TH | EN
TH | EN
หน้าแรกBusinessบล.บัวหลวง แนะทิศทางตลาดหุ้นครึ่งปีหลังฟื้นตัว คลายแรงกดดันจากเงินเฟ้อและปัจจัยทางการเมือง

บล.บัวหลวง แนะทิศทางตลาดหุ้นครึ่งปีหลังฟื้นตัว คลายแรงกดดันจากเงินเฟ้อและปัจจัยทางการเมือง

หลักทรัพย์บัวหลวงประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปี 2023 พบการเคลื่อนไหวของตลาดโดยรวมแม้จะยังคงเคลื่อนในกรอบแคบ ๆ ไม่หวือหวา แต่ก็เป็นไปในช่วงขาขึ้นมากกว่าขาลง เนื่องจากได้แรงหนุนจากแรงกดดันของเงินเฟ้อที่ลดลง บวกกับสถานการณ์การเมืองไทยที่เริ่มนิ่งมากขึ้น ทำให้นักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนในตลาดไทยอีกครั้ง

ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ได้อธิบายสถานการณ์ทิศทางเศรษฐกิจโลกและภูมิภาคเอเชียในช่วงที่เหลือของปี 2023 ว่ายังคงอยู่ในช่วงของการฟื้นตัวจากวิกฤติโควิด โดยเศรษฐกิจในเอเชียมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดีกว่าฝั่งตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกาและยุโรปที่ยังคงหนักใจกับตัวเลขเงินเฟ้อ ขณะที่เอเชียสถานการณ์เงินเฟ้อเริ่มคลี่คลาย ทำให้มีความได้เปรียบในแง่ของการใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากกว่าฝั่งชาติตะวันตก

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมเศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย โดยเฉพาะเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชัยพรชี้ว่าการเติบโตของไทยโดยเฉลี่ยยังคงต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ เล็กน้อย เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาการส่งออกไทยลดลงตามทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ผู้บริโภคภายในประเทศค่อนข้างระมัดระวังในการใช้จ่าย และการลงทุนที่ชะลอตัวเพราะนักลงทุนรอดูสถานการณ์การเมืองไทย

สำหรับในช่วงไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปีนี้ ชัยพรชี้ว่าตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยบวกให้นักลงทุนกลับเข้ามาลงทุน ประการแรกก็คือแรงกดดันจากการเมืองไทยหมดไป เพราะพรรครัฐบาลผสมสามารถบรรลุข้อตกลงเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาล โดยทีมเศรษฐกิจของเพื่อไทยมีเปิดโผมามีประสบการณ์ทำให้นักธุรกิจและนักลงทุนเบาใจได้ระดับหนึ่ง

ขณะเดียวกัน การส่งออกของไทยก็มีแนวโน้มจะฟื้นตัวในครึ่งปีหลังเช่น โดยดูจากสินค้าคงคลังในประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะ สหรัฐฯ ชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกที่ลดลงอยู่ในระดับ Low bottom ทำให้ทีมนักวิเคราะห์ของบัวหลวงคาดว่าบริษัทในสหรัฐฯ จะมีคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามาเติมเต็มคลังสินค้าของตนเองครั้ง

นอกจากนี้ ปัจจัยด้านต้นทุนธุรกิจอย่างราคาพลังงานมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง และคาดกว่าราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในตลาดโลกจะทรงตัวอยู่ในระดับ 80-90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับราคาที่ไม่สูงนักและกลุ่มประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันทั้งหลาย รวมถึงกลุ่มโอเปก ยอมรับได้ อีกทั้งแนวโน้มการลงทุนด้านพลังงานน้ำมันในระยะยาวมีโอกาสลดลง เนื่องจากทั่วโลกกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานไฟฟ้า หรือพลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

แม้จะมีแรงบวกหนุนการลงทุนในตลาดหุ้น แต่ชัยพรก็เตือนว่าไทยยังมีปัจจัยน่าเป็นห่วงเนื่องจากหนี้สาธารณะของภาครัฐ และหนี้ครัวเรือนของภาคประชาชนในเวลานี้อยู่ในระดับสูงเต็มเพดาน ดังนั้น การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายของรัฐบาลผสมชุดใหม่อาจเป็นไปอย่างจำกัด อีกทั้งปัญหาหนี้ในเวลานี้ทำให้แม้อัตราดอกเบี้ยจะมีโอกาสปรับลดลงตามตัวเลขเงินเฟ้อที่ลดลง แต่ภาคธนาคารยังคงระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งอาจทำให้สภาพคล่องไม่ลื่นไหล

ยิ่งไปกว่านั้น การที่รัฐบาลที่กำลังจะเข้ามารับตำแหน่งเป็นรัฐบาลผสมกว่าสิบพรรค ทำให้นโยบายบางอย่างที่หาเสียงไว้มีความไม่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นจริง กระนั้นผลกระทบของนโยบายที่มีต่อตลาดทุนน่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงปีหน้ามากกว่า

