TH | EN
TH | EN
หน้าแรกTechnologyThaiGPT กับบทบาท ผู้พัฒนา Generative AI Solution สำหรับประเทศไทย

ThaiGPT กับบทบาท ผู้พัฒนา Generative AI Solution สำหรับประเทศไทย

ทุกครั้งที่เกิดเทคโนโลยีใหม่ มักจะมีคนมองเห็นและมองไม่เห็นโอกาส มีผู้ที่ชนะและพ่ายแพ้ แน่นอนย่อมมีผู้ที่รวยขึ้นจากคลื่นเทคโนโลยีลูกใหม่ และครั้งนี้ก็เช่นกัน ปัจจุบันโลกกำลังเปลี่ยนผ่านจากคลื่นลูกที่หนึ่งยังคลื่นลูกที่สอง จาก Recommendation AI สู่ Generative AI ของยุค transformative AI ยุคที่ AI มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงทางความคิด ทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง 

นักพัฒนาซอฟต์แวร์รุ่นใหญ่อย่างนายแพทย์ภานุทัต เตชะเสน หรือ หมอจิม ในวัย 59 ปี ผู้มีความสนใจเรื่อง AI และ GPT มาโดยตลอด เป็นหนึ่งในผู้ที่มองเห็นโอกาสแห่งการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญในครั้งนี้ จึงจัดตั้งบริษัท ThaiGPT จำกัดร่วมกับนักพัฒนารุ่นใหญ่อย่าง โดม เจริญยศ นักพัฒนาบล็อกเชนผู้ก่อตั้ง Tokenine 

“ครั้งนี้ถือเป็น tech revolution อีกรอบหนึ่ง จากพีซี วินโดวส์ อินเทอร์เน็ต โมบาย โซเชียล เน็กเวิร์ค ทุกครั้งที่ผ่านมาเมื่อเกิดการปฏิวัติทางเทคโนโลยีจะเกิดเศรษฐีใหม่ แต่รอบต่อไปคือ AI ซึ่งผลกระทบรอบนี้จะสูงมาก”​ หมอจิม กล่าว

ChatGPT เพิ่งออกมาตอนพฤศจิกายน 2022 อีกหนึ่งปีจากนี้โลกจะเปลี่ยนไป ทำให้หมอจิมเกิดความสนใจอยากจะเข้าร่วมคลื่นลูกนี้ 

หมอจิม กล่าวว่า ThaiGPT วางบทบาทตัวเองเป็นผู้พัฒนา AI Solution สำหรับประเทศไทย ด้วยเพราะประเทศไทยมีอุปสรรคหลายอย่างโดยเฉพาะภาษาไทย แม้กระทั่ง GPT ข้อมูลที่ใช้เทรนดมีจำนวนมมหาศาล แต่ข้อมูลที่เป็นภาษาไทยที่ใช้เทรนอยู่ประมาณ 0.016% ซึ่งน้อยมาก 250 ล้านฉบับเป็นภาษาไทยอยู่เพียง 40,000 ฉบับ เพระาฉะนั้น ภาษาไทยยังมีปัญหา เพราะว่ามีฐานข้อมูลภาษาไทยในการเทรนด ChatGPT น้อยเกินไป วิธีการแก้คือ การสร้างเทรนรูปแบบใหม่ ๆ ขึ้นมาเพื่อให้การทำงานกับภาษาไทยดีขึ้น 

Bitkub ลงทุนใน ThaiGPT หนุนปฏิวัติรอบใหม่ Generative AI สัญชาติไทย

ดังนั้น เป้าหมายอันดับหนึ่งของ ThaiGPT คือ ทำให้ ChatGPT ใช้งานภาษาไทยได้ดีขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น จะมุ่งไปที่การแก้ปัญหาการใช้ภาษาไทย 

“ไม่ได้จำกัดอยู่เพียง ChatGPT แต่จะหมายรวมถึง generative AI ทั้งหมด เรามองว่า generative AI ทุกอย่าง ยังมีความจำกัดเรื่องภาษาไทย ไม่ว่าจะเป็น stable disfusion, mid-journey การสั่งด้วยภาษาไทยยังมีประสิทธิภาพไม่ดีเทียบเท่าการสั่งด้วยภาษาอังกฤษ ThaiGPT มีเทคโนโลยีที่จะช่วยปรับปรุงการใช้งานภาษาไทยได้”

