TH | EN
TH | EN
spot_imgspot_imgspot_img
หน้าแรกColumnistจุดตาย “ดิจิทัล วอลเล็ต”

จุดตาย “ดิจิทัล วอลเล็ต”

ผิดความคาดหมายพอสมควร เรียกว่าพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือสำหรับโครงการดิจิทัล วอลเล็ตของ หากจำได้เมื่อคราวหาเสียงเลือกตั้งกลางปีที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยใช้นโยบายแจกเงิน 1 หมื่นบาทผ่าน “ดิจิทัล วอลเล็ตทุกคน” เป็นเรือธงของพรรคหวังจะเป็นไม้เด็ดแลนด์สไลด์

ตอนนั้นเพื่อไทยแจกแบบปูพรม คนไทยทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปอยู่ในข่ายได้สิทธิ์ 56 ล้านคน หรือ 85% ของประชากรทั้งหมด ใช้เงินทั้งสิ้น 5.6 แสนล้านบาท เป็นการแจกเงินก้อนใหญ่ที่สุดที่แจกครั้งเดียวจบโดยกำหนดให้ใช้กับสินค้าในชุมชนในรัศมี 4 กิโลเมตรเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน

ที่สำคัญจะไม่ใช้ผ่านแอปเป๋าตังค์ที่มีอยู่แล้ว แต่จะนำเทคโนโลยี “บล็อกเชน” มาใช้แทนเพื่อวางรากฐานระบบดิจิทัลและต้องใช้จ่ายภายใน 6 เดือน เพื่อให้เกิด “พายุหมุนเศรษฐกิจ” ที่พรรคเพื่อไทยเชื่อว่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยโตอย่างก้าวกระโดดหลังจาก GDP ตลอด 10 ปีเฉลี่ยแค่ 1.8% เท่านั้น

กะว่ายิงนักเดียวได้นก 2 ตัว ทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนและวางพื้นฐานระบบดิจิทัล

เจตนารมณ์เดิมตอนหาเสียงนั้นเงินดิจิทัล ไม่ใช่เงินสดที่ใส่ลงไป แต่เป็น “เครดิต” เป็นตัวเลขที่โอนกันตอนซื้อของจากร้านค้าในชุมชน เมื่อผู้ซื้อกับผู้ขายทำธุรกรรมกันแล้ว ร้านค้าก็ขึ้นเป็นเงิน และเมื่อเกิดการซื้อขายแล้วก็ต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มจะเป็นรายได้เข้ารัฐ ซึ่งรายได้ส่วนหนึ่งจะมาชดเชยวงเงินที่ตั้งไว้

นอกจากนี้ พรรคเพื่อไทยฝันหวานว่าเม็ดเงินจำนวนดังกล่าวจะเกิดการหมุนเวียนแบบทวีคูณ 6 รอบกระตุ้นให้เศรษฐกิจโต 3 ล้านล้านบาท หรือ 2.5% ของ GDP รวมกับ GDP ที่โตตามปกติอยู่แล้ว 2.5-3% ก็จะได้ GDP ไม่ต่ำกว่า 5% ยังหวังอีกว่าเมื่อเศรษฐกิจโตกำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่มีแค่ 60% ก็จะขยายการผลิตเพิ่มขึ้น จะทำให้มีรายได้จากภาษีนิติบุคคลเพิ่มขึ้นตาม

เมื่อนำรายได้ที่ได้มาหักกลบลบกันกับเงินที่แจกตัวเลขจะใกล้เคียงกัน ท้ายที่สุดรัฐอาจจะไม่ต้องใช้เงินใหม่เลยก็เป็นได้ ตรงนี้แหละ ที่นายกฯ เศรษฐามั่นอกมั่นใจถึงขั้นประกาศว่าไม่ต้องกู้เงิน กระทั่งในการยื่นรายละเอียดนโยบายหาเสียงกับกกต. ก็ระบุว่าจะใช้เงินงบประมาณและจากการบริหารจัดการ

นั่นคือหนังม้วนเก่า แต่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา นายกฯ เศรษฐาแถลงกลับกลายเป็นหนังคนละม้วนตรงกันข้ามกับนโยบายเดิมอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่แถลงออกไปมีเงื่อนไขยุบยับไปหมด คนที่ได้สิทธิ์ให้เฉพาะคนที่มีรายได้ 70,000 บาทลงมา และคนที่มีบัญชีเงินฝากต่ำกว่า 500,000 บาท ทำให้คนที่ได้รับสิทธิ์เหลือ 50 ล้านคน หายไป 6 ล้านคน

