TH | EN
TH | EN
หน้าแรกBusiness2 ปี GWM ในประเทศไทย กับก้าวต่อไปในปี 2023

2 ปี GWM ในประเทศไทย กับก้าวต่อไปในปี 2023

เส้นทาง 2 ปีในประเทศไทยของบริษัทยานยนต์สัญญชาติจีนนาม GWM ที่ปูพรมสินค้าและระบบนิเวศทางธุรกิจตลอด 18 เดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้ GWM เป็นหนึ่งในแบรนด์รถยนต์ที่ผู้บริโภคให้การตอบรับมากที่สุดแบรนด์หนึ่ง สะท้อนจากยอดขายรวมเกือบ 16,000 คันในการทำตลาด 1 ปีครึ่งที่ผ่านมมา

ด้วยมิชชันที่ต้องการประสบการณ์ใหม่ผ่านรูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ ในไทย หนึ่งในพันธกิจ คือ การเปิดตัวรถเข้าสู่ตลาดประเทศไทย 9 รุ่นใน 3 ปี เพียง 2 ปี GWM ได้เปิดตัวรถ 5 รุ่น ภายใต้ 2 แบรนด์ คือ HAVAL และ ORA ได้แก่ HAVAL H6, ORA GOOD CAT, HAVAL JOLION ในปี 2021 ตามด้วย ORA GOOD CAT GT และ All New HAVAL H6 Plug-in Hybrid SUV ในปี 2022

ปี 2022 เป็นปีที่ GWM มียอดขายรวม 11,616 คัน แบ่งเป็น ORA GOOD CAT 4,326 คัน ทำให้ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า HAVAL H6 4,135 คัน (เป็นอันดับหนึ่งในยอดขายรถยนต์ SUV-C) และ HAVAL JOLION 3,155 คัน

ณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “เป็นตัวเลขการขายที่พึงพอใจ แต่ตัวเลขยอดขาย ORA GOOD CAT ปิดรับของตั้งแต่เมษายน 2022 ขายจริงแค่ 4 เดือน หากเรามีรถ เราน่าจะขายได้อีก 4,000-5,000 คัน ตัวเลขยอดขายปีที่แล้วสะท้อนภาวะตลาด ภาวะซัพพลายในตลาด และแบตเตอรี่ ศักยภาพจริงอาจจะไปได้ไกลกว่านี้” 

ณรงค์ กล่าวว่า ตัวเลขยอดขายสำหรับ 3 ปีแรก แม้ไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดของการเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยในช่วงแรก สำหรับปี 2023 นี้ GWM ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ไม่ต่ำกว่า 18,000 คัน (เติบโตจากปี 2022 ที่มี 11,616 คันราว 50%) 

ปี 2023 คาดว่าอุตสาหกรรมโดยรวมจะเติบโต 7% จาก 850,000 คัน เป็น 920,000 คัน ที่น่าสนใจคือ ตลาด xEV (รวม HEV, PHEV และ BEV) ปีนี้คาดว่าจะโต 70% แตะที่ 164,500 คัน จาก ปีที่แล้วราว 90,000-100,000 คัน เป็นเซ็กเมนต์ตลาดที่ GWM ให้ความสำคัญ เพราะเป็นเซ็กเมนต์ตลาดที่มีการเติบโตสูง คนไทยให้ความสำคัญกับรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น ประกอบกับภาพรวมการกลับมาของภาคอุตสาหกรรม และการเลือกตั้ง จะกระตุ้นการใช้จ่าย รวมถึงการสนับสนุนด้านการเงิน และการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ จะทำให้ยอดขายของ GWM ในปีนี้เติบโต 50% เป็นไปได้อย่างแน่นอน 

“ในตลาด xEV ราว 25% จะเป็นรถไฟฟ้า 100% (BEV) หรือประมาณ 40,000 คัน ซึ่งจากตัวเลขที่เราเก็บ พบว่าตัวเลขยอดขาย BEV ในไทยปีที่แล้วมี 16,000 คัน (จดทะเบียนแล้วเกืบ 10,000 คัน) โตเกือบ 600% จากปีก่อนหน้า จากข้อมูลตลาดที่เรามี เรามั่นใจว่าตลาด BEV ในไทนปีนี้จะโตราว 150% จาก 16,000 คัน เป็น 40,000 คัน ซึ่งตลาดนี้เป็นตลาดที่ GWM เราถนัด และมีรถในเซ็กเมนต์นี้ และจะทำให้เราสามารถสร้างยอดขายรวมที่ 18,000 คันได้” 

