกับการเดินหน้าขยายธุรกิจของพวกเขา”
เทคโนโลยีเพื่อการขับเคลื่อน Thailand 4.0
สำหรับยุทธศาสตร์และแนวทางบริหารประเทศ ธนัตถ์อธิบายว่า ไทยถือเป็นประเทศแรก ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้ใช้เทคโนโลยี 5G เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 เขาเองก็ตั้งตารอที่จะได้ขยายเครือข่ายบริการในตลาดทั้งสองแห่งนี้ รวมทั้งการทำงานอย่างใกล้ชิดกับลูกค้าและผู้เกี่ยวข้องในระบบนิเวศด้านการสื่อสารในท้องถิ่น เพื่อสนับสนุนให้พวกเขาประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนไปสู่ความเป็นดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการพัฒนาเครือข่าย 5G รวมถึงการนำประสบการณ์นั้นมาเป็นพื้นฐานในการขับเคลื่อนเพื่อเข้าสู่ความเป็นดิจิทัลทั่วทั้งภูมิภาค
โนเกียมีความพร้อมที่จะสนับสนุนการเดินหน้าประเทศไทยตามแผนยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 ด้วยการให้บริการเทคโนโลยีล่าสุดด้านเครือข่ายไร้สาย เครือข่ายอินเทอร์เน็ต และเครือข่ายใยแก้วนำแสง (Optical Network) ควบคู่ไปกับโซลูชัน Nokia Fixed Transport (ที่รวมถึงคลาวด์ และบริการเครือข่ายของโนเกีย) เพื่อสนับสนุนการพัฒนาของประเทศภายในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมแห่งอนาคตนี้
NaaS ทรัพยากรที่มีศักยภาพต่อการเติบโตของธุรกิจ
ปัจจุบันโลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยมีปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนคือระบบอัตโนมัติด้านอุตสาหกรรม และระบบดิจิทัลที่ไปเพิ่มความต้องการของผู้บริโภค สำหรับเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพสูงนำมาซึ่งเทรนด์ที่มีผลต่ออินเตอร์เฟสแบบเปิด เวอร์ชวลไลเซชัน และซอฟต์แวร์ Cloud Native
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวิธีการที่บริษัทด้านเทคโนโลยีทั้งหลาย รวมถึงโนเกียจะคิดหาทางออกแบบ ปรับใช้ บริหารจัดการ และจำหน่ายผลิตภัณฑ์และโซลูชัน สำหรับโนเกียเองได้ปรับเปลี่ยนจุดโฟกัสควบคู่ไปกับวิวัฒนาการนี้ ด้วยการพัฒนาศักยภาพองค์กรอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็สร้างจุดยืนให้กับองค์กรเพื่อเป้าหมายของธุรกิจในระยะยาว
“เราเป็นพันธมิตรที่ได้รับความไว้วางใจจากองค์กรต่าง ๆ ในการวางเครือข่ายพื้นฐาน และยังเดินหน้าสรรค์สร้างเทคโนโลยีที่จะช่วยให้ทั้งโลกสามารถเดินหน้าไปด้วยกัน สิ่งที่แตกต่างไปในวันนี้คือ โนเกียกำลังขยายขอบเขตความสนใจไปที่การให้บริการเครือข่ายพื้นฐาน ที่อยู่นอกเหนือจากผู้ให้บริการเครือข่ายเคลื่อนที่ และเพื่อก้าวสู่ความเป็นบริษัทที่มีผลการดำเนินงานโดยวัดจากต้นทุนรวมในการเป็นเจ้าของที่ดีที่สุดในด้านเครือข่ายพื้นฐาน ด้วยการช่วยลูกค้าในการปรับตัวจากการใช้ระบบ Monolithic systems ไปสู่ Silicon, Software และบริการรูปแบบอื่น ๆ อีกมากมาย”
เขาบอกว่า โนเกียยังคงยึดมั่นที่จะประสานนวัตกรรมและความเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีให้ครอบคลุมทั้งเครือข่ายไร้สาย เครือข่ายเชื่อมต่อหลักสำหรับระบบแบบมีสาย และเครือข่ายคลาวด์ ด้วยเหตุนี้บริษัทจึงให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงมูลค่าเพื่อสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ที่สอดคล้องกับการพัฒนาเทคโนโลยี Open Radio Access Network หรือ O-RAN และการส่งมอบบริการ network-as-a-service (NaaS) ซึ่งโนเกียได้นิยามว่าคือทรัพยากรที่มีศักยภาพต่อการเติบโตของธุรกิจในอนาคต
