บลูบิค ประกาศแผนปี 2567 เดินหน้าชู “เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์” ขับเคลื่อนการทรานส์ฟอร์มองค์กร เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในโลกยุค Digital-First World ตั้งเป้าเติบโต 50%
ครบทศวรรษของการตั้งบริษัทด้วยกลยุทธ์ที่สร้างให้บลูบิคแตกต่างและโดดเด่นเหนือผู้เล่นรายอื่นด้วยกันในตลาด ด้วยการผนวกรวมจุดเด่นด้านการวางกลยุทธ์เข้ากับความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี และปักธงที่ตลาดการทำทรานส์ฟอร์เมชันขององค์กรขนาดใหญ่ ทำให้ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาสามารถสร้างการเติบโตเฉลี่ย 70% ต่อปี แม้จะเข้าตลาดหลักทรัพย์มาแล้ว 2 ปีก็ตาม
ในทศวรรษที่สอง บลูบิคยังคงเดินหน้าทำทรานส์ฟอรเมชันให้องค์กรขนาดใหญ่ขนาด SET100 ต่อ ด้วยการโฟกัสที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI– aftificial intelligence) ที่จะเข้ามาเสริมศักยภาพในทุกส่วนของการทำทรานส์ฟอร์เมชันทั้งธุรกิจ คน และกระบวนการ
พชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK กล่าวว่า ปี 2567 AI จะเป็นเทคโนโลยีหลัก ที่จะสร้างการเติบโตให้กับบริษัท บลูบิคจะเน้นการลงทุนไปที่เทคโนโลยีเอไอ ทั้งเม็ดเงินลงทุนและการเพิ่มบุคลากร เงินลงทุน 50% ของงบลงทุน (30% ของรายได้) จะไปลงทุนในเทคโนโลยี AI ปัจจุบันมี talent ด้าน AI 100 คน จากพนักงานทั้งหมด 900 คน ปีหน้านี้จะรับพนักงานเพิ่มอีก 100 คนผสมกันระหว่างคนด้านเทคโนโลยีและด้านการวางกลยุทธ์ และในปีหน้าจะมีการซื้อกิจการเพิ่มเข้ามาเสริมทัพโดยจะเน้นบริษัทที่ทำ platform as a service เข้ามาเสริมทัพ โดยปีหน้าตลาดที่เน้นยังคงเป็น 4 ตลาดหลัก คือ การเงินการธนาคาร ภาคการผลิต ธุรกิจค้าปลีก และโทรคมนาคม
“ปี 2024 ตั้งเป้าเติบโตด้านรายได้ 50% และตั้งเป้ากำไรขั้นต่ำไว้ที่ 20% สำหรับปี 2566 นี้บริษัทเติบโตตามเป้าที่ตั้งไว้คือ เติบโต 120% จากปีที่ผ่านมาจากฐานลูกค้าหลัก 100 ราย ส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดใหญ่”
พชร เชื่อว่าบบลูบิคมีภารกิจในการช่วยองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ในไทยทรานส์ฟอร์มเข้าสู่ยุค Digital-First World ที่จะมีความเข้มข้นมาขึ้นและต่อเนื่องยาว 3 ปีนับจากปี 2024 ไปถึงปี 2027 ด้วยเทคโนโลยี AI ที่จะเข้ามามีบทบาทหลัก เพราะองค์กรธุรกิจในไทยยังขาด 3 สิ่งหลัก คือ ขาดคนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญรวมถึงขาดแรงจูงใจในการสร้างและดึงดูดคนเหล่านี้ไว้กับองค์กร ขาดการสร้างรูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ ยังยึดติดกับรูปแบบธุรกิจเดิมที่มีการลงทุนต่อเนื่องมาในอดีต และขาดการวางกลยุทธ์ธุรกิจที่ชัดเจน
ภาพรวมของ Technology Landscape ยังคงลงทุนด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง Gartner คาดการณ์ว่า ในปี 2567 เม็ดเงินลงทุนด้านเทคโนโลยีทั่วโลกจะแตะ 5.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 8% จากปี 2566
บลูบิคมั่นใจว่าจะใช้ความสามารถด้านการวางกลยุทธ์ธุรกิจและความสามารถด้านเทคโนโลยีเข้าไปช่วยองค์กรธุรกิจขับเคลื่อนธุรกิจในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ยุค Digital-First World ท่ามกลางแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่เป็นปัจจัยกดดันให้ธุรกิจต้องปรับตัว ทั้งการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี ที่ Gen AI กำลังเข้ามามีบทบาท การเปลี่ยนแปลงด้านตลาดที่ผู้บริโภคคาดหวังประสบการณ์มากกว่าผลิตภัณฑ์ และการเปลี่ยนแปลงด้านภูมิอากาศที่กำลังสร้างความท้าทายครั้งใหญ่ให้มนุษยชาติ