สำหรับ ThaiGPT รูปแบบการนำ generative AI มาประยุกต์ใช้ในหลากหลายธุรกิจจะอยู่ภายใต้รูปแบบ SaaS (software as a service) โดยนำ AI เข้ามาผสมผสานทำให้ธุรกิจต่าง ๆ ง่ายขึ้น อาทิ การสืบค้นข้อกฏหมาย กำลังเทรนดเอไอให้รู้จักข้อกฏหมายไทย ซึ่งจะช่วยให้นักกฏหมายสืบค้นข้อกฏหมายได้ง่ายขึ้น ปัจจุบันการสืบค้นกฏหมายจะสืบค้นจากคำค่อนข้างยากโดยเฉพาะในกรณีที่มีกฏหมายใกล้เคียงกันหลายฉบับ

ระบบสืบค้นของเอไอจะใช้วิธี symatic search คือ ค้นหาตามความหมาย เช่น หากค้นหาด้วยคำว่า ละเมิดลิขสิทธิ์ อาจจะได้ผลลัพธ์ที่ค่อนข้างจำกัด แต่หากว่าค้นหาด้วยความหมาย เอไอจะรู้ว่าการละเมิดลิขสิทธิ์มมีความหมายใกล้เคียงกับอะไรได้บ้าง จะไปค้นหามาให้ทำให้ถูกต้องมากขึ้น 

ซึ่งอีกหนึ่งความสามารถของ generative AI คือ ความสามารถในเรื่อง NLP (natural language processing) เข้าใจเรื่องภาษาของมนุษย์เป็นอย่างดี ทำให้การค้นหาของเอไอ เป็นการค้นหาด้วยความเข้าใจภาษา และสามารถทำสรุปความได้ อาทิ รายงานการประชุม จดข่าวจากการสัมภาษณ์ หรือการแปลความเป็นภาษาต่าง ๆ

ThaiGPT ครั้งนี้ไม่เหมือนกับภาษาไทยที่เคยทำในทุกครั้งที่ผ่านมา ครั้งนี้หมอจิมทุ่มเทกับการวิจัยเพื่อนำเทคโนโลยีที่มีมาปรับปรุงการใช้ภาษาไทยให้ generative AI

หมอจิม กล่าวว่า หากประเทศไทยไม่หยิบฉวยโอกาสการมาของเทคโนโลยี generative AI จะทำให้ช่องว่างทางดิจิทัล (digital divide) แบบใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม ซึ่งรอบนี้ประเทศไทยอุปสรรคเรื่องภาษา ประเทศที่สื่อสารด้วยภาษาอังกฤษจะได้ปรียบ สามารถใช้เทคโนโลยีนี้ได้เต็มที่ แต่ประเทศไทยและประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสื่อสารหลักจะมีปัญหา เพราะว่าการทำงานของเทคโนโลยีจะไม่ราบรื่นและผลลัพธ์ที่ได้มาสู้ภาษาอังกฤษไม่ได้ 

“หากเราไม่ขยับเรื่องภาษาไทย เราจะเกิด digital divide ใหม่ที่เกิดขึ้นจากสิ่งกีดขวางทางภาษา” 

ChatGPT ปฐมบทของยุค Generative AI

หมอจิม กล่าวว่า หลังจากที่ ChatGPT ออกมา ส่งผลทำให้ AI ที่เหมือนจะนิ่ง ๆ มาหลายปี นับตั้งแต่ AI ด้าน computer vision เริ่มบูมในปี 2012 จากนั้นก็นิ่งไปและมาเริ่มบูมอีกครั้งเมื่อ 3-4 ปีก่อน เมื่อ GPT3 ออกมา หมอจิมใช้ GPT3 ในงานธุรกิจอื่นของตน ซึ่งใช้งานได้ดี แต่ยังไม่ได้มองว่าเป็นธุรกิจได้ จนกระทั่ง ChatGPT ออกมา ชัดเจนแล้วว่าโลกตอบรับ ทำให้เกิดการบูมของ AI อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งครั้งนี้น่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะว่าในโลกของ AI ในช่วงที่ผ่านมายังอยู่ในยุค transformative AI ซึ่งเป็น AI ที่สามารถเปลี่ยนโลกได้ 

