TH | EN
TH | EN
หน้าแรกColumnistปี 2566 ... "การ์ด" อย่าตก

ปี 2566 … “การ์ด” อย่าตก

น่าสังเกตว่าระยะหลัง ๆ “ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ออกมาส่งสัญญาณเตือนภัยเศรษฐกิจล่วงหน้าบ่อย ๆ ล่าสุดก็ออกมาส่งสัญญาณถึงสถานการณ์ในปี 2566 ในฐานะที่ธนาคารแห่งประเทศไทเป็นสถาบันที่มีความน่าเชื่อถือน่าที่จะทำให้ทุกฝ่ายต้องรับฟังและเตรียมตั้งรับกันให้ดี 

ดร.เศรษฐพุฒิ ได้ให้ข้อมูลผ่านสื่อหลายฉบับเพื่อต้องการสื่อถึงภาคธุรกิจและภาคประชาชนได้รับรู้ประเด็นหลักที่ต้องการเตือนให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้อง “ตั้งการ์ดสูง” เพื่อรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายที่อาจมาเยือน แต่จะมารูปแบบไหนท่านเองก็ยังไม่รู้ แต่เชื่อว่ามาแน่นอน โดยบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้น “เป็นความผิดเพี้ยนของตลาด” หรือ “Market Dysfunction” นั่นคือ อาการที่ตลาดเริ่มไม่ทำงานตามปกติที่ควรจะเป็น

พร้อมกับย้ำว่าเรื่องนี้คนยังพูดถึงน้อยมาก แต่มีความสำคัญ เพราะสถานการณ์ในตอนนี้ไม่ต่างกับสุภาษิตที่ว่า “น้ำลด ตอผุด” ซึ่งที่ผ่านมาทั่วโลกดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากเป็นพิเศษ กดดอกเบี้ยไว้ระดับต่ำ เมื่อถึงจุดหนึ่งปัญหาต่าง ๆ ก็เริ่มโผล่ออกมาให้เห็น

ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติยังบอกอีกว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นหากไปเกิดในจุดที่คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว ก็อาจไม่ได้เซอร์ไพร์ซอะไรมาก แต่ระยะหลังปัญหาต่าง ๆ มักไประเบิดในจุดที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน เช่นทุกครั้งเมื่อมีปัญหา เราก็พอจะรู้ว่าปัญหาจะตกอยู่ที่กลุ่มเอสเอ็มอีหรือประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ แต่ที่น่ากังวลไปกว่านั้นคือ ปัญหารอบนี้ดันไปเกิดกับประเทศและตลาดที่คิดว่าปลอดภัยที่สุด และยังเกิดในสินค้าที่มั่นคงที่สุดอีกด้วย

ผู้ว่าแบงก์ชาติยังยกตัวอย่างให้เห็นชัด ๆ คือ กรณีของอังกฤษ เป็นประเทศที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดปัญหา ที่สำคัญยังไปเกิดกับตัวพันธบัตรรัฐบาล ไปเกิดในกลุ่ม pension fund(กองทุนบำเหน็จบำนาญ) สะท้อนว่า สถานการณ์เวลานี้ปัญหาต่างๆ อาจเกิดขึ้นในจุดไหนก็ได้ ความเสี่ยงจึงมีสูงมากกว่าปกติ ที่กล่าวมาข้างต้นนี้ คือ อาการของ Market Dysfunction”หรือ “ตลาดผิดเพี้ยน” นั่นเอง

ดร.เศรษฐพุฒิ ย้ำเตือนว่า ปีหน้ากับระเบิดลักษณะนี้ยังมีอยู่เยอะ ที่น่ากลัวคือไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนบ้าง จึงอยากเตือนให้ทำใจเตรียมรับมือกับข่าวไม่ดี ซึ่งอาจจะทำให้ หุ้นตก ต่างชาติขนเงินกลับ ค่าเงินอ่อนลง นอกจากนี้ ยังมีอีก 2 ปัจจัยที่ ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ให้ความเป็นห่วง อันแรกคือ ปัญหา Geopolitics หรือความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในระยะยาวอย่างแน่นอน 

