Coral เป็นแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลสสำหรับ NFT (NFT Marketplace) ที่ต้องการนำศิลปินและผู้ที่มีความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะทั้งเอเชียสามารถสร้างรายได้จากความสามารถได้ง่าย ต้องเป็นประตูแห่งโอกาส
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือผู้ส่งออกงานศิลปะรายใหญ่ของโลก ในขณะที่ศิลปินขาดโอกาสในการทำการตลาดและขาดช่องทางในการเผยแพร่งานศิลปะสู่ชาวโลก
Coral ต้องการเปิดประตูแห่งโอกาสนี้ให้กับศิลปินในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านศักยภาพของ Coral และความร่วมมือกับพันธมิตร เพื่อให้ศิลปิน แบรนด์ และพันธมิตร สามารถสร้างและทำงานร่วมกันได้
3 จุดเด่นของ Coral ขยายตลาดงานศิลปะ NFT
ธนะเมศฐ์ อาริยวัฒน์ Head of Venture Builder, KASIKORN X (KX) กล่าวว่า จุดเด่นหลัก 3 อย่างของ Coral จุดเด่นประการแรก คือมีการยืนยันตัวตนของศิลปินก่อนที่จะนำงานศิลปะขึ้นบนแพลตฟอร์ม เป็นการป้องกันการขโมยตัวตน (identity) และผลงานของตัวศิลปิน รวมถึงดูแลลิขสิทธิ์และกรรมสิทธิ์ในผลงานศิลปะที่คนซื้องานศิลปะ โดยร่วมมือกับกรมทรัพย์สินทางปัญญาออกตราสีชมพู (Badge “© Informed to DIP”) ให้กับงานศิลปะ NFT บน Coral แพลตฟอร์ม NFT Marketplace และบริการลิขสิทธิ์แบบครบวงจร
ศิลปินนำงานศิลปะไปจดแจ้งลิขสิทธิ์กับกรมทรัพย์สินทางปัญญา นำเลขจดแจ้งใส่งานศิลปะ Coral ที่นำมาสร้างเป็น NFT ข้อมูลลิขสิทธิ์นี้จะไปอยู่ใน metadata ในบล็อกเชน เพื่อช่วยคุ้มครองลิขสิทธิงานศิลปะของศิลปิน
จุดเด่นประการต่อมา คือมาตรฐานการซื้อขายบน Coral คือมาตร Ethereme ซึ่งเป็นมาตรฐานโลก จากสถิติพบว่ามากกว่า 70% ของการซื้อขายงานศิลปะ NFT อยู่บนอีเธอเรียม (Ethereum) และการซื้อขายทำได้ง่าย ๆ 3 ขั้นตอน คือสแกนคิวอาร์โค้ด หรือเข้าไปที่เว็บไซต์ coralworld.co จ่ายด้วยเงินบาท และได้รับงานศิลปะ NFT มาครอบครอง จุดเด่นนี้ คือการที่ให้ผู้บริโภคสามารถซื้องานศิลปะ NFT ได้ด้วยเงินบาท ไม่ว่าจะจ่ายด้วยบัตรเครดิต เดบิต หรือแอปฯธนาคาร จะทำให้งานศิลปะของศิลปินสามารถเข้าถึงคนทั่วไปที่ใช้ช่องทางการชำระเงินที่ธรรมดาสามัญในชีวิตประจำวันได้
จุดเด่นอีกประการ คือกิจกรรมออฟไลน์ของ Coral เพื่อเปิดโอกาสการเข้าถึงกลุ่มคนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของงานศิลปะได้มากขึ้นมากกว่าการอยู่เพียงบนออนไลน์
“จุดเด่นสำคัญทั้ง 3 อย่าง คือการยืนยันตัวตน จ่ายด้วยเงินบาท วิธีการปกติ ไม่เกี่ยวกับเงินสกุลคริปโต NFT เป็นมาตรฐานสากล (Ethereum) และการโฟกัสออฟไลน์ ทำให้ Coral ได้รับการตอบรับจำนวนมาก”
TDAF บทพิสูจน์ความสำเร็จแนวคิด Coral
งาน Thailand Digital Art Festival (TDAF) ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เป็นการตอกย้ำความสำเร็จของจุดแข็งของ Coral เพราะความสำคัญของตัวตนศิลปินและลิขสิทธิของงานศิลปะเป็นหัวใจ Coral จึงได้รับความไว้วางใจจากศิลปิน 750 กว่าชีวิต มี NFT เข้าร่วมหลักพันชิ้น การตอบรับดีทำให้ต้องขยายงานจาก 5 – 20 มีนาคม เป็น 5 มีนาคม ถึง 17 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นงานที่ใหญ่แสดงศิลปะที่สุดของเอเชียในรอบ 30 ปี และเป็นงานที่มีการผสมผสานระหว่างศิลปินหลายรุ่น ตั้งแต่ศิลปินแห่งชาติที่ล่วงลับไปแล้วจนถึงศิลปินหน้าใหม่ มีงานศิลปะหลากหลายแขนง และเป็นครั้งแรกที่เป็นทั้งงานออนไลน์และออฟไลน์จัดร่วมกัน และสามารถขายงานศิลปะในราคาที่ค่อนข้างสูงตั้งแต่ 25,000 บาทไปจนถึง 2,850,000 บาท
“ความสำเร็จนี้เป็นบทพิสูจน์สมมติฐาน 2 ประการ คือ งานศิลปะขายได้ในรูปแบบของ NFT และสามารถขายงานศิลปะ NFT ที่มีราคาสูงมาก ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในประเทศไทย (ณ ช่วงเวลานี้)”