ด้านเครือข่ายช่องทางการจำหน่าย ปัจจุบัน GWM มีจำนวนร้านที่ได้รับการแต่งตั้งแล้วทั้งหมด 80 แห่ง เปิดให้บริการแล้ว 62 แห่ง กำลังจะเปิดอีก 18 แห่งในครึ่งปีแรกของปี 2023 นี้ จำนวนทั้งหมดนี้ครอบคุลมพื้นที่ 82% ในประเทศไทย

สถานีชาร์จ ปัจจุบัน GWM มี 55 สถานีชาร์จ และมุ่งพัฒนาให้ GWM เป็น super app ด้านการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าในการค้นหาและเข้าถึงสถานีชาร์จทั่วประเทศไทย ในแอป GWM ครอบคลุมจำนวนสถานีชาร์จราว 80% ของสถานีชาร์จที่มีอยู่ในประเทศไทย หรือคิดเป็นประมาณ​ 800 สถานี กำลังทำ API หลังบ้าน ในอนาคตจะสามารถให้ผู้ใช้กดจองและชำระเงินผ่านแอป GWM ได้ 

สรุปภาพรวมปี 2022 ของ GWM คือ มีจำนวน Fan Club 1.1 ล้านคน ด้วยแนวคิดของ GWM ที่ไม่ได้มองตัวเองเป็นแค่ธุรกิจรถยนต์แต่เป็น tech company จึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาแอปพลิเคชัน เพราะเชื่อว่าแอปคือกระดูกสันหลังที่จะทำให้เข้าถึงลูกค้าได้เร็วขึ้น ง่ายขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในปี 2022 ที่ผ่านมาจำนวนผู้ใช้เติบโตเร็วมากจากหลักหมื่นในปีแรกเป็นเกือบ 130,000 คน ในปี 2022 ที่ผ่านมา ที่น่าสนใจคือจำนวนผู้ใช้ประจำต่อวันมีสัดส่วน 12% หรือประมาณ 10,000 กว่าคนทุกวัน และตัวเลขยอดขายตั้งแต่เปิดแบรนด์ GWM ในประเทศไทย มีเกือบ 16,000 คัน (เปิดแบรนด์ 2 ปี แต่เริ่มขายจริง 1.5 ปี)

GWM ได้เคยประกาศแผน 5 ปี (2021-2025) ว่าจะลงทุนรวมกันทั้งหมดในประเทศไทย 22,600 ล้านบาท ได้แก่ แผนปรับปรุงโรงงาน การขึ้นสายการผลิต รถยนต์ไฟฟ้า ปัจจุบันได้ลงทุนไปแล้ว ราว 12,000 ล้านบาท ซึ่งยังอยู่ในเฟสแรกของการลงทุน ซึ่งในอนาคตหากมีโอกาสที่จะขยายไปตลาดต่างประเทศหรืออาเซียน GWM พิจารณาว่าอาจจะมีการลงทุนเพิ่ม 

สำหรับตลาดในภูมิภาคอาเซียน GWM เข้าไปทำตลาด 5 ประเทศ คือ ประเทศไทย เมียนมา ลาว บรูไน และมาเลเซีย (ที่เพิ่งเข้าไปเปิดออฟฟิศเมื่อกันยายน 2022) ในปี 2023 จะบุกอีก 3 ตลาด คือ สิงคโปร์ เวียดนาม และฟิลิปินส์ 

กลยุทธ์ GWM ปี 2023

กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปี 2023 กำหนดไว้ 4 ด้าน คือ กลยุทธ์ด้านการสร้างแบรนด์ กลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ กลยุทธ์ด้านการขาย และกลยุทธ์ด้านบริการหลังการขาย

กลยุทธ์ด้านการสร้างแบรนด์ คือ จะผลักดัน GWM ให้เป็นแบรนด์ระดับโลก ภายใต้ ONE GWM จากเดิมที่บุกหลายตลาดด้วยรถที่หลากหลาย อาทิ รถยนต์พลังงานน้ำมันล้วน รถยนต์พลังงานไฟฟ้า และรถยนต์พลังงานใหม่ และตำแหน่งทางการตลาดของแบรนด์ GWM ในแต่ละตลาดมีความแตกต่างกัน การที่จะขึ้นมาเป็น Global Brand การกำหนดตำแหน่งทางการตลาดของ GWM ต้องมีความชัดเจนมากขึ้น จะมีการใช้สื่อและสนับสนุนงานอีเวนต์ขนาดใหญ่ระดับโลก เพื่อเน้นภาพลักษณ์การเป็นแบรนด์ระดับโลก