Amity เชิญชวน นักศึกษา-นักพัฒนา ร่วมงาน“Amity Hackathon 2023: ChatGPT and Beyond”

ใน wave แรก ของ transformative คือ recommendation AI หรือ ranking system อาทิ recommendation ของ Facebook (Facebook Timeline), Youtube (Youtube Ranking), Tiktok (Tiktok Timeline) และ Google (Google Search) เป็นต้น เป็นการทำ recommendation ด้วย AI และมีผลต่อสังคมค่อนข้างมาก ทั้งผลต่อการเลือกตั้ง ผลต่อทัศนคติของคน ผลต่อการโปรโมตสินค้า การตลาด และทุกสิ่งทุกอย่างที่ขึ้นกับการ recommendation ของ AI เหล่านี้ จึงเรียกกลุ่ม AI กลุ่มนี้ว่า transformative AI เพราะสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของคนในสังคมได้ 

Facebook (Facebook Timeline), Youtube (Youtube Ranking), Tiktok (Tiktok Timeline) และ Google (Google Search) เป็นการคัดเลือกคอนเทนต์ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเปลี่ยนลำดับความสำคัญ (order) ของคอนเทนต์ ใครจ่ายเงินค่าโฆษณาเยอะอัลกอริธึมจะผลักให้ไปอยู่ด้านบน นักการเมืองที่มีอิทธิพลสูง ยอมจ่ายเงินให้ social media platform ก็จะสามารถทำให้คอนเทนต์ของตัวเองขึ้นไปอยู่ข้างบนได้ การที่คอนเทนต์ได้ขึ้นไปอยู่ด้านบนทำให้เกิดผลต่อเศรษฐกิจ เพราะหากจะขายของได้ดีต้องอยู่ด้านบนของ Google Search จะมีผลทางโซเชียลก็ต้องทำให้โซเชียลปล่อยโพสต์มาก ๆ 

“ส่วน AI อย่างอื่น ที่เป็นเรื่องของนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลผมไม่ได้สนใจ ผมสนใจฉพาะ AI ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนในสังคม”

ChatGPT เป็นคลื่นลูกที่สองของ transformative AI ซึ่งคลื่นลูกนี้ใหญ่กว่าคลื่นลูกแรกที่เป็น recommendation AI ChatGPT เป็น generative AI ซึ่งน่าจะเป็นคลื่นลูกที่ 2 ของ AI ที่สามารถเปลี่ยนโลกได้ (transformative AI) ซึ่งจะมีผลต่อเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง 

ChatGPT : AI เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น หรือควรระวังตัวมากขึ้น?

คลื่นลูกแรกของ transformative AI คือ การเปลี่ยนลำดับของคอนเทนต์ที่มนุษย์สร้าง แต่คลื่นลูกที่สองนี่คอนเทนต์ถูกสร้างโดย AI รอบนี้ผลกระทบน่าจะใหญ่ transformative AI รอบนี้เรียกเป็น generative AI หรือ AI ที่สร้างคอนเทนต์ รอบที่แล้ว AI แค่จัดลำดับคอนเทนต์ แต่รอบนี้ AI มาสร้างคอนเทนต์ ซึ่งจะทำให้คอนเทนต์มีความสมบูรณ์มากขึ้น

“อย่าง ChatGPT สามารถเขียนบทความให้ได้ดี เมื่อก่อนผู้เขียนต้องใช้เวลาเขียนคอนเทนต์แล้วจึงไปซื้อโฆษณาเพื่อให้ติด SEO เพื่อให้คอนเทนต์ไปปรากฏให้คนอ่าน แต่ตอนนี้สมบูรณ์แบบมาก เขียนได้ดีกว่า และทำ SEO ได้ดีกว่ามนุษย์” 

