TH | EN
TH | EN
หน้าแรกColumnistเศรษฐกิจไทย "หมดบุญเก่า"

เศรษฐกิจไทย “หมดบุญเก่า”

หลังจากเลือกตั้งมาแล้ว 2 เดือนประเทศไทยก็ยังไม่ได้นายกรัฐมนตรี และไม่รู้ว่าจะต้องยืดเวลาออกไปอีกนานแค่ไหน หลังจากที่ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นตัวแทนที่ 8 พรรคร่วมเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 กรฎาคม แต่ไม่สามารถฝ่าด่านวุฒิสภาและพรรคร่วมรัฐบาลเดิมได้ คาดว่าจะนำชื่อพิธาเสนอใหม่อีกครั้งในวันที่ 19 กรฏาคมนี้ คงเดาไม่ยากว่าผลจะออกมาเช่นไร

ถ้ารอบนี้ไม่ผ่านอาจจะต้องเปิดโอกาสพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล อาจจะเป็นการจับมือ 8 พรรคร่วมเดิม แต่อย่างไรก็ตาม มิได้หมายความว่าทุกอย่างราบรื่น เพราะถ้ายังมีพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาลอยู่วุฒิสมาชิกจะยอมรับหรือไม่ หากไม่ยอมรับก็ต้องมาตั้งหลักกันใหม่ว่าจะเอาอย่างไรต่อไป ขณะที่คนที่เลือกก้าวไกล ถ้าไม่ได้ร่วมรัฐบาลจะยอมรับหรือไม่ จะมีการประท้วงลงถนนหรือไม่

ทั้งหลายทั้งปวงเป็นมรดกความขัดแย้งการเมืองไทยที่ฝังรากลึกมาเกือบ ๆ 20 ปีจนยากที่จะประสานได้และคงร้าวลึกต่อไปอีกนานเท่านาน แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงตราบใดที่ความขัดแย้งคงอยู่ย่อมส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจ ความเจริญเติบโตของประเทศ รายได้และชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนแบบมิอาจปฏิเสธได้ “บุญเก่า” ที่สะสมในอดีตนับวันยิ่งจะลดน้อยถอยลงจนแทบไม่มีพลังส่งให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ 

กรณีนี้ “แฮร์ริสัน เฉิง” ผู้อำนวยการบริษัทที่ปรึกษาความเสี่ยง “Control Risks” ได้แสดงความเห็นเผยแพร่ทางแชนแนลนิวส์เอเชียเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม ไว้อย่างน่าสนใจด้วยระบุถึงสถานการณ์การเมืองไทยว่า 

รัฐสภาไทยจะโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่อีกครั้งในวันที่ 19 กรกฎาคมนี้ แต่ก็ไม่มีหลักประกันว่านายกรัฐมนตรีจะได้รับเลือก หลังจากการเลือกตั้งทั่วไปของไทยผ่านมามากกว่า 2 เดือนแล้ว ความล่าช้านี้จะยิ่งสร้างบาดแผลลึกให้กับภาคธุรกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุนจากวิกฤติทางการเมืองที่ดำเนินอยู่ โดยบริษัทต่าง ๆ ได้เริ่มชะลอการลงทุนใหม่ ขณะรอความชัดเจนว่ารัฐบาลชุดต่อไปของไทยจะเป็นอย่างไร และช่วงเปลี่ยนผ่านหลังการเลือกตั้งที่ยืดเยื้อนี้ยังจะทำลายการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ (ที่คาดว่าอยู่ที่ราว 2.7%-3.7%) ซึ่งเชื่องช้าล้าหลังประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอยู่แล้ว 

แม้ภาคการท่องเที่ยวที่กำลังฟื้นตัวขึ้นโดยส่วนใหญ่ก็ตาม แต่การกระเตื้องของภาคการท่องเที่ยวก็อาจลดลงได้อย่างรวดเร็ว หากหล่มการเมืองไทยก่อให้เกิดความไม่สงบขนาดใหญ่ขึ้นอีก ซึ่งเป็นฉากทัศน์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหลังจากความล้มเหลวของนายพิธาในการได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีในการโหวตครั้งแรก

