TH | EN
TH | EN
หน้าแรกColumnist1 ทศวรรษ วงจรอุบาทว์ ทำลายข้าวไทย

1 ทศวรรษ วงจรอุบาทว์ ทำลายข้าวไทย

ย้อนอดีตไปราว 50 ปีที่แล้ว ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 2 (พ.ศ.2510-2514) ระบุเอาไว้ชัดเจนว่าต้องยกระดับเกษตรกร โดยต้องทำให้เกษตรกรมีผลผลิตที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ต้องยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรให้มีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น

แต่ผ่านมาแล้ว 50 ปี ปัญหาทุกอย่างมีแนวโน้มแย่ลงเรื่อย ๆ หนี้ชาวนาก็กลายเป็นหนี้ครัวเรือนก้อนใหญ่ที่กลายเป็นภาระประเทศ เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีบทวิเคราะห์เกี่ยวกับชาวนาไทยโดยศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในประเด็น “10 ปี ชาวนาไทย: จนเพิ่ม หนี้ท่วม?” พบว่า ข้าวไทยวนเวียนอยู่ใน “วงจรอุบาทว์” 3 ด้าน มาตลอดหลายสิบปี ส่งผลให้ชาวนาไทย “ยิ่งทำนา ยิ่งเป็นหนี้เพิ่ม”

ด้านแรก การปลูกข้าว ชาวนาไทยมี “ต้นทุนการผลิตสูง” กว่าคู่แข่ง ชาวนาส่วนใหญ่ซื้อปัจจัยการผลิตด้วยเงินเชื่อ ทำให้เป็นหนี้ร้านขายปัจจัยผลิต หรือบางรายกู้เงินจากสถาบันการเงินสหกรณ์การเกษตร มาใช้เป็นทุนปลูกข้าว โดย 70% ของชาวนาที่เป็นหนี้ มีหนี้สิน 100,000 – 300,000 บาทต่อครัวเรือน

อีกทั้งผลผลิตต่อไร่ต่ำ เพียง 450 กิโลกรัม (เวียดนามมีผลผลิตต่อไร่ 1,000 กก.) ขาดพันธุ์ข้าวที่ตอบสนองความต้องการผู้บริโภค น้ำไม่เพียงพอ และซ้ำเติมด้วยภาวะโลกร้อน ขาดการวิจัยและพัฒนา แต่เวียดนามทุ่มงบวิจัย 3,000 ล้านบาทต่อปี ส่วนอินเดีย จีน และญี่ปุ่น มีงบวิจัยมากกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี

ด้านที่สอง เมื่อได้ผลผลิตข้าวแล้วนำไปขาย แต่กลับขายได้ราคาต่ำ จากปัญหาความชื้นสูง คุณภาพข้าวไม่ดี เอกลักษณ์ของข้าวไทยหายไป ทั้งความหอม ความนุ่ม เพราะมุ่งแต่เพาะปลูกให้ได้หลายรอบเพื่อให้ขายได้หลายรอบ (แต่ได้ราคาต่ำ) โดยไม่สนใจปรับปรุงคุณภาพข้าว และบำรุงดิน

ด้านที่สาม นำเงินไปใช้จ่าย โดยเมื่อขายข้าวได้แล้ว เงินส่วนใหญ่นำไปใช้หนี้ เหลือส่วนน้อยใช้จ่ายในครัวเรือน ทำให้รายได้ไม่พอรายจ่าย จึงต้องกู้เงินมาใช้จ่ายมาโดยตลอด เกิดหนี้สะสมก้อนใหญ่ ไม่มีวันใช้หนี้หมด

ชาวนาจึงหาวิธีปลดหนี้ คือ ขายที่นาของตนเอง แล้วเช่าทำนาต่อ จากนั้นก็เข้าสู่ “วงจรอุบาทว์” เหมือนเดิม ที่ผ่านมา ไม่มีรัฐบาลชุดใดช่วยแก้ปัญหานี้ และปลดหนี้ให้อย่างจริงจัง ส่งผลให้ชาวนาไทยจนที่สุดในเอเชียและอาเซียน โดยเมื่อเทียบกับคู่แข่งสำคัญอย่างอินเดีย เวียดนาม และเมียนมา

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หรือปี 2555-2565 จากบทวิเคราะห์พบว่า ปี 2565 ชาวนาไทยมีรายได้ 3,900 บาทต่อไร่ ลดลงจาก 4,678 บาทต่อไร่ในปี 2555 และเงินในกระเป๋า หายไป 1,160 บาทต่อไร่ จากที่มีเหลือ 838 บาทต่อไร่ ส่วนอินเดียมีรายได้11,116 บาทต่อไร่ และเงินเหลือในกระเป๋า 4,122 บาท, เวียดนาม รายได้ 8,321 บาท เงินเหลือ 3,223 บาท จาก 4,181 บาท และเมียนมารายได้ 5,953 บาท และมีเงินเหลือ 1,379 บาท ทุกประเทศมีเงินเหลือมีแต่ชาวนาไทยที่รายได้ติดลบ