สมัยก่อนหากต้องการเขียนบทความสักชิ้น สมาร์ทโฟนช่วยหาข้อมูลมาช่วยเขียนได้ แต่ตอนนี้ ChatGPT ช่วยเขียนบทความได้เลย ทำให้อะไรก็ตามที่มนุษย์คิดขึ้นสามารถเปลี่ยนเป็นของจริงออกมาได้เร็วโดยคิดน้อยลงมาก ทำให้คอนเทนต์ (ที่เกิดจาก AI)​ จะเกิดขึ้นอย่างมหาศาล 

Generative AI สึนามิทางเทคโนโลยีลูกใหม่

Generative AI ส่งผลกระทบกับทุกอาชีพและทุกคน เรียกได้ว่าเป็นสึนามิสำหรับอาชีพที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย อาทิ แพทย์ ทนายความ นักบัญชี นักกฏหมาย เป็นต้น เนื่องจาก generative AI มีความฉลาดในการค้นหาข้อมูลมากกว่าการค้นหาแบบปกติ อาทิ เอไอมีความเข้าใจเรื่องภาษา ทำให้ช่วยค้นหาข้อมูลที่ตรงความต้องการของผู้ใช้งาน ทำให้อาชีพของผู้เชี่ยวชาญหลายอย่างถูกท้าทายแต่ตอนนี้เหมือนว่ายังไม่ชัดเจน เพราะว่า AI ความถูกต้องแม่นยำของข้อมูลที่เอไอไปค้นหามาและประมวลผลให้ยังมีความไม่สมมบูรณ์อยู่ แต่เมื่อใดที่ความถุกต้องของเอไอสมบูรณ์ เมื่อนั้น อาชีพที่มีความเชี่ยวชาญจะถูกท้าทายและสั่นสะเทือนแน่นอน

Generative AI ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการศึกษา ในอนาคตเด็กนักเรียนจะไม่ต้องทำการบ้าน เด็กนักเรียนจะสามารถใช้เทคโนโลยี generative AI ทำการบ้าน เขียนบทความออกมาได้อย่างรวดเร็ว การศึกษาจะถูกท้าทายให้เปลี่ยนกระบวนการวิธีการสอนและการวัดผล 

คอนเทนต์ทุกอย่างบนโลกนี้จะถูกผลิตอย่างรวดเร็ว อาชีพที่อาจจะมีผลกระทบ คือ สื่อ จะเห็นสื่อเกิดใหม่จำนวนมาก ทั้งนี้ความถูกต้องของข้อมูลมีมากน้อยแค่ไหนอย่างไรไม่รู้แต่มีคอนเทนต์ใหม่ทุกวัน 

หมอจิมบอกว่าคลื่นสึนามิลูกนี้จะถึงฝั่งภายในปี 2566 นี้ ซึ่งหลายคนอาจจะยังไม่ได้ตระหนักหรือไม่ได้ตระหนักไปเลย เพราะ generative AI จะเข้ามาแทรกซึมอยู่ในทุกอย่างที่ผู้คนเสพ เหมือนตอนที่ social network เข้ามา ทุกคนก็ไม่ได้คิดว่า social network จะเข้ามาแทนสื่อ generative AI จะทำให้เกิดเว็บไซต์ใหม่ ๆ ข่าวสดกว่า ใหม่กว่า รูปแบบแปลกใหม่กว่า การให้คำปรึกษาต่าง ๆ จะมาในรูปแบบของเว็บ ซึ่งคนก็ไม่ได้ตระหนักว่านี่คือเอไอ 

เหมือนกับยุคของ recommendation AI ที่ ranking system ที่เป็นคลื่นลูกแรกของ transformative AI ผู้ใช้ก็ไม่รู้ตัวว่าถูกครอบงำโดยเอไอ อาทิ สหรัฐฯ ไม่รู้ตัวเลยว่าการเลือกตั้งสองครั้งที่ผ่านมาถูกบริหารจัดการโดย social network จนเวลาผ่านไป ถึงจะมาตระหนักรู้ว่า social network มีอิทธิพลมหาศาล 