จะเน้นการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีอัจฉริยะ จะมีการจัดสัมมนาด้านเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น อาทิ จัด Battery Day ในประเทศไทย เป็นต้น จะจับมือกับพันธมิตรสร้างไลฟ์สไตล์แบรนด์ร่วมกัน และสร้างการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ ซึ่งตลอด 2 ปีที่ผ่านมาได้ทำมาโดยตลอด

GWM ผนึกพันธมิตรนานาชาติ วางแผนกลยุทธ์เจาะตลาดโลก ชูศักยภาพ ตอกย้ำความเป็นผู้นำยานยนต์ไฟฟ้า

กลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ GWM จะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มอีก 5 รุ่น โดยจะเปิดเพิ่มอีก 1 แบรนด์ คือ แบรนด์​ TANK ซึ่งแม้เป็นแบรนด์น้องใหม่ในตลาดประเทศไทย แต่เป็นแบรนด์เรือธงของ GWM โดย 5 รุ่นที่จะเปิดในปี 2023 นี้ คือ TANK 500 TANK 300 และ ORA GRAND CAT ส่วนอีก 2 รุ่นยังไม่เปิดเผย 

“หมายมั่นให้ TANK 500 จับตลาดพรีเมียมออฟโรด เป็น mass premium ที่คนเข้าถึงได้ ด้วยเทคโนโลยีจัดเต็ม  ส่วน TANK 300 จะมาเปิดตลาดใหม่ สร้างเซ็กเมนต์ extreme off-road SUV ในไทยให้ชัดเจน ส่วน ORA GRAND CAT จะมาสร้างเซ็กเสนต์ใหม่ในตลาด BEV”

กลยุทธ์ด้านการขาย ในปีนี้ GWM จะเพิ่ม partner store อีกอย่างน้อย 100 แห่งภายในสิ้นปี 2023 นี้ สำหรับสถานีชาร์จจะทยอยเปิดให้ครบ 55 แห่ง ในจำนวนนี้ราว 8 แห่งอยู่ในกรุงเทพ ที่เหลือจะอยู่บนถนนเส้นหลักไปแต่ละภาค ซึ่งแผนนี้อาจจะมีการปรับเปลี่ยนในระหว่างทาง หาก GWM มีความร่วมมือกับภาครัฐที่มากขึ้นในปีนี้ 

สำหรับสถานีชาร์จทั้งหมดที่ GWM ลงทุนร่วมกับพันธมิตรจะเป็น DC Fast Charge ขนาด 120 กิโลวัตต์ ชาร์จได้ 2 คันพร้อมกัน เปิดบริการ 24 ชั่วโมง ตลอด 7 วัน เปิดให้บริการกับรถยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่นและทุกแบรนด์ แต่ต้องจองและใช้บริการผ่านแอป GWM  

นอกจากนี้ GWM จะรุกตลาด fleet มากขึ้น ปี 2022 GWM เริ่มคุยกับลูกค้า fleet และมียอดขายผ่านช่องทางนี้ราว 200 กว่าคัน เป็นลูกค้าในตลาดรรถเช่าค่อนข้างมาก ในปี 2023 GWM จะมีความชัดเจนในนโยบายการทำตลาดผ่านช่องทาง fleet มากขึ้น นอกจากตลาดรถเช่า GWM จะเข้าสู่ตลาดองค์กรขนาดใหญ่และเอสเอ็มอี และจะมีบริการ fleet สำหรับอาชีพพิเศษ อาทิ แพทย์ ​ข้าราชการ และผู้พิพากษา โดยจะทำราคาพิเศษ

“เราเพิ่งส่งมอบ HAVAL JOLION ให้กับ Chic Car Rent จำนวน 20 คัน รถเราตอบโจทย์ ทั้งขนาดและเทคโนโลยี ด้วยราคาเช่าน่าสนใจ ราคาเช่าไม่ถึง 2,000 บาทต่อวัน”

