TH | EN
TH | EN
หน้าแรกBusinessวีซ่า เผยโรดแมปมาตรการล่าสุดด้านความปลอดภัยในการชำระเงินดิจิทัลสำหรับประเทศไทย

วีซ่า เผยโรดแมปมาตรการล่าสุดด้านความปลอดภัยในการชำระเงินดิจิทัลสำหรับประเทศไทย

วีซ่า ผู้นำการให้บริการการชำระเงินดิจิทัลระดับโลก อัปเดตโรดแมปด้านความปลอดภัยใหม่เพื่อปกป้องร้านค้า ผู้บริโภค และทุกภาคส่วนในอีโคซิสเต็มส์ เพื่อให้ทุกการชำระเงินดิจิทัลเป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยที่สุด 

มาตรการล็อกดาวน์ระหว่างการระบาดของโควิด-19 เป็นตัวเร่งให้ผู้คนใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งมีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดด ดิจิทัลคอมเมิร์ซได้เข้ามามีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมาก โดยผู้บริโภคมีการใช้งานดิจิทัลคอมเมิร์ซอย่างกว้างขวาง ในขณะที่ผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางต่างก็เปิดหน้าร้านออนไลน์เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดได้ในช่วงล็อกดาวน์

มีการคาดการณ์ว่าในปี 2568 คอมเมิร์ซทั้งหมดในประเทศไทยประมาณ 31% จะอยู่บนดิจิทัล ซึ่งเติบโตมากจากปัจจุบันที่ผู้บริหารวีซ่าได้ประมาณการณ์ไว้ว่า อัตราส่วนของดิจิทัลคอมเมิร์ซในไทยทุกวันนี้น่าจะอยู่ที่ระหว่าง 20- 23%  

ย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว วีซ่า ตั้งเป้าสร้างโรดแมปใหม่ด้านความปลอดภัยชำระเงินสู่ดิจิทัล โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพื่อตอบรับกับกระแสดิจิทัล และพฤติกรรมผู้บริโภคที่จะไม่กลับไปเป็นอย่างเดิมอีกต่อไป การทำธุรกรรมดิจิทัล และการชำระเงินดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น ได้ก่อให้เกิดเป็นคำถามว่าความเสี่ยงในการชำระเงินดิจิทัลจะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวหรือไม่ 

ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าการใช้จ่ายในรูปแบบดิจิทัลจะเพิ่มสูงขึ้นสืบเนื่องจากหลายหลากปัจจัย ในทางกลับกัน อัตราส่วนของการฉ้อโกงกลับมีสัดส่วนลดลง วิธีการการฉ้อโกงที่เห็นอยู่ในปัจจุบันมีสองรูปแบบหลักๆ อย่างแรกคือ Enumeration  Attack ซึ่งอาชญากรจะพยายามสุ่มเลข 16 หลักบนบัตรเครดิตรวมถึงวันหมดอายุ และเลข cvv โดยจะสุ่มใช้กลุ่มตัวเลขนี้ในการลองซื้อของราคาถูก (ประมาณ 0.99 เหรียญสหรัฐ) บนร้านค้าออนไลน์ อาชญากรต้องลองสุ่มเป็นหลายพันหรือหมื่นครั้งจนกว่าจะได้ชุดตัวเลขที่ถูกต้อง และเมื่อได้ชุดตัวเลขที่สามาถสุ่มซื้อของผ่าน อาชญากรก็จะเอาชุดตัวเลข (ในที่นี้เรียกว่า credential) นั้นไปซื้อของเอง หรือขายต่อให้อาชญากรอื่นๆ

การฉ้อโกงดังกล่าวเกิดขึ้นทั่วโลก โดยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกประเทศที่พบปัญหาดังกล่าว คือ ญี่ปุ่นและออสเตรเลีย รวมไปถึงสหรัฐอเมริกาและทางแถบยุโรป ก็เจอกับปัญหานี้เช่นกัน

แม้ว่าจะไม่มีใครสูญเสียเงินจากการถูกโจมตีด้วยการทำธุรกรรมซ้ำ ๆ แต่ยังเป็นปัญหาในการปฏิบัติงานหลังบ้านของร้านค้า เช่น ร้านค้าขนาดเล็กโดนโจมตีด้วยธุรกรรม 100,000 ธุรกรรมใน 10 วินาที ทำให้ขาดเสถียรภาพของระบบหลังบ้านได้

โจ คันนิ่งแฮม ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารจัดการความเสี่ยงของ วีซ่า ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค กล่าวว่า “วีซ่า ทำหน้าที่แทนลูกค้าในการตรวจสอบธุรกรรมที่พยายามโจมตีแบบ Enumeration Attack และบล็อกธุรกรรมเหล่านั้นออกไปจากระบบ ดังนั้นแล้ว ลูกค้าของเราจึงไม่เห็นธุรกรรมเหล่านั้น และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น”  

