มาตามผลโพล คนกรุงฯ ส่วนใหญ่พร้อมใจโหวตเลือก ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เป็นผู้ว่ากรุงเทพมหานคร 1,386,215 คะแนน ทำนิวไฮครั้งประวัติศาสตร์การเมืองไทย ส่วนว่าที่ผู้ว่ากทม.คนที่ 17 เจ้าของนโยบายชุดใหญ่ 214 แผนงานจะสามารถพลิกโฉมมหานครแห่งนี้ได้ขนาดไหน สมราคาคุยตอนหาเสียงหรือไม่ โปรดติดตามกันต่อไป
สัปดาห์ก่อนการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สภาพัฒน์ฯ รายงานภาพรวมเศรษฐกิจต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจกิจขยายตัว 2.2 % ซึ่งเป็นประเด็นที่ถูกนำไปขยายและกล่าวถึงต่อเนื่อง ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหมจู่ ๆ ก็หยิบประเด็นเศรษฐกิจดังกล่าวขึ้นมาแถลงที่ทำเนียบ (23 พ.ค. 65) ทั้งที่ทีมงานโฆษกรัฐบาลเคยแถลงไปแล้วก่อนหน้านี้
พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้อยากพูดถึงเรื่องเศรษฐกิจสักนิดในช่วง 3-4 เดือนของปีที่เศรษฐกิจเราโต 2.2% ปัจจัยสำคัญดูจากการใช้จ่ายของประชาชนเพิ่มขึ้น 3.9% ส่วนหนึ่งมาจากโครงการของรัฐบาลที่ส่งงบประมาณเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นในการดูแลมาตรการคนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน และอื่น ๆ การส่งออกเติบโตได้ 12% …..“
“….นักท่องเที่ยวปัจจุบันที่เข้าประเทศหลังจากยกเลิกเทสแอนด์โกไปแล้วตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.- 18 พ.ค. จำนวน 1.02 ล้านคน ขณะเดียวกันทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยประเมินไว้แล้วว่าปีหนึ่งน่าจะได้ถึง 7 ล้านคนถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือมีสถานการณ์โควิดอะไรมาเพิ่มเติม การลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 2.9%…”
สรุปรวมความ คือ นายกฯ ต้องการโชว์ว่า เบื้องหลังการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงที่ผานมามาจากนโยบายเพิ่มกำลังซื้อและการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวก่อนกำหนดเดิมของรัฐบาล และต้องการตอกย้ำว่า เศรษฐกิจในช่วงนี้ถือว่าอยู่ในช่วงฟื้นฟูอย่างช้า ๆ ไม่ถือว่าชะลอ ….
ดูเหมือนว่ารัฐบาลเพิ่มน้ำหนักฝากความหวังไว้กับภาคท่องเที่ยวให้เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีหลังของปีมากขึ้น โดยห้วงเวลาที่คาบเกี่ยวกันนั้น ดนุชา เลขาฯ สภาพัฒน์ฯ ได้กล่าวถึงการท่องเที่ยวไว้เช่นกัน โดยโยงกับกรณีที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) มีมติผ่อนปรนมาตรการเพิ่มเติมว่า ……. จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากขึ้นจากการเปิดกิจกรรมผับบาร์คาราโอเกะว่า ทำให้เกิดกิจกรรมการบริโภคคนจะมีรายได้มากขึ้น ขณะที่มาตรการให้นักท่องเที่ยวที่ไม่ฉีดวัคซีนหรือฉีดไม่ครบสามารถเดินทางเข้ามาในประเทศได้จะส่งผลดีต่อภาคการท่องเที่ยวของประเทศ เพราะทำให้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็น 10 ล้านคนต่อปีมีรายได้ 1 ล้านล้านบาทจากเดิมตั้งเป้าอยู่ที่ 7-8 ล้านคนต่อปีและมีรายได้ 5.7 แสนล้านบาท (มติชนออนไลน์ 21 พ.ค. 65)