ดังนั้น หากใครมองเป็นศักยภาพของ generative AI และหยิบฉวยมาประยุกต์ใช้ จะทำให้สามารถทิ้งห่างจากคู่แข่งไปได้มาก รอบนี้เป็นผลกระทบที่รุนแรง เพราะเป็นเอไอที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ซึ่งรอบแรกของ transformative AI ประเทศไทยยังไม่รู้ตัว ทำให้ตามไม่ทัน แต่รอบนี้หากตระหนักรู้ จะรู้ว่าเอไอจะเข้ามามีบทบาทที่จะเข้ามาเปลี่ยนทุกอย่างในชีวิตของมนุษย์จากนี้ไป 

“บทบาทของ ThaiGPT มองว่าเราควรเข้าไปมีบทบาทที่ทำให้เทคโนโลยี generative AI ภาษาไทยเร็วขึ้น มีความถูกต้องมากขึ้น และเป็นประโยชน์จริง ๆ”

หมอจิม มองการให้บริการเทคโนโลยี generative AI ภาษาไทยภายใต้รูปแบบ SaaS ไว้ที่อุตสาหกรรมที่ต้องการใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านทั้งหลาย ซึ่งจะถูกทดแทนด้วยเอไออย่างแน่นอน อาทิ กฏหมาย การแพทย์ สุขภาพ บัญชี การเงิน เป็นต้น รวมถึงอุตสาหกรรมภาคการศึกษา

ซึ่ง ThaiGPT จะทำงานร่วมกับพันธมิตรในการนำโซลูชันภาษาไทยบนเทคโนโลยี GPT เป็นประโยชน์ในวงกว้างมากที่สุด โดยคาดว่าจะมีโซลูชันภาษาไทยบนเทคโนโลยี GPT ในไตรมาสแรกนี้ เพราะเป็นเทคโนโลยีที่มาเร็ว ไม่สามารถรอช้าได้ ซึ่งตัว ChatPGT เปิดตัวมาเพียง 5 วัน มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ครบ 2 เดือน มีผู้ใช้ 100 ล้านคน ซึ่งจะมีผู้ใช้จำนวนหลายพันล้านคนในอนาคตอันไกลแน่นอน 

“เราคาดว่า generative AI มาแน่นอน เพราะมีแนวโน้มมาตั้งแต่ 2 ปีก่อน แต่ไม่คิดว่าเทคโนโลยีจะมาเร็วขนาดนี้ เมื่อกลางปีที่แล้วยังนั่งคุยกันว่ามาแน่นอนแต่คาดว่าน่าจะอีก 2 ปี สิ้นปีมาทันทีเลย”

ยักษ์ใหญ่จะสู้กันรุนแรงในสนาม Generative AI 

การมาของ generative AI ท้าทายบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ GPT3 ของ OpenAI ออกมาตอนปลายปี 2019 ตัว GPT3 คือพื้นฐานของ Chat GPT สิ่งที่สำคัญคือ คนที่มีโมเดลข้อมูลใหญ่ขนาดนี้คือ OpenAI, Google และ META แต่ Google และ META ไม่เปิดให้ใช้ API แต่ Open AI เปิดให้ใช้ API ทำให้ภายใน 9 เดือน มีแอปพลิเคชันที่เกิดขึ้นจาก GPT3 มากถึง  300 ตัว ถึงตอนนี้น่าจะหลายพันตัว ทำให้เกิดแอปพลิเคชันด้านเอไอเกิดขึ้นมหาศาล การที่สามารถเข้าไปใช้เทคโนโลยีใหญ่ ๆ (GPT3) ที่ Open AI เปิดออกมา ทำให้เกิดบริษัทเทคโนโลยีขนาดเล็กจำนวนมากขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว และนี่คือสิ่งที่ท้าทายบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่

