TH | EN
TH | EN
หน้าแรกColumnist"5 แสนล้านบาท"… ใช้อย่างไรให้คุ้มค่า

“5 แสนล้านบาท”… ใช้อย่างไรให้คุ้มค่า

นโยบายแจกเงิน ‘ดิจิทัล วอลเล็ต’ ของพรรคเพื่อไทย แกนนำรัฐบาลที่มีความพยายามผลักดันให้เป็นจริงตามที่หาเสียงไว้ ชักจะไม่ราบรื่นเสียแล้ว เสียงค้านเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฝั่งนักเศรษฐศาสตร์ นักการเงิน เกรงว่าจะสร้างวิกฤติการเงินในอนาคต ส่วนที่ยกมือเชียร์ก็มีเหล่าบรรดานักการตลาด ธุรกิจบริการ ค้าปลีก ที่มองว่ารัฐบาลมีความจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเร่งด่วน

ล่าสุด ในการประชุมร่วมกันระหว่าง “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี กับ 4 หน่วยงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา “ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ชี้แจง “เศรษฐา” เรื่องการพักหนี้เกษตรกร รวมถึงกรณีรัฐบาลแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ว่า

“ภาพรวมเศรษฐกิจไทยออกมาไม่สวยนัก โดยเศรษฐกิจไตรมาส 2 โตเพียง 1.8% ต่ำกว่าที่ธนาคารคาดไว้มาก ซึ่งการเติบโตมาจากการบริโภคเป็นหลัก ถือว่าฟื้นตัวค่อนข้างดี ทั้งไตรมาส 1 และ ไตรมาส 2 แต่ที่ขาดคือการลงทุน ดังนั้น จึงจำเป็นฟื้นเศรษฐกิจด้วยภาคอื่นอาจสำคัญกว่าการกระตุ้นการบริโภค นอกจากนี้ นโยบายหรือรูปแบบควรทำแบบเฉพาะเจาะจง เฉพาะกลุ่มที่ประหยัดงบประมาณมากกว่า ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการเงินดิจิทัล 1หมื่นบาท”

งานนี้ คนที่ดูแลแลเรื่องระบบเงินของประเทศยิงหมัดตรงแบบไม่อ้อมค้อม แต่ไม่รู้ว่าคนนั่งหัวโต๊ะจะเคลิ้มตามหรือไม่ อย่างไรก็ตามพรรคเพื่อไทยและเศรษฐา ควรจะกลับมาตั้งหลักใหม่ว่า ถ้าจะทำดิจิทัล วอลเล็ต ใช้เงินกว่า 5 แสนล้านบาทแจกคนที่อายุเกิน 16 ปีขึ้นไป ได้คุ้มเสียหรือไม่ หากไม่เป็นไปตามเป้าอาจจะส่งผลเสถียรภาพการเงินของประเทศได้

อันที่จริง นโยบายดี ๆ ที่เคยถูกมองว่าเป็นประชานิยมในสมัยพรรคไทยรักไทย อย่าง OTOP, SME และกองทุนหมู่บ้าน ที่รัฐบาลหลัง ๆ ไม่ค่อยให้ความใส่ใจทั้งที่เป็นประโยชน์กับชุมชน กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากก็ยังอยู่ รัฐบาลน่าจะนำเม็ดเงินจำนวนนี้มาต่อยอดจะดีกว่า คุ้มค่ากว่าที่จะเสี่ยงแจกเงินก้อนมหึมา

ลองคิดดูเล่น ๆ ว่าถ้าเอาเงินจำนวน 5 แสนล้านบาท ใส่เข้าไปในกองทุนหมู่บ้านทั้งหมดมี 7 หมื่นกว่าหมู่บ้าน จะได้หมู่บ้านละ 6 ล้านบาท นึกภาพว่าเงิน 6 ล้านบาทในระดับชาวบ้าน จะเกิดประโยชน์กับชุมชนแค่ไหน ความจริงไม่ต้องถึง 6 ล้านบาท ใส่แค่กองทุนหมู่บ้านละ 2 ล้านบาทใช้เงินแค่ 1.5 แสนล้านบาท แต่จะช่วยเศรษฐกิจหมู่บ้านเป็นฐานรากเกิดการหมุนเวียนได้ไม่น้อย

ที่สำคัญเงินที่ใส่ในกองทุนหมู่บ้านไม่ใช่แจกฟรี แต่เป็นการให้สมาชิกกองทุนกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำ ๆ แค่ 2-3% เงินที่ใส่ไปก็ยังอยู่ครบและใช้งบประมาณน้อยมาก แต่ถ้าใช้วิธีแจก เมื่อใช้แล้วก็หมดไป เงินที่ชาวบ้านได้รับแจกก็ย้ายจากมือคนจนไปสู่มือคนรวยเหมือนเดิม ผลที่ได้แค่กระตุ้นเศรษฐกิจช่วงสั้น ๆ แบบไฟไหม้ฟางไม่ยั่งยืน