ต่อด้วยผู้ว่าการท่องเที่ยวฯ ยุทธศักดิ์ สุภสร หลังร่วมหารือกับภาคเอกชนเตรียมความพร้อมรับการเปิดประเทศเต็มรูปแบบตั้งแต่ 1 มิถุนายนนี้ ให้สัมภาษณ์ว่า ได้ปรับเป้าหมายนักท่องเที่ยวช่วงโลว์ซีซั่น (พ.ค.-ก.ย.65 ) จาก 3 แสนคนต่อเดือน เป็น 5 แสนคนต่อเดือน ส่วนช่วงไฮซีซั่น (ต.ค.-ธ.ค. 65) คาดมีนักท่องเที่ยวเข้าไทยไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคนต่อเดือน
ผู้ว่าการท่องเที่ยวฯ มั่นใจว่าเป้าหมายดังกล่าวรวมกับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาช่วง 4 เดือนแรกของปี ประเมินว่าแนวโน้มปีนี้ (2565) จะมีนักท่องเที่ยวเข้าไทย 7-10 ล้านคน รวมกับตลาดท่องเที่ยวในประเทศที่ตั้งเป้าไว้ 160 ล้านคน-ครั้ง คาดปีนี้จะมีรายได้จากการท่องเที่ยว 1.5 ล้านล้านบาท หรือราวครึ่งหนึ่งของปี 2562 หรือปีก่อนที่โควิดมาเยือน
สาเหตุหลัก ๆ ที่รัฐบาลหันมาให้ความสำคัญกับการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว เพราะเป็นช่องทางที่เหลืออยู่ไม่กี่ช่องทางที่สามารถดูดเงินตราต่างประเทศเข้ามาฟื้นฟูประเทศได้เร็ว ประกอบกับเงินกู้จากพ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท (ฉบับที่ 2) เหลืออยู่เพียง 4.8 หมื่นล้านบาท แต่มีหลายโครงการยังรองบฯ เพื่อขับเคลื่อน เลขาฯสภาพัฒน์ ให้สัมภาษณ์สื่อเรื่องนี้ซึ่งสรุปความได้ว่า
ตอนนี้เงินกู้จากพ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาทเหลืออยู่ราว 7.4 หมื่นล้านบาท ส่วนหนึ่งจะจัดสรรสำหรับการดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นก่อนที่งบประมาณฯ 2566 ประกาศใช้ แบ่งเป็นโครงการเศรษฐกิจฐานราก 1 หมื่นล้านบาท จ่ายค่ารักษาพยาบาลโควิด–19 ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาท และก้อนสุดท้ายวงเงิน 4.8 หมื่นล้านบาทนำมากระตุ้นเศรษฐกิจในระยะถัดไป
คนละครึ่งเฟส 5 ที่ กระทรวงการคลังยังไม่มีข้อสรุปจะออกมารูปแบบไหน ต้องใช้งบจากงบก้อนที่เหลือที่กล่าวข้างต้นเช่นกัน โดยแนวคิดของ เลขาฯ สภาพัฒน์ ในฐานะผู้กำกับการใช้งบฯ จากพ.ร.ก.กู้เงิน ฯ ต้องการให้ใช้เงินก้อนนี้แบบเจาะจง ไม่หว่านโปรยไปทั่วเหมือนครั้งก่อน ๆ ด้วยเหตุผลที่ว่า เงินเหลือน้อย และอยากให้ใช้กระสุนกระตุ้นเศรษฐกิจลักษณะนี้ในไตรมาส 3 เพื่อเพิ่มแรงส่งทางเศรษฐกิจปลายปี อีกทั้งยังสื่อสารออกไปกว้าง ๆ โดยไม่ได้ระบุผู้รับสาร ….ด้วยว่า ไม่อยากให้คุ้นชินว่าต้องมีโครงการคนละครึ่งไปเรื่อย ๆ
ประมวลจากสถานการณ์และข้อมูลแล้ว ขนาดโครงการคนละครึ่งเฟส 5 คงถูกปรับให้สอดคล้องกับความเป็นจริงของงบประมาณที่เหลืออยู่ และมีโอกาสที่จะเป็นโครงการกระตุ้นการบริโภคชุดสุดท้าย ส่วนเศรษฐกิจในช่วงถัดไปจะเป็นอย่างไร คงต้องไปลุ้นว่าแผนเปิดเมืองเต็มรูปแบบหวังดูดนักท่องเที่ยวเข้าไทยจะบรรลุเป้าตามที่การท่องเที่ยวฯ ตั้งไว้ 7-10 ล้านคน หรือไม่?
แต่ถึงจะได้ภาคท่องเที่ยวฯ มาหนุนต้องไม่ลืมว่าเศรษฐกิจยังมีความเสี่ยง เพราะพิษสงครามยูเครนทำให้จีดีพีบ้านเราหายไปครึ่งเปอร์เซ็นต์
“ชญานิน ศาลายา” เป็นนามปากกาของ “คนข่าว” ที่เฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงของวัฎจักรเศรษฐกิจตลอดช่วง 4 ทศวรรษเศษ ที่ผ่านทั้งช่วงเวลา เฟื่องฟู โรยรา จนถึง ถดถอย จากวิกฤติค่าเงินปลายทศวรรษ 2530 วิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 และล่าสุดวิกฤติโควิด
บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน
วาระ “เปลี่ยนกรุงเทพฯ” กลับมาอีกครั้ง