ต้นทุนการผลิตข้าวของไทย 5,898 บาทต่อไร่ จากปี 2555 ที่ 3,839 บาท อินเดีย 6,994 บาท เพิ่มจาก 4,412 บาท, เมียนมา 4,574 บาท เพิ่มจาก 3,154 บาท และเวียดนาม 5,098 บาท เพิ่มจาก 4,070 บาทส่วนศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลกของข้าวไทยลดลง ส่งออกได้ 6-9 ล้านตัน เพราะถูกข้าวจากอินเดีย เมียนมา เวียดนาม เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาด ทำให้การส่งออกจาก 3 ประเทศ เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนว่าตลอด 10 ปีที่ผ่านมา “ข้าวไทย” ไม่ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นเลย ทั้งในด้านการเพิ่มศักยภาพการผลิต การลดต้นทุนการผลิต การวิจัยและพัฒนาข้าวสายพันธุ์ใหม่ ๆ ออกมาแข่งขันในตลาดและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป

งานวิจัยของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยคงตีแสกหน้านักการเมืองและรัฐบาลทั้งในอดีตและปัจจุบันแบบเต็ม ๆ ที่มองแต่ประโยชน์ระยะสั้น ๆ ด้วยการ “แทรกแซงตลาด” หรือ “แทรกแซงราคา” ไม่ว่าจะเป็นการ “รับจำนำ” หรือ “ประกันรายได้เกษตรกร” นโยบายรับจำนำข้าว นอกจากจะไม่ได้ช่วย ยังทำลายศักยภาพการแข่งขันของข้าวไทย กลายเป็นช่องทางทุจริตมหาศาล แต่รัฐบาลต่อมาก็ยังแทรกแซงด้วยการประกันราคา ก็เสียหายพอ ๆ กัน

ในความเห็นส่วนตัว ทางออกที่จะทำให้ชาวนาพ้นจากวงจรอุบาทว์ได้ เบื้องต้นรัฐบาลต้องเลิกนโยบายแทรกแซงราคาเพื่อหาเสียงซึ่งต้องใช้เงินมหาศาล เอาเงินจำนวนนั้นพัฒนาพันธุ์ข้าวมาลงทุนด้านเทคโนโลยี ปัจจุบันในประเทศไทยมีเทคโนโลยีด้านเกษตรก้าวหน้ามาก สามารถคำนวณคุณภาพดิน คำนวณปริมาณฝนล่วงหน้าได้ จะช่วยให้เพิ่มผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น ข้าวมีคุณภาพดี

ตัวอย่างจะเห็นความแตกต่างระหว่างชาวนาไทยกับญี่ปุ่นที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย อย่างชัดเจนคือมูลค่าผลผลิตต่อพื้นที่ของไทยน้อยกว่าของญี่ปุ่นประมาณ 8.5 เท่า โดยเกษตรกรไทยทำเกษตรในพื้นที่ 200,000 ตารางกิโลเมตร แต่มีมูลค่าการผลิต 29,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ประเทศญี่ปุ่นทำเกษตรในพื้นที่มีขนาดเล็กกว่าประมาณ 40,000 ตารางกิโลเมตร แต่ได้ผลผลิตมูลค่า 480,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ความแตกต่างทางด้านมูลค่าการผลิตมาจากการใช้เทคโนโลยี

ขณะที่เรื่องการตลาด มีตัวอย่างให้เห็นจากชุมชนวิสาหกิจศูนย์ข้าวของประเทศไทย หลายแห่งปลูกข้าวปลอดสารหรือข้าวอินทรีย์ส่งออกขายไม่ผ่านพ่อค้าคนกลางขายไปยังผู้ซื้อต่างประเทศในยุโรปและอเมริกา อย่างวิสาหกิจชุมชนศูนย์ข้าวบ้านอุ่มแสง ศรีสะเกษที่ส่งออกข้าวหอมมะลิอินทรีย์ส่งขายต่างประเทศโดยไม่พึ่งพ่อค้าคนกลาง 80% ตลาดใหญ่ที่สุดอยู่ที่สหรัฐและ ยุโรป เป็นที่ต้องการของตลาดและไม่ต้องถูกกดราคา

ตัวอย่างดี ๆ อย่างนี้นักการเมืองไม่สนใจ เพราะต้องใช้เวลา จึงคิดอะไรสั้น ๆ แต่ได้คะแนนนิยมใช้นโยบายแทรกแซง แต่ชาวนาไทยยังจมปลักอยู่ในวงจรอุบาทว์เช่นเดิม

ผู้เขียน: ทวี มีเงิน

บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน

“การเมือง” เดดล็อก ..“ตลาดหุ้น-ลงทุน-กำลังซื้อ” วูบ

“วันหยุดยาว” กับ “ราคาที่ต้องจ่าย”

“อาวุธใหม่” ในสงครามการค้า

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