แต่ถ้าเอาไปใส่ในระดับหมู่บ้านแล้วมี คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านดูแลวิธีการใช้เงิน วิธีการสร้างผลผลิตและวิธีการซื้อขายกัน ไม่ให้เงินไหลออกนอกระบบ จะคุมได้ง่ายกว่า วิธีนี้เป็นการต่อยอดจากกองทุนหมู่บ้าน ที่มีปรัชญาในการก่อตั้งเพื่ออัดฉีดเงินเข้าสู่หมู่บ้าน เอาเงินไปให้ชาวบ้านยืม หมุนเวียนใช้กันในหมู่บ้านเป็นทุนทำมาหากิน ไม่ได้แจกฟรี ๆ

ที่สำคัญ เงินจำนวนดังกล่าวเมื่อใส่เข้าไปผ่านกองทุนหมู่บ้าน ขั้นตอนต่อไปรัฐบาลต้องคิดหาวิธีว่าจะทำอย่างไรที่จะยกระดับกองทุนหมู่บ้านให้เป็นธนาคารชุมชน มีการจัดการแบบธนาคารจริงๆเพื่อให้มีระบบและเข้มแข็งต่อไป

จำได้ว่า สมัยนั้นกองทุนหมู่บ้านเริ่มต้นด้วยเงิน 1 ล้านบาทเท่านั้น ปัจจุบันนี้ยังมีเงินโดยรวมสูงกว่าเงินที่รัฐบาลใส่ลงไปมาก อาจจะมีเสียหายบ้าง แต่กว่า 80% ก็อยู่รอด และมีดอกเบี้ยตามมา ผลที่ได้ทำให้ชาวบ้านและชุมชนเข้มแข็งและเติบโตขึ้น นี่คือความสำเร็จที่คนมองไม่ออกว่า ช่วยพยุงฐานะความเป็นอยู่ของแต่ละหมู่บ้านได้

นอกจากนี้ในหมู่บ้านยังมี OTOP รัฐบาลอาจจะนำเงินที่เหลือมาต่อยอดได้ ซึ่งปรัชญาของ OTOP ต้องการให้คนในหมู่บ้านเกิดความสามัคคีร่วมแรงร่วมใจกัน สร้างผลิตภัณฑ์ให้เป็นสินค้าของหมู่บ้าน ให้ชาวบ้านมีรายได้เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจระดับชุมชน แต่ที่ผ่านมาจะมีปัญหาในการเลียนแบบ ไม่ได้มีการพัฒนา ไม่มีวัตกรรม รวมถึงการไม่รักษาคุณภาพสินค้า

หากเอาเม็ดเงินจำนวนนี้ใส่เข้าไปพร้อมใส่ความรู้ ใส่นวัตกรรม สร้างตลาด สร้างแพลตฟอร์มสำหรับช้อปปิ้งสินค้า OTOP พร้อมทั้งแก้ปัญหาเดิม ๆ ที่เคยเกิดขึ้นฟื้นฟูสินค้า OTOP ขึ้นมาใหม่ เป็นการสร้างงาน สร้างรายได้ให้ชุมชน ใช้เม็ดเงินไม่เท่าไหร่ แถมยังเชื่อมโยงกองทุนหมู่บ้านให้พัฒนาควบคู่กันไปได้ รวมถึงไปสนับสนุน SME ให้เข้มแข็งซึ่งผู้ประกอบการ SME ยุคใหม่เป็นคนหนุ่มสาวที่มาทดแทน SME รุ่นเก่ารุ่นพ่อรุ่นแม่

ทุกวันนี้คนรุ่นใหม่เป็นผู้ประกอบการมากขึ้น แต่กำลังประสบปัญหาถูกสินค้า SME จีนเข้ามาตีตลาด ถ้ารัฐบาลมีเงินเข้าไปสนับสนุนเป็นทุนสร้างผู้ประกอบรุ่นใหม่ จะทำให้ SME ไทยเข้มแข็งกับสินค้าจากจีนที่ทะลักเข้ามาบ้านเราได้

อย่าลืม เงิน 5 แสนล้าน หากเป็นเงินกู้ก็เป็นภาระหนี้ของประชาชน เม็ดเงินแต่ละบาทควรใช้อย่างคุ้มค่าและตรงเป้าที่สุดไม่ใช่แจกฟรีสุรุ่ยสุร่ายหวังแค่คะแนนเสียง

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจของผู้เขียน

ต้องรีบออกจาก “หลุมดำสูญญากาศ”

เศรษฐกิจไทย “หมดบุญเก่า”

“การเมือง” เดดล็อก ..“ตลาดหุ้น-ลงทุน-กำลังซื้อ” วูบ

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