งาน TDAF ทำให้ Coral เป็นแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลสสำหรับ NFT ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยในมิติจำนวนศิลปินและความหลากหลายของงานศิลปะ งาน TDAF ทำให้ Coral เป็นพันธมิตรกับกรมทรัพย์สินทางปัญญาทำให้ Coral เป็นแพลตฟอร์มที่เป็นมิตรกับลิขสิทธิ์ (copyrights friendly platform) และ Coral ยังร่วมมือกับสภากาชาดไทย
และเกิดความร่วมมือกับสภากาชาดไทย เปิดตัวงาน “นิทรรศการศิลปะดิจิทัลเพื่อสภากาชาดไทย ผลงานศิลปะฝีพระหัตถ์สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี Digital Arts NFT : RedCross x KX” โดยเงินรายได้สมทบทุนโครงการ “เงินทุนฉุกเฉินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ สภากาชาดไทย”
Coral คือ International Platform
เป้าหมาย คือเป็นแพลตฟอร์มที่ศิลปินเชื่อถือ และพลังของ Coral NFT Marketplace สามารถช่วยให้ศิลปินไทยสามารถขายผลงานศิลปะในรูปสินทรัพย์ดิจิทัลไปได้ทั่วโลก ผ่านบริการครบวงจรตั้งแต่พาเข้ามาสู่โลก NFT บริการทรัพย์สินทางปัญญา
อยากให้ Coral เป็นแพลตฟอร์มที่ศิลปินสามารถสร้างรายได้ที่ต่อเนื่องและเป็นรายได้ที่มีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่องทางรายได้อื่น ๆ ที่เขามี อยากให้ศิลปินขายงานได้อย่างต่อเนื่องบน Coral
ปัจจุบันมีศิลปินขายผลงานศิลปะอยู่บน Coral 150 คนเป็นศิลปินไทยทั้งหมด เป็นทั้งไฟล์ภาพและไฟล์วิดีโอ มีผลงานวางขายอยู่มากกว่า 1,000 ชิ้น ผู้ซื้อมาจากไทยราว 80% มาจากต่างประเทศ 20% มีแผนจะเพิ่มสัดส่วนผู้เข้าชม (visitor) จากต่างประเทศ มาเยี่ยมชมผลงานที่ Coral ด้วยแคมเปญออนไลน์โปรโมตผลงานศิลปะของศิลปินที่อยู่บนแพลตฟอร์มให้เป็นที่รู้จักในต่างประเทศ และจะเปิดตัวคอมมิวนิตี้ของ Coral
เป้าหมาย คืออยากพลิกสัดส่วนผู้เข้าเยี่ยมจากต่างประเทศเป็น 80% ตลาดงาน NFT ทั้งที่เป็นคริปโทและเงินปกติ ตลาดในไทยมีน้อยมาก ตลาดส่วนใหญ่อยู่ต่างประเทศ ฉะนั้น หากสร้างแคมเปญออนไลน์ที่เป็นแคมเปญคอมมิวนิตี้มีโอกาสสูงมากที่จะเพิ่มปริมาณการซื้อจากผู้ซื้อจากต่างประเทศ
ปัจจุบัน Coral ยังโฟกัสที่จะส่งเสริมศิลปินไทยเป็นหลัก อยากเป็นแพลฟอร์มที่รวบรวมศิลปินขึ้นมาอยู่บนแพลตฟอร์มให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ศิลปินสามารถเข้าถึงกลุ่มคนเสพและซื้องานศิลปะที่กว้างมากขึ้นด้วยวิธีการจ่ายเงินที่เขาใช้ในชีวิตประจำวัน
ค่าใช้จ่ายของศิลปินบน Coral มี 3 ส่วน คือค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์ม (platform fee) 10% ค่า mint ซึ่งขึ้นกับ Ethereum Network และค่าธรรมเนียมการชำระเงิน 2.5% แต่ Coral ใช้ Lazy Minting คือศิลปินจะยังไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ จนกว่าจะมีคนซื้องานศิลปะชิ้นนั้น ซึ่งแผนของ Coral จะสนับสนุนการซื้อขายงานศิลปะ NFT ในราคาที่ถูกลงมาแตะระดับ 1,000 บาท เพื่อเข้าถึงคนได้จำนวนมากขึ้น
DeFi and Beyond
DeFi เป็นมากกว่าบริการ “การเงิน” KX โฟกัสมากกว่า “บริการทางการเงิน” เริ่มจาก Coral ที่ช่วยให้อุตสาหกรรมอื่นได้ประโยชน์จาก เพราะ DeFi Coral คือความสามมารถในการสร้างทรัพย์สินจริง ๆ ได้ในโลกดิจิทัล จะเห็นบริการใหม่ ๆ ที่นอกเหนือจากการเงิน และศิลปะ
แม้ว่าตลาด NFT เกิดขึ้นตั้งแต่ 2017 แต่เริ่มเข้าสู่กระแสหลักและได้รับความนิยมเมื่อปีที่ผ่านมา ตลาด NFT เติบโตเร็วและจะมีขนาดใหญ่มาก จะทำให้เกิดการแข่งขันสูงและคัดเลือกผู้ที่ไม่แข็งแรงออกไปจากตลาด เหลือแต่ผู้ให้บริการที่มีศักยภาพ และแนวโน้ม คือ จะเห็น NFT ประเภทใหม่ ๆ มากขึ้นที่นอกเหนือจากงานศิลปะ และจะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของผู้คนมากขึ้น และ Coral จะมีบทบาทตรงนั้น …
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
เมื่อสภากาชาดไทยจัดระดมทุนผ่าน NFT