ส่วนอีกอัน คือ การดำเนินนโยบายแปลก ๆ ของภาครัฐ ซึ่งช่วงนี้ใกล้เลือกตั้ง พรรคการเมืองต่าง ๆ เริ่มหาเสียง และก็เริ่มเห็นการเสนอนโยบายที่อาจบ่อนทำลายเศรษฐกิจระยะยาว เช่น การพักหนี้ต่าง ๆ โดยผู้ว่าการแบงก์ชาติ ย้ำเตือนว่า อยากให้ดูบทเรียนในต่างประเทศเป็นตัวอย่าง เช่น ในอังกฤษชัดเจนมาก เพราะเห็นได้ชัดว่า “ตลาดจะ Punish stupid policy” หรือที่เรียกว่า “ตลาดจะลงโทษนโยบายโง่ ๆ” ขณะที่กรณีตัวอย่างในไทยที่น่ากังวลคือ นโยบายประชานิยมที่ดูดีระยะสั้น ๆ เช่น ล้างหนี้ กยศ. หรือลบเครดิตบูโร เป็นต้น

นอกจากนโยบายหาเสียงโดยที่พรรคการเมืองทั้งหลายได้นำเสนอนโยบายเศรษฐกิจแบบ”ประชานิยม”หรือที่เรียกว่านโยบาย “ขายฝัน” เพราะต้องการจะเรียกความนิยมจากประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ประเทศไทยยังต้องเผชิญกับปัจจัยภายในอีกมากมายทั้งเรื่องเศรษฐกิจและการเมือง อีกทั้งปีใหม่นี้จะมีความไม่แน่นอนทางการเมือง เพราะประเทศเข้าสู่การเลือกตั้งทั่วไป การเมืองจะอยู่ในช่วงชุลมุน 

สำหรับ ความท้าทายของเศรษฐกิจไทยปีหน้าที่ต้องจับตา คือ การส่งออก ซึ่งปีที่ผ่านมาถือเป็น “เครื่องยนต์หลัก” ในการปั๊มรายได้เข้าประเทศ แต่คาดว่าปีหน้าส่งออกจะต้อง”หดตัวลง”อันเนื่องมาจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะถดถอย ประเทศคู่ค้านำเข้าน้อยลง และภาวะเงินเฟ้อที่ยังอาจจะไม่ลดลงอย่างที่คาดหวัง

ดังนั้นความหวังในปีหน้าจึงอยู่ที่เครื่องยนต์รองคือ “การท่องเที่ยว” จะมาเป็น “เครื่องยนต์หลัก” เพียงตัวเดียวในการหารายได้ในปีหน้าแทน คาดว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเดินทางเข้ามาเที่ยวประเทศไทยในปี2566 อาจจะวิ่งไปที่ประมาณ 20 ล้านคน เปรียบเทียบกับปีนี้ที่ราว ๆ 10 ล้านคนเพิ่มขึ้นทั่ว

อย่างไรก็ตามนั่นเป็นเพียงการคาดการณ์เท่านั้น เป้าหมาย หลักคือนักท่องเที่ยวจากจีน เราเริ่มจะเห็นแสงสว่างจากมาตรการที่รัฐบาลจีนได้ผ่อนคลายการเดินทางมากขึ้น แต่จะนำไปสู่การเปิดทางให้นักท่องเที่ยวจีนออกนอกประเทศหรือไม่คงต้องลุ้นกันต่อไป จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยจึงต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขภายในของจีนเป็นสำคัญ นั่นหมาย ความว่าเครื่องยนต์การท่องเที่ยวจะทำงานได้ดีแค่ไหนก็คงต้องลุ้นกันต่อไป

กล่าวโดยสรุปสัญญาณปี 2566 มีแนวโน้มว่าอาการหนักแน่ ๆ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจเอกชน หรือภาคประชาช นต้องตั้งการ์ดให้สูงการ์ดอย่าตกโดยเด็ดขาด

ผู้เขียน: ทวี มีเงิน

บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน

ค่าแรง 600 บาท … แรงงานอยู่ได้ – ธุรกิจต้องอยู่รอด

เก็บ “ภาษีหุ้น” ได้-ไม่คุ้มเสีย !!!

คาถา “ลดความเหลื่อมล้ำ”

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