สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เปิดตัว 2 นวัตกรรมตอบโจทย์เทศกาลท่องเที่ยวเมืองเชียงใหม่ “S.N.A.P” ใช้ AI ช่วยเฝ้าระวังอาชญากรรมและ “รีโคเวอรี่” นวัตกรรมที่ช่วยฟื้นฟูสุขภาพของผู้สูงอายุ รองรับการขยายตัวของสังคมสูงวัยในเชียงใหม่
ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อํานวยการสํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ กล่าวว่า จังหวัดเชียงใหม่เป็นเมืองอันดับสองรองจากกรุงเทพฯ ที่มีศักยภาพและความพร้อมต่อการเติบโตของนวัตกรรม โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว การอยู่อาศัย การแพทย์ การเกษตร อีกทั้งยังพร้อมต่อการรองรับกลุ่มดิจิทัลโนแมดและสตาร์ทอัพจากทั่วโลก และที่สำคัญเชียงใหม่ คือเมืองแห่งการท่องเที่ยว แต่จำนวนนักท่องเที่ยวในประเทศไทยยังไม่กลับมาเทียบเท่ากับช่วงก่อนการระบาดของโควิด 19 สิ่งที่จะช่วงผลักดันให้การเติบโตของนักท่องเที่ยวให้เข้ามามากขึ้นนั่นคือเรื่องความปลอดภัย
ดังนั้น NIA จึงเดินหน้าทำงานร่วมกับเครือข่ายเพื่อสนับสนุนการสร้างสรรค์ธุรกิจนวัตกรรมที่จะช่วยผลักดันเชียงใหม่ให้น่าอยู่อาศัย น่าลงทุนทำธุรกิจ น่าท่องเที่ยวมากขึ้น ตลอดจนสามารถผลิตนวัตกรรมที่ตรงกับบริบท และประเด็นทางสังคม ซึ่งหนึ่งในเป้าหมายคือการผลักดันให้เชียงใหม่เป็นต้นแบบของเมืองท่องเที่ยวที่ปลอดภัย จึงได้สนับสนุนโครงการ S.N.A.P Platform: ระบบรวบรวมและวิเคราะห์ภาพกล้องวงจรปิด (CCTV) ด้วย AI อัตโนมัติสำหรับเฝ้าระวังอาชญากรรมและอุบัติเหตุภายใต้กลไกของนวัตกรรมเพื่อสังคม
NIA ให้การสนับสนุนบริษัท อินฟีนิตี้ เจ็น จำกัด ผู้คิดค้นนวัตกรรม S.N.A.P Platform ซอฟต์แวร์ที่สามารถเชื่อมต่อกล้องวงจรปิดยี่ห้อต่าง ๆ จากหลายหน่วยงานให้สามารถเชื่อมต่อและแสดงผลบนแพลตฟอร์มเดียวกันได้โดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งกล้องใหม่ และนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาพัฒนากล้องเดิมให้ฉลาดมากขึ้น สามารถวิเคราะห์ภาพ เช่น พฤติกรรมการเคลื่อนไหว อัตลักษณ์การแต่งกาย ประเภทและความหนาแน่นของยานพาหนะ และเก็บรวบรวมข้อมูลสถิติเชิงวิเคราะห์ได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน ช่วยยกระดับการบริการประชาชนด้านการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมและอุบัติเหตุให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งช่วยลดงบประมาณการติดตั้งกล้องวงจรปิดใหม่เบื้องต้นลงได้มากถึง 10 เท่า ปัจจุบันนวัตกรรมดังกล่าวอยู่ในพื้นที่เขตการดูแลของตำรวจท่องเที่ยว จ.เชียงใหม่
S.N.A.P เชื่อมกล้องวงจรปิดด้วย AI