นอกจากนี้ ยังสร้างค่านิยมเรื่องของทรัพย์สินทางปัญญาและการวิจัย นำโดย Nokia Bell Labs ซึ่งได้รับรางวัลด้านการวิจัยและพัฒนา สิ่งนี้จะช่วยโนเกียได้ทั้งในเรื่องเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มการเงินที่จำเป็นต่อความสำเร็จขององค์กรเราในระยะยาว
ทั้งหมดนี้ โนเกียยังคงยึดมั่นในมาตรฐานสูงสุดของความซื่อสัตย์และความปลอดภัย รวมถึงการเพิ่มศักยภาพที่จำเป็นสำหรับยุคที่มีความต้องการในด้านประสิทธิภาพ ความยั่งยืน และความเป็นหนึ่งเดียวกัน
ก่อนก้าวไปสู่ 6G
ข้อมูลจาก ชัยวุฒิ ธนะคณานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม คาดการณ์ว่า ผู้ใช้ 5G ของประเทศไทยจะสูงถึง 70 ล้านรายภายในปี 2570 คิดเป็น 73% ของจํานวนผู้ใช้บริการมือถือทั้งหมด และภายในปี 2568 30% ของปริมาณการใช้งานมือถือของประเทศไทยจะผ่านเครือข่าย 5G เทียบกับ 23% ของเครือข่าย 5G ทั้งหมดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศแรก ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ใช้ 5G ประเทศไทยจึงมีความก้าวหน้าอย่างมาก อย่างไรก็ตาม การใช้ 5G ของประเทศไทยยังถือว่าช้ากว่าอีกหลาย ๆ ประเทศ เช่น เกาหลีใต้ เป็นต้น
“การก้าวสู่ยุค 6G อย่างสมบูรณ์ มีหลายสิ่งที่ประเทศไทยจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน โดยการสนับสนุนให้เกิดการใช้ 5G อาจต้องแก้ไขกฎข้อบังคับเพื่อช่วยสนับสนุนการพัฒนาของสถานีฐาน 5G ที่มีอยู่หลายหมื่น และการแชร์เครือข่ายอาจเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการขยายความครอบคลุมของ 5G ให้ได้รวดเร็ว”
ไทยเป็นประเทศแรก ๆ ที่ใช้ 5G เชิงพาณิชย์
ถือเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นในการอยู่ในธุรกิจนี้ ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกำลังจะกลายเป็นภูมิภาค 5G ที่ใหญ่ที่สุดในโลกภายในปี 2568 นำโดยตลาดที่บุกเบิกด้าน 5G อย่าง ออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ในความเป็นจริง ผู้ให้บริการเครือข่ายในเอเชียแปซิฟิกคาดว่าจะมีการลงทุนมากกว่า 400 พันล้านเหรียญสหรัฐในเครือข่ายของตนภายในปี 2568 ซึ่งมากกว่า 80% จะถูกใช้สำหรับการติดตั้งใช้งาน 5G
สิ่งที่ทําให้ธนัตถ์ตื่นเต้นที่สุด คือความหลากหลายและเอกลักษณ์ของตลาดแต่ละที่ ตลาดแต่ละแห่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ในทางกลับกัน มีประเทศอย่างเกาหลีใต้ที่มีโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายที่เจริญเต็มที่พร้อมด้วยผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่มากกว่า 70 ล้านราย หรืออย่างประเทศมาเลเซียและเวียดนาม ที่ยังอยู่ในจุดของการเปลี่ยนแปลงด้านนวัตกรรมที่มีความท้าทายและโอกาสที่มีความเฉพาะตัว
“ไทยเป็นประเทศแรก ๆ ในภูมิภาคที่ปรับใช้เทคโนโลยี 5G เชิงพาณิชย์ หลายพื้นที่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) นําเทคโนโลยีนี้มาใช้เช่นกัน 5G เป็นสิ่งจำเป็นในการขับเคลื่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สี่ เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยบรรลุ วิสัยทัศน์ “Thailand 4.0” ซึ่งมุ่งเป้าไปที่การเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นดิจิทัลเพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านของประเทศสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