ตรงนี้สอดคล้องกับรายงานข่าวล่าสุดจากสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ว่าสถานการณ์ท่องเที่ยวไทยน่าเป็นห่วง การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนล่าช้ากว่าที่คาดทำให้ชาวจีนระมัดระวังการใช้จ่ายและการท่องเที่ยวต่างประเทศ สำหรับประเทศไทยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางมาเยือนไทยต่ำกว่าเป้าที่ทางการไทยคาดไว้ 7 ล้านคนอย่างน้อย 2-3 ล้านคน 

ส่วนเรื่องการลงทุน “แฮร์ริสัน เฉิง” ระบุต่อไปว่า บรรดานักลงทุนที่กำลังมองหาทางเลือกห่วงโซ่อุปทานที่หลากหลายหรือโอกาสใหม่ ๆ ในภาคส่วนที่เติบโต เช่น รถยนต์ไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียน และเศรษฐกิจดิจิทัล จะไม่รอไปตลอดเพื่อให้ประเทศไทยกลับมาดำเนินการร่วมกัน โดยอินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซียและฟิลิปปินส์ กำลังแข่งขันอย่างดุเดือดกับไทยในการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในภาคอุตสาหกรรมเหล่านี้เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ

ได้ฟังความเห็นนักวิเคราะห์จากต่างประเทศ นับว่าน่าเสียดายโอกาสอย่างมาก ตลอดระเวลา 20 ปีที่ประเทศไทยเกิดความขัดแย้งทางการเมือง เริ่มตั้งแต่ความขัดแย้งระหว่างเสื้อเหลือง เสื้อแดง จนกระทั้งปัจจุบันเป็นความขัดแย้งระหว่างคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่ากลายเป็นกับดักเศรษฐกิจของประเทศ ที่ไม่สามารถนำพาให้ก้าวข้ามประเทศรายได้ปานกลางระดับสูงไปได้

ก่อนหน้านี้เวียดนามไล่จี้หายใจรดต้นคอ เพราะนักลงทุนเกาหลีและนักลงทุนที่ย้ายฐานจากจีนหันไปลงทุนในเวียดนามมากขึ้น วันนี้ประเทศอินโดนีเซียเป็นคู่แข่งเพิ่มขึ้นมา เพราะนักลงทุนเริ่มสนใจเข้าไปลงทุนมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน

ล่าสุด ธนาคารโลกได้จัดอันดับให้อินโดนีเซียเป็นประเทศรายได้ปานกลางระดับสูงอีกครั้ง หลังถูกลดอันดับจากสถานการณ์โควิดระบาด การประกาศจัดอันดับใหม่ทำให้อินโดนีเซียกลับมาสู่เส้นทางในการบรรลุเป้าหมายสถานะประเทศผู้มีรายได้สูงภายในปี 2045 อีกครั้ง หลังจากที่รายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้นเป็น 4,580 ดอลลาร์ต่อจีดีพี ขยายตัวเร็วที่สุดในรอบ 9 ปี ขณะที่ประเทศไทยยังคงสถานนะประเทศรายได้ปานกลางระดับสูงตั้งแต่ปี 2010 จนถึงวันนี้ไม่ได้ขยับไปไหนเป็นเวลานานถึง 13 ปีแล้ว

น่าเป็นห่วงว่าหากการเมืองยังไม่นิ่ง โอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะเดินหน้าก็คงลำบากบุญเก่าที่เคยสะสมมาในอดีต ถูกการเมืองกัดกินจนแทบจะไม่เหลืออะไรแล้ว

ผู้เขียน: ทวี มีเงิน

บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน

จุดเสื่อมตลาดหุ้น

“เหล้าเสรี” ด่านแรกทลายทุนผูกขาด

“ส่วยรถบรรทุก”… เหลือบที่ไม่เคยตาย

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