ทั้งนี้ ชัยพรมองว่าภาพรวมตลาดหุ้นไทยปีนี้จะเคลื่อนไหวอยู่ในลักษณะ “Swing แบบ Sideways” โดยมองกรอบด้านล่างดัชนีระดับ 1,500 จุด ส่วนกรอบบนอยู่ที่ระดับไม่เกิน 1,625 จุด ซึ่งถ้ามองจากระดับดัชนีในตอนนี้ ชัยพรชี้ว่า Downside ของตลาดมีไม่มากนัก ดังนั้นหากนโยบายของพรรคเพื่อไทยสามารถทำได้จริงตลาดหุ้นน่าจะตอบรับในเชิงบวก ส่วนประเด็นม็อบลงถนนในระยะ 1-3 เดือนยังเร็วเกินไปที่จะเกิดขึ้น เพราะส่วนใหญ่ต้องให้เวลารัฐบาลใหม่บริหารบ้านเมือง และมีประเด็นที่ไม่ชอบธรรมอื่น ๆ ซึ่งมักใช้เวลาประมาณ 12 เดือน

ในส่วนปัจจัยภายในประเทศที่น่ากังวลในเชิงการลงทุน คือ เรื่องนโยบายภาครัฐ การบริหารเงิน Digital wallet หัวละหนึ่งหมื่นบาทสำหรับคนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป, ความพยายามแก้ไขกฎหมายให้มีการจัดเก็บกำไรของผู้ที่ลงทุนในตลาดหุ้น, การเก็บภาษีซื้อขายหุ้น (Transaction Tax), การปรับค่าแรงขั้นต่ำ รวมถึงนโยบายด้านพลังงานน้ำมันและไฟฟ้า ซึ่งเรื่องนี้นักลงทุนน่าจับตาดูเป็นพิเศษว่าพรรคเพื่อไทยจะสามารถทำได้ตามที่หาเสียงไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่

ส่วนปัจจัยต่างประเทศ คือ เศรษฐกิจจีนที่ได้รับผลกระทบจากการกีดกันการค้าจากรัฐบาลสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป-อียู โดยเฉพาะสินค้าเทคโนโลยี และผลกระทบภายในประเทศจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นฟองสบู่ และเริ่มมีปัญหาการชำระหนี้ของผู้ประกอบการใหญ่ภายในประเทศ

ชัยพรกล่าวว่า ปัจจุบันไทยส่งออกสินค้าไปจีนในสัดส่วนประมาณ 12% ของมูลค่าสินค้าส่งออกทั้งหมด หากรวมส่งออกจีนและประเทศที่เกี่ยวข้องกับจีนจะมีสัดส่วนกว่า 17% ดังนั้นหากเศรษฐกิจจีนหดตัวหรือฟื้นตัวช้ากว่าคาด หรือมีปัจจัยอะไรที่ทำให้เศรษฐกิจและการลงทุน
ในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนแย่ไปกว่าเดิมจะส่งผลกระทบกับไทยทางอ้อม

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจำนวนนักท่องเที่ยว การลงทุน หรือการดัมพ์ราคาสินค้าสู่ประเทศอาเซียนหรือตลาดโลก ซึ่งสินค้าบางอย่างจากจีนเป็นคู่แข่งโดยตรงกับผู้ผลิตในไทยทำให้บริษัทไทยค้าขายยากขึ้น เช่น ธุรกิจวัสดุประเภทกระเบื้องห้องน้ำและกระเบื้องปูพื้น ปูนซีเมนต์ เฟอร์นิเจอร์ ชิ้นส่วนไฟฟ้า อย่างไรก็ดีในฝั่งของสหรัฐฯ และยุโรป ในเรื่องของนโยบายการเงินที่มีความเข้มงวดอยู่แล้ว แต่ชัยพรก็เชื่อว่าแนวโน้มข้างหน้าจะผ่อนคลายลง ต่างจากจีนที่แม้จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยแต่ไม่ได้ Aggressive มากนัก

ทั้งนี้ หากเศรษฐกิจจีนไม่ฟื้นตัว ตลาดหุ้นอาจเกิด Downside แต่ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา เศรษฐกิจจีนยังเติบโตได้ใกล้เคียง 5.5% แต่ครึ่งปีหลังต้องออกแรงมากขึ้นในเชิงนโยบาย ไม่อย่างนั้นตัวเลขเศรษฐกิจจะชะลอต่ำกว่าเป้า บลจ.บัวหลวงเชื่อว่าหากเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงจะกระทบอาเซียน เนื่องจากจีนเริ่มมีบทบาทมากขึ้นในหลายประเทศ ทั้งในเรื่องของนักท่องเที่ยวและการมีส่วนร่วมการบริโภคภายในอาเซียน ฉะนั้นต้องจับตาในช่วงที่เหลือของปีนี้ว่าจีนจะสามารถพาตัวเองฟื้นกลับมาเติบโตได้ตามเป้าหมายหรือไม่