ยุคที่ Gen AI มีบทบาทสูง
เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ โดยเฉพาะ Generative AI หรือ Gen AI จะเป็นเทคโนโลยีหลักที่จะมีบทบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทุกธุรกิจจะถูกขับเคลื่อนและมีส่วนเกี่ยวข้องกับ AI เรียกได้ว่า every business will be an AI business
ปี 2567 จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมครั้งใหญ่ จะเกิดการใช้งานในจำนวนมากในทุกธุรกิจและอุตสาหกรรม และจะเกิดช่องว่างระหว่างองค์กรที่มีความสามารถในการใช้ AI กับองค์กรที่ไม่มีความสามารถในการใช้ AI อย่างชัดเจน
The Next Chapter ของการทำ Digital Transformation เริ่มต้นแล้ว เป็นการทรานส์ฟอร์มเพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ไม่เพียงแต่เพื่อลดต้นทุนธุรกิจ จะต้องทรานส์ฟอร์มเพื่อหาโอกาสใหม่ ๆ หาตลาดใหม่ หากลุ่มลูกค้าใหม่ หารูปแบบธุรกิจใหม่ เป็นต้น
“AI เป็นตัวคูณ ไม่ใช่ตัวบวก คนยังเป็นหัวใจหลักขององค์กร เพื่อให้การคูณด้วย AI ส่งผลที่มากกว่า เราจึงเรียกว่าเป็น Augmented Intelligence (AI) ปีหน้าจะเห็นการใช้ AI ทั้งในโซลูชันและแอปพลิเคชันแนวกว้าง ไม่ว่าจะเป็น EPR, CRM, Business Process ต่าง ๆ รวมถึงการใช้ในโซลูชันแนวลึกที่เป็นกรณีการใช้งานแบบเฉพาะเจาะจง ที่ต้องออกแบบโดยเฉพาะมากขึ้นมาก”
คาดหวังประสบการณ์มากกว่าผลิตภัณฑ์
การเปลี่ยนแปลงด้านตลาดที่ผู้บริโภคคาดหวังประสบการณ์มากกว่าผลิตภัณฑ์ เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจ (Digital Ecosystem) ที่เชื่อมต่อหลายระบบและบริการเข้าด้วยกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความสะดวกสบายให้กับลูกค้า ต้องให้ความสำคัญกับขีดความสามารถในการสร้าง Multiexperience (MX)
MX เป็นการสร้างประสบการณ์การใช้บริการและซื้อสินค้าอย่างราบรื่นให้แก่ลูกค้า ครอบคลุมทุกจุดสัมผัสบนช่องทางดิจิทัล (Digital Touchpoints) และการใช้งานข้ามแพลตฟอร์ม เช่น Website, Super App, Augmented Reality (AR), Virtual Reality (VR) และอุปกรณ์สวมใส่ (Wearables) เป็นต้น อีกทั้งการบรรลุวัตถุประสงค์การทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันจำเป็นต้องเข้าใจและรู้จักใช้ประโยชน์จาก MX เพื่อนำไปใช้ออกแบบประสบการณ์ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการในทุกมิติ และสร้างสะดวกสบายให้แก่ลูกค้าและพนักงาน
รวมถึงช่วยให้องค์กรมีความสามารถในการทำ Event-Driven Nano Architecture (EDNA) ซึ่งเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่ประกอบด้วยนาโนเซอร์วิส (Nanoservices) ที่แยกออกจากกัน EDNA มีจุดเด่นที่ความยืดหยุ่น สามารถพัฒนาบริการในแต่ละส่วนงานระดับนาโน รวมถึงปรับเพิ่มและลดขนาดการใช้ทรัพยากรได้อย่างอิสระกว่า Microservice ของ Event-Driven Architecture (EDA) และไม่กระทบบริการอื่นหากบางเซอร์วิสมีปัญหา อีกทั้งยังลดความซับซ้อนในขั้นตอนการทำงานและต้นทุน ด้วยเหตุนี้ EDNA จึงเป็นขีดความสามารถสำคัญในการสร้าง Digital Ecosystem ที่มีความยืดหยุ่นสูงและสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของความต้องการทางธุรกิจได้ทุกแง่มุม
Climate Issue เป็นวาระระดับโลก
เมื่อ Climate Issue เป็นวาระระดับโลก ผลักดันให้เกิดโอกาสในตลาด Sustainability Technologies ตลาดใช้เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยีที่ออกแบบเพื่อแก้ไขหรือหลีกเลี่ยงปัญหาสิ่งแวดล้อม หรือเทคโนโลยีที่สนับสนุนนโยบายด้าน ESG
