TH | EN
TH | EN
หน้าแรกColumnistแฟชั่น, อาหาร, ท่องเที่ยว 3 เสาหลักเศรษฐกิจอิตาลี

แฟชั่น, อาหาร, ท่องเที่ยว 3 เสาหลักเศรษฐกิจอิตาลี

ตอนนี้ ตระเวนอยู่อิตาลี ชะแว๊บมาพักผ่อนที่หมู่บ้านชาวประมง ที่กลายเป็นแหล่งท่องเทียวสำหรับคนที่ชอบวิถีชีวิตแบบเนิบช้า เป็นเมืองสงบน่ารักชื่อ “ซิงเคล เทเร” หรือเมือง 5 แผ่นดิน ประกอบด้วยหมู่บ้านชาวประมง 5 หมู่บ้าน ว่ากันว่าเป็นเป็นเมืองชนบทและเป็นหมู่บ้านประมงสวยที่สุดในโลกอยู่ห่างจากโรมนั่งรถไฟ 3 ชั่วโมง

แม้จะเป็นหมู่บ้านประมง แต่ก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวต่างหลงใหล มีทะเลสวย มีไร่องุ่นสำหรับทำไวน์พื้นเมือง มีอาหารอิตาลีสไตล์ชนบท ก็เลยจะถือโอกาสเล่าเรื่องเศรษฐกิจของอิตาลีสู่กันฟังพอหอมปากหอมคอ

อิตาลีมีอะไรที่คล้ายกับไทยหลายอย่าง แรกเลยเหมือนกันจนดูเหมือนถอดแบบกันมาเลยนั่นคือ การเมืองที่ไม่ค่อยมั่นคง มีการเลือกตั้งบ่อยไม่แพ้กัน รวมทั้งนิสัยคนอิตาลีก็เป็นแบบชิล ๆ สบาย ๆ แต่เวลาทำอะไรก็จะทำจริง แต่ที่ต่างกันมากคือ เศรษฐกิจของอิตาลีกลับเข้มแข็งมาก ๆ ถือเป็น 1 ในประเทศที่มีการเจริญเติบโตความก้าวหน้าทางในเศรษฐกิจมากที่สุดในโลก

เบื้องหลังคือธุรกิจ SME ซึ่งทำให้อิตาลีมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลกและอันดับ 3 ในสหภาพยุโรป หากวัดจากผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) คล้ายกับเยอรมันที่มีธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กที่เป็นฐานรากอันแข็งแกร่ง รวมทั้งมีทองคำสำรองในธนาคารมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก

แต่ที่โดดเด่นเป็นพิเศษตรงที่ อิตาลีเป็นประเทศที่เด่นในทุกเรื่องจนครบรอบด้าน ที่มีดีทั้งทางการค้า อุตสาหกรรม การส่งออก ศิลปวัฒนธรรม และโดยเฉพาะในด้านของอาหาร แฟชั่น การท่องเที่ยว ทั้งนี้เป็นผลอันเนื่องมาจากการใช้ชีวิตหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สร้างความมหัศจรรย์ทางเศรษฐกิจ ที่ทำให้หลายประเทศก้าวสู่การเป็นประเทศมั่งคั่ง และมีเศรษฐกิจที่ก้าวหน้าที่สุดอิตาลีก็เป็นหนึ่งในประเทศเหล่านั้น

ผลสำรวจอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจหลัง 1950-1962 หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ราว 12 ปี พบว่า เศรษฐกิจของอังกฤษและฝรั่งเศสเติบโต 130% แต่อิตาลีมีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงถึง 253% ซึ่งเป็นที่มาที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “ความมหัศจรรย์ทางเศรษฐกิจ” ของอิตาลี และในปี 1986 ก็สามารถแซงประเทศอังกฤษได้สำเร็จ นั่นจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากว่าอิตาลีทำอะไรกับเศรษฐกิจของประเทศ ในขณะที่การเมืองล้มเหลวไม่เป็นท่า

จากที่กล่าวไว้ข้างต้น เศรษฐกิจที่เติบโตสูงถึง 253% มาจากปัจจัยอะไรและอะไรที่ทำให้เศรษฐกิจของอิตาลีเติบโตได้สูงกว่าอังกฤษเมื่อทศวรรษ 50 ที่ผ่านมา เคล็ดลับก็คือ อะไรที่เป็นสินค้าราคาถูก และเป็นสินค้าที่ไม่ซับซ้อนนัก อิตาลีรับผลิตหมดทุกอย่าง เช่น รถขับเคลื่อนล้อหน้า เครื่องใช้ไฟฟ้า อย่างเช่นเครื่องซักผ้าและตู้เย็น เนื่องจากค่าแรงมีราคาถูก
ปัจจุบัน สินค้าที่ถือเป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลในด้านเศรษฐกิจของอิตาลีในช่วงเวลานี้ คือ สินค้าแฟชั่น อุตสาหกรรมอาหาร ท่องเที่ยว และธุรกิจ SME เป็นต้น อุตสาหกรรมอาหารของอิตาลีนับเป็นอุตสาหกรรมสำคัญที่สร้างรายได้และชื่อเสียงให้กับอิตาลี โดยมียอดจำหน่ายต่อปีประมาณ 130,000 ล้านยูโร มูลค่าการนำเข้า 20,000 ล้านยูโร มีความแข็งแกร่งด้านการส่งออกโดยมีมูลค่าการส่งออกเกินดุลทุกปีประมาณ 23,000 ล้านยูโร