เปิดธุรกิจตลาดรถมือสอง 

การสร้างแบรนด์ที่สำคัญ ต้องคำนึงถึง Resell Value ระยะยาว GWM ได้เปิดตัวธุรกิจรถใช้แล้วภายใต้ชื่อ GWM CERTIFIED PRE-OWNED เป็นการสนับสนุนการขาย การซื้อ และการประเมินราคารถใช้แล้ว ซึ่ง GWM มีฐานข้อมูลรถใช้แล้ว ให้ลูกค้าเข้ามาดูราคาประเมินได้ เข้ามาตั้งราคาขาย หรือเข้ามาเลือกซื้อรถยนต์ที่เป็นรถใช้แล้วภายใต้โครงการ GWM CERTIFIED PRe-OWNED ได้ 

รถมือสองของ GWM แตกต่างกว่าแบรนด์อื่น คือ การตรวจสภาพรถ 219 จุดตามมาตรฐาน GWM CERTIFIED ถือว่าสูงกว่ามาตรฐานรถใช้แล้วทั่วไป ลูกค้าซื้อรถมือสองของ GWM จะได้รับประกันเพิ่มอีก 2 ปีหรือ 40,000 กิโลเมตร จะขยายแพจเกจบำรุงรักษา (GPSI – GWM PRO Service Inclusive) ให้อีก 1 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร เป็นต้น 

GWM ร่วมกับ วิทยาลัยเทคนิคชลบุรี เปิดศูนย์การเรียนรู้เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า

“เราจะเข้ามาเติมเต็มและสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าในการซื้อ รถมือสองของ GWM ภายใต้ GWM CERTIFIED PRE-OWNED เป้ายอดขายรถมือสองวางไว้เพียงเดือนละ 1,000 คัน ที่เรามาทำรถมือสอง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับแบรนด์ และรักษา Resell Value เพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุด” 

รถมือสองล็อตแรกจะมาจากรถที่พันธมิตรใช้ทำกิจกรรม เป็นที่มีการใช้น้อย ดูแลดี ทำให้ลูกค้าได้รับรถมือสองคุณภาพดี ตามแผนคือ รถมือสองของ GWM จะอยู่ในโชว์รูมทั้ง 80 แห่ง แต่จะทยอยเปิด ซึ่ง ณ ปัจจุบันเปิดช่องทางออนไลน์บนเว็บไซต์เพื่อให้ลูกค้าหาข้อมูลรถมือสอง GWM ซึ่งจะสามารถเช็กได้ว่ารถคันนั้นอยู่ที่โชว์รูมไหน

กลยุทธ์ด้านบริการหลังการขาย GWM เน้น 3 ด้าน คือ ให้ลูกค้าคลายกังวล สะดวกสบาย และให้บริการประสบการณ์ดิจิทัล ตลอดเวลาที่เริ่มธุรกิจในไทย GWM สร้างพื้นฐานธุรกิจด้าน worry free ด้วยการเป็นแบรนด์แรกที่เปิดตัวรถด้วย warrantee 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร สร้างความพร้อมด้านอะไหล่ มีบริการ EV มี Battery Rapid Team และมีการให้บริการนอกสถานที่ หรือบริการรับรถเข้าศูนย์บริการ (pick up delivery) โดยจะเพิ่ม digital service อาทิ online booking การติดตามสถานะการซ่อม รวมถึงการชำระเงินผ่านดิจิทัล มีการอัปเกรดแอปด้านการบริการทั้งการนัดหมาย การอนุมัติใบสั่งซ่อมออนไลน์ ประวัติการซ่อมและการชำระเงิน 

ด้านอะไหล่ ได้เพิ่มขีดความสามารถในการจัดส่งอะไหล่ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล GWM สามารถส่งอะไหล่ได้ภายใน 3 ชั่วโมง ในต่างจังหวัดได้รับในวันรุ่งขึ้น มีการเเพิ่มรอบการส่งอะไหล่ และมีการขยายพื้นที่การจัดเก็บอะไหล่เพิ่มอีกกว่า 3,000 รายการ เพื่อรองรับการเปิดตัวรถยนต์ที่เพิ่มมากขึ้นในปีนี้ มีการลดการนำเข้าอะไหล่จากต่างประเทศ มีการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศมากขึ้น เพื่อให้ชิ้นส่วนรถยนต์ถึงมือลูกค้าได้เร็วมากขึ้น 

ด้วยแผนกลยุทธ์ทั้งหมดนี้ทำให้ GWM มั่นใจว่าจะสามารถขึ้นเป็น global brand ในใจคนไทยได้อย่างแน่นอน

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