ส่วนปรากฏการณ์เอลนีโญ และภัยแล้ง ถือเป็นความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 67 ต่อภาวะราคาอาหารที่จะปรับตัวสูงขึ้น

สำหรับในแง่ของนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในช่วงที่เหลือของปี ชัยพรแนะให้พิจาณาหุ้นในกลุ่มบริษัทบริหารจัดการหนนี้ กลุ่มการบริโภค กลุ่มโรงงานไฟฟ้า และกลุ่มส่งออกยานยนต์

ชัยพรอธิบายว่า หุ้นในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคภายในประเทศจะได้รับประโยชน์จากภาวะเศรษฐกิจที่ค่อย ๆ ฟื้นตัว และนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาล ดังนั้น จึงควรเพิ่มน้ำหนักการลงทุน (Overweight) ในกลุ่มธนาคาร เนื่องจากการควบคุมความเสี่ยงได้ดี, เงินกองทุน CAR ตามมาตรฐานของธนาคารแห่งประเทศยังอยู่ในระดับสูง มีความมั่นคง ถือว่าบาลานซ์ได้ดี ส่วนนอนแบงก์หรือไฟแนนซ์ที่ปล่อยกู้คอนซูเมอร์ไฟแนนซ์ ยังมีความเสี่ยงกับคุณภาพของลูกหนี้ ฉะนั้นแนะนำชะลอการลงทุนในกลุ่มนอนแบงก์ไปก่อน

ขณะเดียวกันในมองหุ้นในกลุ่มบริโภคภายในประเทศที่มีโอกาสได้ประโยชน์จากนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่จะแจกเงิน 10,000 บาท ผ่านโทเคนให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยในรัศมี 4 กิโลเมตร เพื่อให้เงินกระจายในท้องถิ่นนั้น หากดูจากประมาณการเม็ดเงินที่แบงก์ชาติพูดถึง
5 แสนล้านบาท ต้องผ่านกระบวนการแก้กฎหมายขยายเพดานหนี้ก่อน แต่ในแง่ผลบวกเชิงเศรษฐกิจการหมุนเวียน

ทั้งนี้ การบริโภคภายในประเทศในระยะสั้นน่าจะดีขึ้น หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคน่าจะดีและได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น ขณะที่หุ้นในกลุ่มธุรกิจด้านการท่องเที่ยวก็มีความน่าสนใจที่จะเข้าไปลงทุนเช่นกัน เพราะจะได้รับประโยชน์จากมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า และนักท่องเที่ยวที่จะไหลเข้ามาในประเทศไทย เพื่อสัมผัสประสบการณ์ที่หาไม่ได้ในที่อื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น Street food, spa และ services

นอกจากนี้ ชัยพร ยังคงแนะให้ Underweight หรือมองเชิงลบสำหรับหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับภาคก่อสร้าง เนื่องจากการผลักดันโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐยังทำได้ยากถัดจากนี้ ด้วยข้อจำกัดด้านหนี้สาธารณะที่สูง ขณะที่การลงทุนของภาคเอกชนจะรอจนเห็นนโยบายของภาครัฐชัดเจนก่อน

ส่วนหุ้นในกลุ่มขนส่งเดินเรือ ก็ถือเป็นตัวที่ต้องระวัง เพราะในช่วงปีก่อนทำได้ดีมาก แต่ปีนี้ค่าระวางลดลงมากกระทบกำไรบริษัทเดินเรือ เราจึงมองว่าปีหน้าจะดีเฉพาะรถไฟกับสนามบิน ขณะเดียวกัน หุ้นในกลุ่มกลุ่มปิโตรเคมีก็ต้องระวังด้วยเช่นกัน เพราะ Spread ยังไม่ดี ซัพพลายเข้าสู่ตลาดค่อนข้างมาก

ด้านการจัดพอร์ตลงทุน (Asset Allocation) ชัยพรแนะให้ลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ ตราสารหนี้ภาคเอกชนที่มีเรทติ้งอยู่ในระดับที่น่าสนใจต่อการลงทุน(Investment Rating) โดยให้สัดส่วนในพอร์ทไว้ที่ 32% ทองคำ 13% ส่วนที่เหลือแนะลงทุนในตลาดหุ้น 55% โดยตลาดหุ้นต่างประเทศที่ยังคงเนื้อหอมสำหรับนักลงทุนไทย คือ เวียดนาม ฮ่องกง และสหรัฐฯ

“การเมือง” เดดล็อก ..“ตลาดหุ้น-ลงทุน-กำลังซื้อ” วูบ

เปิดสัมพันธ์ลับ ค่าแรง กับ ตลาดหุ้นไทย

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