ขณะที่การบริโภคภายในประเทศมีประมาณ 200,000 ล้านยูโร คนงานกว่า 6,000 คนอยู่ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง อุตสาหกรรมอาหาร นับเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่อันดับที่สองของประเทศ รองจากวิศวกรรมเครื่องกลโลหะ และอุตสาหกรรมอาหารของอิตาลีเป็นอันดับสามในยุโรป รองจากอุตสาหกรรมอาหารของเยอรมันและฝรั่งเศส

อิตาลีจึงเป็นประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยพลังของ Soft Power มาช้านาน อุตสาหกรรมอาหารของประเทศอิตาลีนั้นแข็งแกร่งมาก โดยที่เราเองก็เติบโตมากับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวที่มีเกี่ยวข้องกับอิตาลี อย่างเช่น น้ำมันมะกอก สปาเก็ตตี้ พิซซ่า คาโบนาร่า ที่มีการส่งออกเติบโตขึ้นทุกปี ทั้งยังปลูกองุ่นเพื่อทำไวน์เป็นพืชหลัก

แฟชั่นก็เป็นอีกหนึ่งธงนำ ในยุคเศรษฐกิจสหรัฐอเมริการุ่งเรือง หากจะมีใครสักคนที่สามารถส่งสินค้าไปขายให้กับอเมริกาได้ก็คงเป็นกุ๊ชชี่ของอิตาลี ตอนนั้นยังเป็นบริษัทผลิตเครื่องหนังที่ไม่ใหญ่มากนัก แต่คนอเมริกันก็เป็นกลุ่มแรก ๆ ที่รู้จัก ถือเป็นแบรนที่เปิดประตูสู่สินค้าของชาวอิตาเลี่ยนในสหรัฐและแบรนด์สัญชาติอิตาลีอีกมากมาย ทั้ง VALENTINO (วาเลนติโน่) PRADA (ปราดา) FENDI (เฟนดิ) GIORGIO ARMANI (จิออร์จิโอ อาร์มานี) และอื่น ๆ ก็ตามมาจนเป็นที่รู้จักของชาวโลก

หากจะบอกว่าด้านแฟชั่น อิตาลีครองอันดับ 1 ในการผลิต 3 ด้าน คือ อุตสาหกรรมเสื้อผ้า เครื่องหนัง และสิ่งทอ ก็คงไม่ผิดนัก

ในด้านการท่องเที่ยว อิตาลีเป็นประเทศผู้นำด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของกลุ่มยูโรโซน เป็นปลายทางการท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจากญี่ปุ่น จีน อเมริกา และออสเตรเลีย อิตาลีมีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เนื่องจากเป็นต้นกำเนิดอาณาจักรโรมันและยุครุ่งเรืองทางศิลปะ (Renaissance) ในปี 2021 อิตาลีมีแหล่งท่องเที่ยวมรดกโลกมากที่สุด 58 แห่ง ในจำนวนนี้ 53 แห่งเป็นแหล่งวัฒนธรรม

ในปี 2017 มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลก 150 ล้านคน และเดินทางไปอิตาลีในอัตราที่เติบโตขึ้นถึง 82% นี่คือปัจจัยที่ช่วยขับเคลื่อนสินค้าหรูแบรนด์ดัง LOUIS VUITTON THAILAND (หลุยส์ วิตตอง) Tiffany & Co (ทิฟฟานีแอนด์โค) ให้เติบโตแบบก้าวกระโดด อิตาลีถือเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับ 5 ของโลกรองจาก ฝรั่งเศส สเปน สหรัฐอเมริกาและจีน ในปี 2017 มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวอิตาลี 58.3 ล้านคนทำรายได้เข้าประเทศ 44.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ

ผลพวงจากการท่องเที่ยวบูมจึงเกิดวงจรเศรษฐกิจใหม่ ๆ หนึ่งในธุรกิจที่เฟื่องฟูมากในอิตาลีคือ Airbnb ที่ผู้เช่าและผู้ให้เช่าตกลงซื้อขายผ่านออนไลน์ ในปี 2017 Airbnb สามารถสร้างรายได้มากถึง 2,600 ล้านเหรียญ และในปี 2020 ราว 3,500 ล้านเหรียญสหรัฐ

จะเห็นว่าความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในเยอรมัน อิตาลี มาจากความเข้มแข็งและความสำเร็จ ที่ขับเคลื่อนโดยภาคส่วนอุตสาหกรรมขนาดกลางและเล็ก (SME)

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

เศรษฐกิจไทย “หมดบุญเก่า”

“การเมือง” เดดล็อก ..“ตลาดหุ้น-ลงทุน-กำลังซื้อ” วูบ

1 ทศวรรษ วงจรอุบาทว์ ทำลายข้าวไทย

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