พันตำรวจโท มกรา ศรีสกุลพิสุทธิ์ สารวัตรใหญ่สถานีตำรวจท่องเที่ยวเชียงใหม่ กล่าวว่า Pain point หรือปัญหาของตำรวจท่องเที่ยวเชียงใหม่คือ กล้องวงจรปิดของแต่ละหน่วยงานใช้กันคนละยี่ห้อ จึงไม่สามารถเชื่อมต่อกันได้ นอกจากนี้ยังมีกล้องรุ่นเก่าที่ต้องการอัปเดตให้ใช้ AI ได้ ถ้าต้องติดตั้งกล้องใหม่ต้องใช้งบเป็นหลักร้อยล้าน ทางตำรวจท่องเที่ยวเชียงใหม่ได้ทุนจาก NIA มาพัฒนาซอฟต์แวร์ที่สามารถเชื่อมต่อ รวบรวมและวิเคราะห์ภาพกล้องวงจรปิด (CCTV) ทุกรุ่นทุกยี่ห้อด้วย AI อัตโนมัติ และตอนนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เอาโมเดลนี้ไปต่อยอดทำทั้งประเทศแล้ว คาดว่าปี 67 ถึง 68 จะเริ่มขยายผลไปจังหวัดอื่นได้
พ.ต.ท. มกรา กล่าวต่อไปว่า ประโยชน์ของซอฟต์แวร์ตัวนี้ช่วยวัดความหนาแน่นของนักท่องเที่ยวได้ จากที่ทุกวันนี้จะใช้การประมาณการจากเที่ยวบินที่มาลงแต่ยังไม่มีการนับในพื้นที่จริงๆ ในแง่มุมการสอบสวนของตำรวจ แพลตฟอร์มนี้ยังช่วยหาอัตลักษณ์ของบุคคลได้ด้วย แต่กล้องเทศบาลติดไว้สูงราว 3 เมตรทำให้มองเห็นใบหน้าไม่ชัด แต่ตำรวจสามารถใช้วิธีค้นหาจากสีเสื้อหรือสีกางเกงได้
S.N.A.P ยังช่วยในการวางแผนกระจายกำลังพลตำรวจท่องเที่ยวให้ครอบคลุมพื้นที่มากที่สุด ซึ่งเกิดผลลัพธ์ในการช่วยลดสถิติการก่ออาชญากรรมในพื้นที่เชียงใหม่ โดยตำรวจสามารถนั่งมอนิเตอร์กล้องจากจอที่สำนักงาน พอเห็นตรงไหนมีคนหนาแน่น ตำรวจก็กระจายกำลังพลออกตรวจตราตามจำนวนความหนาแน่นของผู้คน
ในช่วงสงกรานต์ 2566 ทางสถานีมีการนำเทคโนโลยีไปใช้ร่วมกับรถตำรวจเคลื่อนที่บริเวณลานประตูท่าแพ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งในปีก่อนๆ พื้นที่นี้จะมีการแออัด และเกิดเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทกันในบางครั้ง แต่เมื่อใช้แพลตฟอร์มดังกล่าว ในปี 2566 นี้ ทำให้ไม่เกิดการก่อคดีทะเลาะวิวาทเลยในตลอดช่วงเทศกาลซึ่งทำให้คดีลดลงกว่าร้อยละ 100 เมื่อเทียบกับในปีก่อนการใช้แพลตฟอร์ม
ดร. ภูดินันท์ สิงห์คำฟู อาจารย์ประจำสาขาวิศวกรรมซอฟต์แวร์ วิทยาลัยศิลปะ สื่อ และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี AI และดูแลโครงการ S.N.A.P กล่าวเสริมว่า อัตราความแม่นยำของการนับจำนวนความหนาแน่นของคนอยู่ที่ 80% ซึ่งทาง NIA ให้ทุนมาต่อยอดโครงการเพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์ที่บันทึกภาพนักท่องเที่ยวในระดับสายตา เพื่อจะได้สามารถตรวจจับบุคคลเฝ้าระวังได้โดยมีความแม่นยำราว 60-70% แต่ต้องมี database ของบุคคลเฝ้าระวังลิงค์มาที่ระบบ
“รีโคเวอรี่” ช่วยฟื้นฟูสุขภาพ