เทรนด์ที่น่าจับตามองในปี 2567 คือ AI for Sustainability เป็นการใช้ AI ช่วยปรับปรุงระบบการดำเนินงานและจัดการกระบวนการที่เป็นอุปสรรคต่อการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการปล่อยคาร์บอน
ปัจจุบันนอกจากการใช้โมเดล AI ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว ยังมีการใช้ AI เฝ้าสังเกต คาดการณ์ ลดการปล่อยคาร์บอนและปรับปรุงประสิทธิภาพในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย เช่น การพยากรณ์อากาศ การปรับปรุงระบบรีไซเคิลและจัดการของเสีย การจัดเส้นทางการขนส่งให้มีประสิทธิภาพ และการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วยระบบอัตโนมัติ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีเทรนด์เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน ในส่วนของการ ESG Management and Reporting ซึ่งเป็นกระบวนการบริหารจัดการและจัดทำรายงานด้าน ESG ที่จะเข้ามาช่วยองค์กรรับมือกับแรงกดดันในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่การจัดการภายในองค์กรจนถึงการปฏิบัติตามกฎระเบียบด้าน ESG ของหน่วยงานต่าง ๆ และคู่ค้า โดยอาศัยซอฟต์แวร์ที่สามารถรวบรวมข้อมูลและจัดทำรายงานได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถใหม่ ๆ อาทิ โมเดลและการวิเคราะห์ขั้นสูง (Modeling and Advanced Analytics) ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงผลลัพธ์ด้าน ESG ให้แก่องค์กรอีกด้วย
ความปลอดภัยยังคงเป็นหัวใจ และ AI เป็นตัวคูณเช่นกัน
ยิ่งโลกเป็นดิจิทัลมากและเร็วขึ้นเท่าใด ภัยคุกคามไซเบอร์ก็มากขึ้นและเร็วขึ้นเท่านั้น ดังนั้น การสร้างภูมิคุ้มกันและความน่าเชื่อถือให้กับองค์กรในการรับมือภัยคุกคามไซเบอร์ที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น ซึ่ง Gen AI เข้ามาช่วยตอบโจทย์องค์กรยุคใหม่ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์
ปี 2567 จะเห็นบทบาทของ Generative Cybersecurity AI เทคโนโลยีที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการใช้งาน Generative AI เช่น การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลรั่วไหล และช่องโหว่การโจมตี เป็นต้น โดยใช้ Autoregressive Generative Large Language Models (LLMs) สื่อสาร หาและเพิ่มพูนความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้าง Security Use Cases
Generative Cybersecurity AI ยังสามารถประเมินความเสี่ยง ตรวจสอบ ติดตาม ระบุความผิดปกติบนระบบและรายงานผลให้ผู้ใช้งาน/ผู้ให้บริการทราบ ผ่านการโต้ตอบด้วยภาษามนุษย์ (Natural Language) เช่นเดียวกันกับใช้งาน Generative AI เพื่อหาคำตอบที่ต้องการ
นอกจากนี้ยังจะเห็นบทบาทของ AI-Enhance Security Operations เทคโนโลยี AI ที่เปรียบได้กับกระบวนการหลังบ้าน (Backend Process) ของระบบดำเนินการด้านความปลอดภัย ที่มาเพิ่มความสามารถในการวิเคราะห์เกี่ยวกับความปลอดภัยและแนวทางการตอบสนองต่อภัยคุกตามในรูปแบบต่าง ๆ
โดย AI – Enhance Security Operations ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งเพื่อวิเคราะห์ ค้นหา ไล่ล่าไวรัสมัลแวร์ และนำเสนอวิธีการรับมือกับเหตุการณ์นั้น ๆ ทำให้องค์กรสามารถป้องกันและจัดการกับปัญหาได้รวดเร็วแม่นยำมากขึ้น
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
แผนธุรกิจ 3 ปี “บลูบิค” ปักธงตลาดโลก เปิดบริษัทลูก เตรียมปิดดีล M&A ขยายฐานตลาดในไทย
Portfolio Company …. เป้าหมาย “บลูบิค กรุ๊ป” กับกลุยทธ์โตแล้วแตก แตกเพื่อโต
