วันนี้เดินมาถึงครึ่งทางที่นายกรัฐมนตรี มีดำริ “ตั้งเป้าเปิดประเทศใน 120 วัน” หากจำกันได้ เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2021 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
โดยหนึ่งใจความที่เป็นประเด็นร้อนแรงคงหนีไม่พ้น “ผมรู้ดีว่าการตัดสินใจของผมวันนี้ มาพร้อมกับความเสี่ยง เพราะเมื่อเราเปิดประเทศ ไม่ว่าเราจะเตรียมการป้องกันขนาดไหนก็ตาม ก็ยังมีความเป็นไปได้ว่า อาจจะทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นบ้าง แต่เมื่อเราประเมินสถานการณ์ และคิดถึงความอยู่รอดในการทำมาหากินของพี่น้องประชาชน ผมคิดว่า ถึงเวลาแล้วครับที่เราจะต้องยอมรับความเสี่ยงร่วมกันบ้าง หากความเสี่ยงนั้น เราได้ประเมินอย่างรอบคอบแล้วว่า อยู่ในระดับที่พอจะรับได้ เราต้องจัดลำดับความสำคัญภายใน สำหรับประเทศไทยของเรา เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ครับ”
โรดแมป ที่แถลงระบุชัดว่า หลังการเดินหน้าแผนฉีดวัคซีนว่า หากประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนตามแผนและฉีดเข็มแรกได้อย่างน้อย 50 ล้านคนหรือ 100 ล้านโดสในเดือนตุลาคม คิดเป็นร้อยละ 70 ของประชากร ถึงเวลาแล้วที่จะมองเรื่องการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวอีกครั้ง เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ไม่สามารถประกอบอาชีพได้
จากวันนั้น (16 มิถุนายน) ถึงวันนี้ ไม่ต้องพูดถึงจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดต่อวันที่เพิ่มทวีคูณมากขึ้น 10 เท่า จากตัวเลข 1,000 – 2,000 คนในวันนั้น วันนี้ 20,000 คน จำนวนผู้เสียชีวิต 100-200 ศพ แถบทุกวัน ไม่นับรวมจำนวนผู้ที่นอนรักษาตัวที่บ้าน หรือผู้ที่ยังไม่ได้ตรวจ และไม่ทราบว่าตัวเองติดโควิดหรือไม่
ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ยังคงมีคำสั่ง มาตรการคุมการระบาดโควิด-19 ที่ใช้บังคับ จนถึงวันที่ 31 สิงหาคมนี้ พื้นที่ควบคุม 29 จังหวัด ซึ่งยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า เมื่อถึงกำหนดสิ้นเดือนสิงหาคมจะมีการต่อมาตรการควบคุมหรือไม่
ในขณะที่จังหวัดนำร่องอย่างภูเก็ต ในโครงการภูเก็ตแซนด์บ๊อกซ์ เมื่อครบ 1 เดือนของการเปิดโครงการมีจำนวนมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่มากกว่า 90 รายต่อสัปดาห์ กระจายทั้ง 3 อำเภอ และมากกว่า 6 ตำบล ซึ่งเข้าข่ายของถูกระงับหรือยกเลิกโรงการได้
ส่วนตัวเลขผู้ฉีดวัคซีนตั้งแต่ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 16 สิงหาคม 2564 พื้นที่ 77 จังหวัด มียอดสะสม จำนวน 24,101,631 โดส คิดเป็น 24.10% ทั้งที่เหลือเวลาอีกเพียง 58 วันที่เป็นกำหนดเปิดประเทศ หรือหากจะขยายระยะเวลาการฉีดไปจนถึงสิ้นปี พ.ศ. 2564 จะเห็นว่า เหลือเวลาเพียง 137 วัน แต่เหลือวัคซีนที่จะต้องฉีดให้ครบตามจำนวนอีกเยอะ ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ไม่มีวัคซีนมากเพียงพอที่จะฉีดประชาชนที่รอคอย
ในขณะที่ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เผยตัวเลขเม็ดเงินที่รัฐบาลใช้ในการสู้รบกับการแพร่ระบาดกับไวรัสโควิด–19 โดยระบุว่า พรก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทในปีพ.ศ. 2563 และได้ออกพรก.เงินกู้อีก 5 แสนล้านบาทในปพ.ศ. 2564 โดยมีแผนงานหรือโครงการด้านสาธารณสุขในพรก.ทั้งสองฉบับ 6.4 หมื่นล้านบาทและ 3 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ
นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีงบกลางในปีงบประมาณ 2564 อีกประมาณ 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งยังพอมีเงินเหลือบางส่วน และยังจะมีงบกลางในปีงบประมาณ 2565 ซึ่งสามารถใช้จ่ายในด้านสาธารณสุขเพิ่มขึ้นอีก พรก.เงินกู้ทั้งสองฉบับและงบกลางดังกล่าวทำให้รัฐบาลมีเงินเพื่อแก้ปัญหาสาธารณสุขอันเนื่องมาจากการระบาดของโควิด-19 ในช่วงนี้อย่างน้อย 1.34 แสนล้านบาท เพื่อให้ประเทศไทยสามารถกลับสู่ปกติหรือเกือบปกติโดยเร็ว
รัฐบาลควรใช้เงินดังกล่าวในการ “ลงทุน” ด้านสาธารณสุขใน 5 ด้าน ต่อไปนี้
1. ประเทศไทยควรเร่งลงทุนในการจัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงโดยเร็วที่สุด และกระจายวัคซีนไปยังกลุ่มเป้าหมายให้ตรงจุดและโปร่งใส
2. ในระหว่างที่การจัดหาวัคซีนยังทำได้ช้า ควรลงทุนเพิ่มศักยภาพในการตรวจเชิงรุกขนานใหญ่ เพื่อกักตัวผู้ติดเชื้อและควบคุมการแพร่ระบาด ซึ่งจะลดความสูญเสียชีวิตและความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาล
3. กักแยกตัวและรักษาผู้ติดเชื้อโดยเร็ว โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยในชุมชนแออัดและผู้ไร้บ้าน
4. เพิ่มค่าตอบแทนบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ด่านหน้า และมีมาตรการป้องกันความเสี่ยงให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ด่านหน้าและครอบครัว
5. เพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่หรืออาสาสมัครดูแลผู้ป่วยที่แยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) และในสถานที่แยกกักผู้ป่วยในชุมชน (Community Isolation)
หากนายกรัฐมนตรียังคงยืนยันปณิธานที่จะเปิดประเทศให้ได้ ตามที่เคยประกาศไว้ รัฐบาลควรจริงจังกับการควบคุมการแพร่กระจายเชื้อไวรัสโควิด-19 มากกว่านี้ จริงอยู่ว่าแม้ภาครัฐจะเตรียมการป้องกันรัดกุมเพียงใดก็ตาม ยังมีความเป็นไปได้ว่า อาจจะทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลมีความจริงใจในการแก้ปัญหาและจะสามารถเปิดประเทศได้ คือ การเร่งฉีดวัคซีนให้กับประชาชน เพื่อให้ครอบคลุมจนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ แล้วจึงค่อยมาคิดว่า ความเสี่ยงที่จะพบเจออยู่ในระดับที่พอจะรับได้ หากต้องเปิดประเทศ เพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้