นวัตกรรมประหยัดพลังงาน
อย่างไรก็ตาม ธนัตถ์บอกว่ามีแนวโน้มที่ไทยควรให้สำคัญ 3 ประการ คือ 1. โมเดลการแชร์เครือข่าย – ซึ่งกำลังเกิดขึ้นเพื่อรับมือกับค่าใช้จ่ายของต้นทุนเครือข่ายที่เพิ่มสูงขึ้น ในปัจจุบันโนเกียมองเห็นความร่วมมือของผู้ให้บริการต่าง ๆ ในการทำโครงการมากมาย เช่น ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ 3 รายในเกาหลีใต้ลงนามในข้อตกลงเพื่อให้ผู้ใช้ 5G สามารถเข้าถึงเครือข่าย 5G ได้ทุกที่ไม่ว่าจะบนเครือข่ายใดในกว่า 131 พื้นที่ห่างไกลทั่วเกาหลีใต้ ประเทศญี่ปุ่น โนเกียได้ปรับใช้เครือข่าย 5G ร่วมกับ Softbank และ KDDI และสำหรับประเทศไทย ผู้ประกอบการธุรกิจด้านนี้ยืนยันในข้อตกลงร่วมกันอย่างเต็มที่ในด้าน 5G ในประเทศไทย เนื่องด้วยมันจะเป็นมากกว่าการเชื่อมต่อ และการเพิ่มผลผลิตทางธุรกิจ รวมทั้งการนำไปใช้งานในกรณีต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงบริการนวัตกรรมสำหรับประชาชนทั่วไปได้
2) บริการเครือข่าย – IDC คาดการณ์ว่า ภายในปี 2568 การใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายขององค์กรทั่วโลกจะสูงถึง 45 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งประมาณ 1 ใน 3 หรือ 15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จะเกี่ยวข้องกับ NaaS หากไม่เพียงพอต่อการพิจารณาของ CSP อาจช่วยให้เข้าใจได้ว่าเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามในองค์กรด้านไอทีในการสํารวจล่าสุดของโนเกีย กล่าวว่า บริษัทของพวกเขามีแผนที่จะ “มุ่งสู่ NaaS” เรียบร้อย
3) เครือข่ายที่ยั่งยืน – โนเกียจำเป็นต้องใช้วิธีประหยัดพลังงานมากขึ้นเพื่ออัปเกรดโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย ซึ่งหมายถึงนวัตกรรมที่ประหยัดพลังงานมากขึ้นเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ตามที่ซีอีโอของโนเกียได้กล่าวไว้ในงาน Climate Change Conference (COP26) ไว้ว่า “เศรษฐกิจสีเขียวจะเกิดขึ้นไม่ได้โดยปราศจากดิจิทัล” ปัจจุบันมีเพียง 30% ของเศรษฐกิจโลกที่เป็นดิจิทัล ซึ่งเราต้องร่วมมือกันเพื่อเชื่อมต่อ 70% ที่เหลือเพื่อให้แน่ใจว่าโลกของเราสามารถก้าวถึงจุด “เน็ต ซีโร” คือการไม่ปล่อยก๊าซที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนในบรรยากาศได้อีก ซึ่ง 5G และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องมีบทบาทที่สำคัญในการทำให้อุตสาหกรรมอื่น ๆ มีความยั่งยืนเพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกัน อุตสาหกรรม ICT จําเป็นต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และเร่งการใช้ไฟฟ้าสีเขียว
นอกจากนี้ เราเตอร์ FP5 ซิลิคอน IP รุ่นใหม่ของโนเกียยังสามารถให้ความจุได้มากถึง 3 เท่า ขณะที่ช่วยลดการสิ้นเปลืองพลังงานต่อบิตได้มากถึง 75% เทียบกับรุ่นก่อน ซึ่งจะช่วยลดคาร์บอนฟุต พริ้นท์ได้ทั้งในส่วนของโนเกียและลูกค้าของเรา อีกทั้งยังช่วยให้ลูกค้าจัดการค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานได้ด้วย
ความแตกต่างระหว่าง 5G และ 6G
ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีการสื่อสารยุคใด จุดสำคัญคือการเปลี่ยนแปลงเครือข่าย ในยุค 2G และ 3G จุดศูนย์กลางอยู่ที่การสื่อสารระหว่างมนุษย์ผ่านเสียงและข้อความ ยุค 4G มีการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานไปสู่การใช้ข้อมูลปริมาณมหาศาล เช่นเดียวกับในยุค 5G ที่เน้นความสำคัญที่การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) และระบบอัตโนมัติทางอุตสาหกรรม
สำหรับในยุค 6G โลกดิจิทัล โลกกายภาพ และมนุษย์ จะถูกหลอมรวมกันเพื่อมอบประสบการณ์ใหม่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ระบบความรู้อัจฉริยะจะถูกรวมเข้ากับความสามารถในการคํานวณที่มีประสิทธิ ภาพสูง เพื่อเพิ่มศักยภาพของมนุษย์ที่จะทำให้มนุษย์เรามีความสามารถที่ไร้ขีดจำกัด และยังช่วยนิยามรูปแบบใหม่ในการใช้ชีวิต การทำงาน และการดูแลโลกใบนี้
“การปรับปรุงพัฒนาทุก ๆ อย่างเกี่ยวกับการเชื่อมต่อเครือข่ายที่ 5G นำไปสู้ผู้ใช้จะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วย 6G ไม่ว่าจะเป็นเมืองอัจฉริยะ ฟาร์มหรือโรงงานอัจริยะ และหุ่นยนต์ 6G จะช่วยเสริมให้สิ่งนั้นสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ซึ่งจำนวนไม่น้อยที่ได้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G ขั้นสูง ซึ่งเป็นอีกขั้นของการพัฒนา 5G ที่มีประสิทธิภาพและเพิ่มขีดความสามารถ และมอบประสบการณ์การใช้งานให้กับผู้ใช้ยิ่งขึ้น”
หากมองย้อนกลับไป จะเห็นได้ชัดว่าแต่ละยุคนั้นได้ปรับกรณีการใช้งานของยุคก่อนหน้าให้เหมาะสมและได้นำเสนอรูปแบบการใช้งานใหม่ ๆ สิ่งนี้จะดำเนินต่อไป โดย 6G จะสร้างบนพื้นฐานของ 5G บนเทคโนโลยีและการใช้งานในด้านต่าง ๆ การผลักดันการใช้งานที่เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนเพื่อส่งเสริมการใช้งาน ในขณะเดียวกัน 6G จะทำให้เกิดรูปแบบการใช้งานใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น
6G เครือข่ายเพื่อความยั่งยืน
ธนัตถ์มองว่า 6G ช่วยส่งเสริมความยั่งยืนได้หลายวิธี โดยการเชื่อมต่อที่รวดเร็วและต้นทุนต่อบิตที่ต่ำลง ทำให้สามารถรองรับการเก็บรวบรวมข้อมูล และการควบคุมแบบปิดของอุปกรณ์จำนวนมากได้ ข้อมูลถูกวิเคราะห์ได้ด้วยเครื่องมือที่มีความก้าวหน้าที่เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เทคโนโลยีการประชุมทางไกลเสมือนจริงแบบมิติสัมผัสที่หลากหลาย (multi-sensory telepresence) ที่ถูกสร้างด้วยจำนวนข้อมูลมหาศาล จะช่วยลดความจำเป็นในการเดินทางผ่านการนำเสนอที่เสมือนจริงหลากลายรูปแบบและ ทํางานร่วมกันจากระยะไกล
นอกจากนี้ 6G จะช่วยให้ใช้พลังงานได้อย่างคุ้มค่ายิ่งขึ้น ด้วยการลดการใช้งานอุปกรณ์บางอย่างตามความต้องการใช้งานที่ลดลง การใช้พลังงานที่คุ้มค่าจะเป็นเกณฑ์ในการออกแบบที่สำคัญสำหรับ 6G ควบคู่ไปกับตัวชี้วัดอื่น ๆ เช่น ความจุ อัตราข้อมูลสูงสุด เวลาแฝงและความน่าเชื่อถือ ประสิทธิภาพการใช้พลังงานจะกลายเป็นเกณฑ์การออกแบบที่สำคัญสำหรับ 6G ควบคู่ไปกับตัวชี้วัดอื่น ๆ เช่น ความสามารถ อัตราการส่งข้อมูลสูงสุด ความเร็ว และความน่าไว้วางใจ
ลูกค้าของโนเกีย