วีซ่า ใช้เทคโนโลยี AI หรือ หรือ Artificial Intelligence ในการตรวจสอบธุรกรรมการโจมตี Enumeration attack ปริมาณมหาศาลเพื่อหยุดการโจมตี และทำด้วยความระมัดระวังสูงสุดเพื่อไม่ให้กระทบกับธุรกรรมจริงที่ลูกค้าสั่งซื้อเข้ามา

รูปแบบการฉ้อโกงที่สอง คือ การเพิ่มขึ้นของสแกม เช่น ลิงก์หลอกลวง อีเมลหลอกลวง SMS หรือข้อความทางโทรศัพท์ที่มาพร้อมข้อความและลิงก์ เป็นต้น สแกมเหล่านี้สร้างความน่ารำคาญให้กับผู้ใช้งาน หนึ่งในตัวอย่างที่น่าสนใจคือ รัฐบาลในสิงคโปร์จึงมีการตั้งกฎไม่ให้สถาบันการเงินส่งลิงก์ใด ๆ ให้กับผู้ถือบัตรเป็นอันขาด 

สิ่งที่ วีซ่า ต้องการให้เกิดขึ้น คือ ไม่ให้มีการใช้ sms ใด ๆ สำหรับบริการด้านการเงิน ส่งถึงผู้ใช้งานเพื่อความปลอดภัยสูงสุด 

วีซ่าพัฒนาโซลูชัน ที่สามารถตรวจสอบ และป้องกันการโจมตี ที่มีความซับซ้อน  หนึ่งในโซลูชันที่สำคัญ คือ Visa Advanced Authorisation เป็นเทคโนโลยีที่วิเคราะห์องค์ประกอบข้อมูลมากกว่า 500 ข้อมูลเพื่อให้คะแนนความเสี่ยงในแต่ละธุรกรรม ซึ่งในปีงบประมาณ 2564[1] ที่ผ่านมาช่วยให้ธนาคารต่างๆ ทั่วโลกสามารถป้องกันการฉ้อโกงได้กว่า 26 พันล้านเหรียญสหรัฐ 

วีซ่า-มาสเตอร์การ์ด เปิดตัวบริการ Google Wallet

วีซ่า ร่วมกับ ดิจิโอ เพิ่มช่องทางการรับชำระเงินแบบดิจิทัลแก่กรมศุลกากร

พร้อมกันนี้ วีซ่ายังได้เปิดตัว EMV 3D เวอร์ชั่นล่าสุด ที่เป็นเทคโนโลยีความปลอดภัยสำหรับการยืนยันตัวตนของผู้ถือบัตร โดยเวอร์ชั่นใหม่นี้จะทำให้ร้านค้า หรือผู้ให้บริการการชำระเงินดิจิทัลสามารถรองรับการใช้งานฟังก์ชั่นการยืนยันตัวตนได้ด้วยเช่นกัน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยการชำระเงินได้ครอบคลุมทุกขั้นตอน นอกจากนี้วีซ่ายังเห็นถึงบทบาทของ ระบบความปลอดภัยแบบไบโอเมทริก เช่น การยืนยันตัวตนด้วยใบหน้า หรือ Face ID  ที่เข้ามาช่วยเพิ่มความปลอดภัย และในขณะเดียวกันยังไร้รอยต่อสะดวกสบายสำหรับผู้บริโภคอีกด้วย 

โจ กล่าวเสริมว่า ความเชื่อใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่วีซ่าได้รับจากลูกค้า และเป็นสิ่งที่ไม่อาจละเลยได้ บทบาทของวีซ่าในวันนี้ คือ การสร้างอีโคซิสเต็มส์ด้านการชำระเงินดิจิทัลให้มีความปลอดภัย ผ่านการทำงานร่วมกับพันธมิตร และร้านค้า รวมถึงสร้างให้เกิดการบังคับใช้เทคโนโลยีเพื่อปกป้องร้านค้าและผู้ถือบัตรไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการโจรกรรม และเกิดธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย 

วีซ่า ต้องการให้ทุกภาคส่วนของอีโคซิสเต็มส์ ได้ตระหนักถึงเทคโนโลยีที่จะมาช่วยสร้างความปลอดภัยในการชำระเงิน ตลอดจนการให้ความรู้แก่ผู้บริโภคและร้านค้าให้เข้าใจถึงแนวโน้มของดิจิทัลคอมเมิร์ซและประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์จริง

โจ ทิ้งท้ายว่า “วีซ่ามีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง การลงทุนในระบบโทเค็น เพื่อใช้แทนที่บัตรเครดิต ซึ่งมีข้อมูลสำคัญบนบัตร การลงทุนด้านการตรวจสอบยืนยันตัวตน เพื่อให้ผู้ถือบัตร และผู้ค้า ได้รับประสบการณ์ที่ปลอดภัยที่สุดในการใช้งานบนโลกออนไลน์อย่างแท้จริง” 

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

วีซ่าเผย เกือบ 9 ใน 10 ของคนไทยกำลังก้าวสู่ชีวิตแบบไร้เงินสด

วีซ่า เผย 6 เทรนด์ที่จะเปลี่ยนอีคอมเมิร์ซไทยปี 2565

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