TH | EN
TH | EN
หน้าแรกColumnistBook Reviewคุณอยากทำอะไร? เมื่อรู้ว่าเวลาของคุณกำลังจะหมดไป...

คุณอยากทำอะไร? เมื่อรู้ว่าเวลาของคุณกำลังจะหมดไป…

ใช้ชีวิตให้คุ้ม เช่น ไปเที่ยว กิน ในแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน? แต่ถ้าตอนนั้นไม่มีแรงเพราะป่วยหนักล่ะ นั่นคือสิ่งที่ Paul Kalanithi คิดหลังจากพบว่าป่วยเป็นโรคมะเร็งปอด ในวัยแค่ 36 ปี 

สิ่งแรกที่พอลอยากรู้คือ ยังมีเวลาเหลือเท่าไหร่ ในฐานะนักเรียนศัลยแพทย์ระบบประสาทปีที่ 6 มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ที่มีผลการเรียนดีเยี่ยม มีอนาคตที่สดใสรออยู่ เขารู้ว่าความตายกำลังรออยู่ และเขาต้องการรู้เวลาที่เหลือ เพื่อจะได้รู้ว่าเขาควรจะใช้เวลาที่เหลืออย่างไร 

พอลสนใจมาตลอดว่าอะไรทำให้ชีวิตคนเรามีความหมาย เขาเลือกเรียนด้านระบบสมอง เพราะเขาคิดว่าสมองคือสิ่งที่ทำให้คนเป็นคน สมองคือสิ่งที่บอกว่าคน ๆ นั้นยังมีชีวิต ถ้าไม่มีการสั่งการก็เสมือนคน ๆ นั้นไร้ชีวิต และจากการเรียน เขารับรู้ว่าหมอคือคนที่ต้องเลือกว่าคนไข้คนไหนควรจะมีชีวิตอยู่ต่อ เพราะอะไร

จากตอนหนึ่งในหนังสือ “หมอในสาขาที่ต้องเจอเรื่องซีเรียสมักจะพบกับคนไข้ในเวลาที่วิกฤติ ในเวลาที่พวกเขากำลังจะสูญเสียชีวิตและความเป็นตัวตน หน้าที่หนึ่งของหมอคือต้องรู้ว่าอะไรที่ทำให้ชีวิตของคนไข้คนนั้นมีความหมายในการอยู่ต่อ และต้องวางแผนรักษาสิ่งนั้นไว้ถ้าทำได้ แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องปล่อยให้เขาไปอย่างสงบ ในการทำหน้าที่นี้ หมอต้องมีความรับผิดชอบอย่างมาก ต้องแบกรับความรู้สึกผิด และการถูกประณาม” 

พอลเล่าถึงเพื่อนที่ร้องไห้ เมื่อพบว่าคนไข้คนหนึ่งเชื้อมะเร็งแพร่กระจาย เพราะก่อนหน้านี้เธอภาวนาว่าขอให้มันแพร่กระจาย จะได้ไม่ต้องผ่าตัดเอาก้อนเนื้อออกจากตัวคนไข้คนนั้น 

ต้องบอกว่าพอลเตรียมตัวรับมือกับอาการป่วยได้ดีมาก ด้วยการช่วยเหลือจากภรรยาที่เป็นหมอเหมือนกัน ก่อนจะเริ่มการรักษา เขาและภรรยาไปธนาคารสเปิร์มเพื่อเก็บรักษาสเปิร์มไว้ในกรณีที่อยากมีลูกในภายหลัง เพราะถ้าเข้าสู่กระบวนการรักษา สเปิร์มเขาจะไม่เหมือนเดิม นั่นคือมันไม่สามารถแทนตัวเขาในเวลานั้นได้

ระยะแรกที่ยากินยังยับยั้งโรคร้ายได้ พอลมีกำลังใจและฟื้นฟูกำลังกายกลับไปเรียนต่อได้ ด้วยความหวังว่าจะได้ชีวิตอยู่ต่อไปกับครอบครัวและเพื่อทำงานที่รัก งานที่เลือกเพราะความอยากรู้ว่าอะไรคือความหมายของการมีชีวิต อะไรทำให้การมีชีวิตอยู่มีความหมาย

ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี จนเขากับภรรยาวางแผนมีลูก เขากลัวว่าถ้าตายไป ลูซี่จะต้องอยู่คนเดียวแบบไม่มีสามี ไม่มีลูก แต่ทุกอย่างขึ้นกับลูซี่ เพราะสุดท้ายลูซี่คงต้องเลี้ยงลูกคนเดียว แถมถ้าอาการเขาแย่ลง ลูซี่ก็ต้องทั้งเลี้ยงดูลูกและดูแลเขาไปด้วย