โนเกียได้รับเลือกจากดีแทค (Dtac) ให้ร่วมเป็นพันธมิตร 5G RAN รายแรกในข้อตกลงความร่วมมือระยะเวลา 3 ปี ครอบคลุมพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ความร่วมมือในครั้งนี้ โนเกียจะมีบทบาทสําคัญในการสร้างความมั่นใจว่าประสิทธิภาพเครือข่ายของดีแทคสามารถรองรับ 5G ได้อย่างเต็มที่ และสามารถเปิดใช้บริการ 5G ใหม่ได้เร็วขึ้นเมื่อความต้องการเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ โนเกียยังประสบความสำเร็จในข้อตกลงด้านเครือข่าย IP/MPLS กับผู้ให้บริการด้านไลฟ์สไตล์ดิจิทัลชั้นนำของประเทศไทยอย่างกลุ่มบริษัททรู (True Corporation) โดยโซลูชันของโนเกียถูกนำไปใช้ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกของประเทศซึ่งมีความสำคัญในฐานะพื้นที่เขตพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรืออีอีซี ด้วยการเปิดการใช้งาน 5G ขนาดใหญ่ที่มีการออกแบบการใช้งานตามความต้องการเฉพาะสำหรับปริมาณงาน (throughput) ความเร็ว (latency) และความเชื่อถือได้ (reliability)
โนเกีย ดำเนินกิจการในประเทศไทยมากว่า 30 ปี นำเสนอบริการเครือข่าย 2G, 3G และ 4G และในตอนนี้กับการบริการเชื่อมต่อด้วย 5G ที่จะช่วยสนับสนุนความพยายามในการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ความเป็นดิจิทัลของประเทศที่นับเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์เศรษฐกิจ “Thailand 4.0” ของประเทศ ขณะที่บริษัทยังเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2565
“สิ่งสำคัญในการทำงานของเราคือการเป็นพันธมิตรที่น่าเชื่อถือให้กับเครือข่ายที่มีความสำคัญให้กับลูกค้า เพื่อผลักดันการเติบโตในส่วนของคู่ค้าแนวดิ่งที่สำคัญ (key vertical) อย่างเช่น ภาคการผลิต การขนส่ง องค์กรธุรกิจ และเมืองอัจฉริยะต่าง ๆ โดยโนเกียยังคงเดินหน้าให้บริการ 5G ที่จะช่วยส่งเสริมการเติบโต ความเจริญก้าวหน้า และโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยและประชากรของประเทศต่อไป”
เดินหน้าสู่ธุรกิจ NaaS ที่มีมูลค่าสูงขึ้น
เมื่อถามถึงการปรับตัวในยุค ICT และ Data ธนัตถ์กล่าวว่า ความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่โนเกียให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก นอกจากการเพิ่มฐานลูกค้าในปัจจุบัน ที่ประกอบด้วยผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สายเคลื่อนที่ และองค์กรธุรกิจต่าง ๆ เพื่อนำเสนอแพลตฟอร์มที่มั่นคงที่สามารถก่อให้เกิดประโยชน์และมูลค่า โนเกียยังมองเห็นโอกาสระยะยาวที่จะเดินหน้าเข้าสู่โมเดลธุรกิจ NaaS ที่มีมูลค่าสูงขึ้น และการขยายธุรกิจโดยใช้แนวคิดเชิงกลยุทธ์หลักด้วยการใช้วิธีการแบบครบวงจรตามความต้องการของลูกค้า โดยกลุ่มธุรกิจแต่ละกลุ่มของบริษัทจะมีบทบาทที่ชัดเจนต่อกลยุทธ์โดยรวมของเรา
ท้ายที่สุด ในยุคที่ถูกขับเคลื่อนด้วย ICT และ Data โนเกียจะดำเนินธุรกิจให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า ในฐานะพันธมิตรที่ได้รับความไว้วางใจด้านเครือข่ายพื้นฐาน โนเกียได้เตรียมการที่จะสร้างสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นและมีคุณค่ากับลูกค้าด้วยการส่งมอบเทคโนโลยีที่ดีที่สุด และคิดค้นพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อปูทางสู่อนาคตให้กับธุรกิจต่อไป
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
เป้าหมาย “ท๊อป จิรายุส” Bitkub ไม่ใช่แค่ Good company แต่เป็น Great company
ถอดรหัส “ไผท ผดุงถิ่น” ซีอีโอ สตาร์ตอัพรุ่นบุกเบิก Builk One Group เป็น “แมลงสาบ” ไม่ใช่ “ยูนิคอร์น”
“นึกถึงอสังหาฯ นึกถึง DDproperty” มิชชันของ ‘กมลภัทร แสวงกิจ’