นอกจากการนำนวัตกรรมมาช่วยส่งเสริมให้เชียงใหม่เป็นเมืองท่องเที่ยวปลอดภัยแล้ว NIA ยังสนับสนุนทุนโครงการนวัตกรรมเเบบเปิด (OPEN INNOVATION) ในปีงบประมาณ 2564 สำหรับการพัฒนาต้นเเบบที่พร้อมนำไปขยายผลเชิงพาณิชย์ ให้กับบริษัท ชีวาแคร์ จำกัด ในการพัฒนาเเพลตฟอร์ม “รีโคเวอรี่ แพลตฟอร์ม” นวัตกรรมที่จะมาช่วยออกแบบ ประเมิน วางแผน และติดตามผู้ป่วยในระยะฟื้นตัวเฉพาะรายบุคคลและเฉพาะโรค ซึ่งจะช่วยในการฟื้นฟูสุขภาพของผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดร.กริชผกา กล่าวว่า NIA เห็นศักยภาพความพร้อมของเชียงใหม่ในด้านการแพทย์และสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่อาศัย รวมถึงประเด็นท้าทายอย่างสังคมสูงวัย จึงมุ่งส่งเสริมเชียงใหม่ให้เป็นสังคมสุขภาพดีอย่างยั่งยืน โดยปัจจุบันเชียงใหม่มีผู้สูงอายุมากกว่า 404,000 คน (ข้อมูล ณ เดือนตุลาคม 2566) มากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งจังหวัด และเป็นจังหวัดที่มีประชากรผู้สูงอายุมากเป็นอันดับ 3 ของประเทศ ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวจะสำเร็จได้จำเป็นต้องมีบริการสาธารณะและโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตในระยะยาว โดยเฉพาะการรับบริการด้านสุขภาพที่ช่วยให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะผู้สูงอายุเป็นวัยที่ต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
แต่ในภาพรวมประเทศไทยยังมีปัญหาอัตราส่วนนักกายภาพบำบัดที่เชี่ยวชาญน้อยมากหรือเพียง 10 คนต่อผู้ป่วยที่ต้องการกายภาพบำบัด 1,000,000 คน ขณะที่ผู้ป่วยที่อยู่ในระยะฟื้นตัวที่ต้องการทำกายภาพบำบัดมีเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25 ต่อปี ส่งผลให้ผู้ป่วยที่อยู่ในระยะฟื้นตัวกว่าร้อยละ 50 ได้รับการฟื้นฟูที่ไม่ถูกต้อง
“รีโคเวอรี่ แพลตฟอร์ม” ถือเป็นหนึ่งผลสำเร็จของย่านนวัตกรรมการแพทย์สวนดอก โดยเป็นโปรแกรมที่ช่วยในการฟื้นฟูสุขภาพของผู้ป่วยจากโรคหรืออุบัติเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทำงานของแพลตฟอร์มนี้จะใช้หลักการ “patient-centric and holistic approach” ร่วมกัน เพื่อให้การรักษาผู้ป่วยอย่างเข้าใจ ตอบสนองความต้องการและเพื่อประสิทธิภาพในการฟื้นตัวอย่างดีที่สุดทั้งร่างกายและจิตใจ ช่วยให้ผู้ป่วยหรือญาติสามารถประเมิน วางแผน และติดตามผู้ป่วยในระยะฟื้นตัวผ่านระบบที่ถูกออกแบบมาเฉพาะบุคคลและเฉพาะโรค ไม่ว่าจะเป็นโรคหลอดเลือดสมองหรืออัมพาต ภาวะหลังการผ่าตัดกระดูกและข้อ โรคสมองเสื่อม ซึ่งเป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ
นวัตกรรมที่ทางศูนย์ชีวาแคร์นำมาช่วยฟื้นฟูผู้ป่วย อาทิ เครื่องพยุงน้ำหนักแบบเคลื่อนที่สำหรับฝึกเดิน Balance D หรืออุปกรณ์วัดค่าความเสี่ยงล้มโดยใช้ Machine learning และ FoodPrompt ที่ใช้เทคโนโลยีสำหรับการให้โภชนบำบัดและการผลิตอาหารแบบเจาะจง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