“คิดไหมว่าลูกเล็ก ๆ จะมารบกวนเวลาที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน ไม่คิดเหรอว่าการอำลาลูกตอนใกล้ตายมันจะทำให้ทรมาณใจมากขึ้น” ลูซี่ถาม “มันจะไม่ดีเหรอ ถ้าผมได้ทำยังงั้น” เขาถามกลับ เพราะทั้งคู่รู้ว่าชีวิตไม่ใช่แค่การหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด

จนกระทั่งผลเอ็กซเรย์ครั้งหลังออกมา ว่าเจอมะเร็งอีกจุดในปอด ครั้งนี้ก้อนใหญ่จนต้องทำคีโม เขาตัดสินใจเลิกเรียนต่อ แต่คณะอาจารย์ลงความเห็นว่าเขาเรียนครบสามารถขอจบได้ วันที่เขาจะไปรับปริญญา อาการเขาทรุดหนัก แค่ 2 อาทิตย์ ก่อนที่ลูซี่จะคลอด 

นับจากวันนั้น เขาต้องใช้ชีวิตอยู่บนเตียง แค่ยกหัวขึ้นมาก็เหนื่อย จะกินน้ำก็ต้องใช้มือสองข้างยกแก้วน้ำ แรงใจมาจากครอบครัว ทั้งพ่อที่เป็นหมอกับแม่ที่มาเช่าห้องอยู่ใกล้ ๆ บ้าน บินมาทุกเสาร์อาทิตย์จากอริโซนา (ห่างไปประมาณหนึ่งพันกิโลเมตร) พี่ชาย น้องชาย และครอบครัวของพวกเขา 

เขามีชีวิตอยู่ต่อมาจนลูกสาวอายุได้ 8 เดือน อาการล่าสุดคือกินอะไรไม่ได้ จนน้ำย่อยไหลย้อนออกมา มีอาการขาดน้ำจนไตเกือบจะวาย หายใจลำบากจนต้องใช้ที่ช่วยหายใจ ทางสุดท้ายที่เหลือคือการใส่ท่อช่วยหายใจ 

หนังสือเล่มนี้พอลเขียนขึ้นด้วยตัวเองเพื่อให้คนอ่านรับรู้ถึงชีวิตของเขาก่อนจะมาเป็นหมอ การเป็นหมอ และการเป็นคนป่วยหนัก เพื่อช่วยเตรียมตัวคนป่วยว่าพวกเขาต้องเจอกับอะไรและควรจะเตรียมตัวอย่างไร 

ในบทสุดท้ายที่ลูซี่เขียนแทน เธอเล่าถึงวันสุดท้ายของพอล ในความเป็นหมอของทั้งคู่ ทำให้รู้ว่าการใส่ท่อช่วยหายใจ พอลอาจจะเข้าสู่ภาวะไม่รู้สึกตัว และหลังจากนั้นอวัยวะภายในก็จะล้มเหลว นั่นคือการสูญเสียความรู้สึกตัวและต่อมาคือร่างกายจะขยับไม่ได้

“ถ้าผมรอด ผมก็ไม่แน่ใจนะว่าเห็นอนาคตที่ชีวิตจะยังมีความหมาย” เขาเลือกที่จะรับการดูแลในระยะสุดท้ายนั่นคือการฉีดมอร์ฟีนให้จากไปอย่างสงบ

หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์เมื่อปี 2016 หนึ่งปีหลังจากพอลเสียชีวิต และมีฉบับแปลเป็นไทยในปี 2017 

ขอบคุณพอล สำหรับการแบ่งปันความคิดของคนป่วยใกล้ตาย และขั้นตอนการเตรียมตัวของเขา ทั้งหมดคือการทำให้เราระลึกได้ว่า ความตายเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ แต่สิ่งที่เราเลือกได้คือจะเตรียมตัวรับมือกับมันอย่างไร 
แม้เราจะเสียน้ำตาให้เรื่องของพอล แต่ก็ด้วยความขอบคุณที่เขาแบ่งปันเรื่องราวที่ทั้งสุขและทุกข์

บทความรีวิวหนังสือเล่มอื่น ๆ ของผู้เขียน

‘ผู้พิทักษ์ต้นการบูร’

Mortality …. มะเร็งระยะสุดท้ายแบบไม่เสียน้ำตา

“หมอ” อาชีพในฝัน? คำตอบอยู่ในหนังสือ ‘This is Going to Hurt’

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