เดิมยืนยันว่าจะไม่มีการกู้เงิน ล่าสุดยอมรับแล้วว่าจะต้องออกเป็นพ.ร.บ.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท และที่เคยกำหนดให้ใช้ภายใน 6 เดือน ตอนนี้ก็ผ่อนปรนเงื่อนไขให้เปิดใช้ภายใน 6 เดือนแต่ใช้ได้ถึงปี 2570 อีกทั้งจะเริ่มใช้จริงเดือนพฤษภาคมปี 2567 จึงเสียโอกาสที่จะให้คนได้ใช้เงินเพื่อจับจ่ายใช้สอยช่วงเทศกาลปีใหม่และเทศกาลสงกรานต์

เมื่อพิจารณาจากเงื่อนไขยุบยับซับซ้อนและเงื่อนเวลาที่ผิดเพี้ยนไปจากเดิม จะส่งผลให้ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์เดิมที่ต้องการให้เกิดพายุหมุนเศรษฐกิจ เพราะคนจะค่อย ๆ ทยอยใช้เงิน แทนที่จะระดมใช้พร้อม ๆ กัน ทำให้ไม่มีพลังพอจะไปกระตุ้นเศรษฐกิจให้เป็นไปตามเป้า ที่สำคัญรูปแบบเดิมจะเป็นการใช้ “เครดิต” ผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชน แต่ล่าสุดใช้ผ่านแอปเป๋าตังที่มีอยู่เดิมโดยใช้บล็อกเชนมาเสริมเพื่อตรวจสอบการใช้เงินให้ตรงตามวัตถุประสงค์และป้องกันการทุจริตเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐบาลเลือกออกพรบ.เงินกู้ ซึ่งไม่ได้ต่างการแจกเงินเช่นเดียวกับรัฐบาลก่อน ๆ แต่วิธีการต่างกัน ถามว่าหากเดือนพฤษภาคมปี 2567 ที่เริ่มใช้นโยบายนี้ แต่พรบ.เงินกู้ยังไม่ประกาศใช้จะมีปัญหาตามมาหรือไม่ เงินดิจิทัลที่ใช้ไปก่อนจะมีค่าเหมือนเช่นเงินปกติหรือไม่ หรือหากรัฐบาลนี้มีอันเป็นไปเสียก่อน จะกระทบโครงการนี้หรือไม่

เส้นทางของดิจิทัล วอลเล็ต ก็คงไม่ราบรื่น มีระเบิดเวลาให้รอถอดสลักและพร้อมระเบิดอีกหลายลูก แม้แต่หน่วยงานที่เข้าร่วมประชุม ทั้งผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ เลขาฯ สภาพัฒน์ และเลขาฯ คณะกรรมการกฤษฏีกา ต่างไม่เห็นด้วยและทักท้วง และขอให้ลงบันทึกการประชุมว่าไม่เห็นด้วย ตอนนี้ร่างพ.ร.บ.อยู่ในมือคณะกรรมการกฤษฏีกา ต้องลุ้นว่าจะให้ออกเป็นกฏหมายได้หรือไม่ สุ่มเสี่ยงจะขัดรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 หรือไม่

แม้แต่ในครม.เองยังไม่รู้ว่าเรื่องนี้เมื่อนำเข้าสู่ที่ประชุม พรรคร่วมอื่น ๆ จะเห็นชอบด้วยหรือไม่ เพราะนโยบายนี้ของเพื่อไทย แต่หากมีปัญหาข้อกฏหมายตามมาครม.ทั้งคณะก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน

แม้จะผ่านครม.มาได้ ก็ยังมีด่านถัดไป นั่นคือ ระหว่างที่นำเข้าสู่สภาฯ พิจารณาคงต้องลุ้นใจหายใจคว่ำ เคยมีรัฐบาลในอดีตจะออกพรบ.เงินกู้แต่ไม่กล้าเสี่ยง หวั่นถูกคว่ำกลางสภาฯ แม้จะครั้งนี้อาจจะผ่านสภาฯ ได้ เพราะรัฐบาลมั่นใจเสียงสนับสนุน แต่ก็อาจจะมีคนไปยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าจะมีความผิดมาตรา 53 ของพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังหรือไม่ หรืออาจจะยื่นกกต.พิจารณาว่าโครงการนี้ผิดไปจากตอนยื่นช่วงหาเสียง เข้าข่ายหลอกลวงหรือไม่

ยังไงก็คงต้องเหนื่อยอีกหลายด่าน รัฐบาลเพื่อไทยตอนนี้อยู่ในภาวะเลือดเข้าตา เดินหน้าก็เสี่ยง ถอยหลังก็เสีย ก็เลยออกมาไม่ตรงปก อย่างที่เห็น ๆ

ผู้เขียน: ทวี มีเงิน

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจของผู้เขียน

“หนี้ครัวเรือน” ไม่แก้ ประเทศเดินต่อไม่ได้

แจก “เงินดิจิทัล” หนึ่งหมื่นบาท … ยาแรงที่ต้องระวัง

“5 แสนล้านบาท”… ใช้อย่างไรให้คุ้มค่า

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