“หากเทียบกลับไปตอนปี 2009 ตอนที่ Apple เปิด App Store บริษัทเล็กบริษัทน้อยเข้าไปพัฒนาแอปพลิเคชันบนมือถือ ซึ่งไปท้าทายบริษัทซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งข้างหน้าในเวลาแค่ 10 กว่าปี Adobe จะถูกสั่นคลอนด้วยโปรแกรมเล็ก ๆ อย่าง Canva ใครจะคิดว่าเป็นอย่างนั้นได้ Microsoft Offices ก็ถูกสั่นคลอนโดยแอปพลิเคชันเล็ก ๆ จำนวนมากใน App Store” 

generative AI ก็เช่นกัน เกิดบริษัทเล็ก ๆ เกิดขึ้นมากมาย บริษัทใหญ่ออกผลิตภัณฑ์ไม่ทัน (ไม่ใช่ไม่มีเทคโนโลยี) ส่วนธุรกิจขนาดใหญ่ขึ้นกับว่าเขาจะใช้ เอไอหรือไม่และใช้เอไอเพื่อทำอะไร ซึ่ง generative AI ไม่ได้มีความสามารถสำหรับการทำคอนเทนต์อย่างเดียว แต่สามารถทำได้หลากหลาย อาทิ การหา Protein Flow คือ การหาโมเลกุลของโปรตีนที่เหมาะสม กลายเป็นการช่วยเรื่องการคิดยาใหม่ ทำให้เกิดกระบวนการคิดยาใหม่ได้แบบก้าวกระโดด ดังนั้น หากใครไม่เข้าสู่ AI ย่อมมีผลกระทบด้านลบแน่นอน อุตสาหกรรมไม่ได้ถูกดิสรัปจาก Generative AI โดยตรง แต่จะคู่แข่งที่ใช้ Generative ดิสรัป 

ตัวอย่างของวิชาประวัติศาสตร์ของโรงเรียนแห่งหนึ่งในต่างประเทศ อาจารย์เปลี่ยนจากให้การบ้านจากการให้นักเรียนเขียนเรียงความ เป็นกาารเขียนเรียงความด้วย ChatGPT และให้นักเรียนจับผิดเรียงความนั้น นี่คือตัวอย่างการนำเอา Generative AI มาใช้ในการศึกษาด้วยวิธีที่ถูก เด็ก ๆ จะเกิดความเข้าใจ Chat GPT ว่าทำอะไรได้บ้าง และมีข้อผิดพลาดอย่างไร นี่คือวิธีการสอนที่ถูกต้อง

เมื่อคอนเทนต์ถูกเขียนด้วย generative AI จะยิ่งทำให้เกิดคอนเทนต์บนโลกดิจิทัลเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล สื่อผ่านกระบวนการการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงมาหลายครั้ง ทุกครั้งก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบธุรกิจ ครั้งนี้มาเป็นการปฏิวัติครั้งใหม่ ที่คอนเทนต์จะถูกผลิตด้วย AI ซึ่งจะทำให้มีปริมาณเนื้อหามหาศาล ดังนั้น จะมีเทคโนโลยีเข้ามากรอง คัดสรร สื่อที่ผู้บริโภคจะเสพ เป็นโอกาสของการสร้างตัวกรอง อาทิ มีแอปมาตรวจว่าบทความที่เขียนด้วยเอไอหรือเขียนด้วยมนุษย์ ซึ่งผู้บริโภคไม่ได้แคร์ว่าบทความนั้นเขียนด้วยคนหรือเขียนด้วยเอไอ หากข้อเขียนนั้นมีประโยชน์และถูกต้อง ซึ่งการเลือกตั้งปีนี้ เชื่อแน่ว่าจะมีเนื้อหาที่ถูกผลิตด้วยเอไอ ซึ่งจะมีความเร็วในการเขียนคอนเทนต์มหาศาล

เปิด 4 ข้อดี ChatGPT ใช้ประโยชน์จาก Generative AI ลดเวลาทำงาน ยกศักยภาพธุรกิจ

ทุกครั้งที่มีเทคโนโลยีใหม่ มีพีซีเกิดขึ้น มีวินโดวส์เกิดขึ้น มีอินเทอร์เน็ตเกิดขึ้น มีโมบายเกิดขึ้น มีโซเชียล มีเดียเกิดขึ้น มีโอกาสทุกครั้งที่จะทำให้เกิดเศรษฐีใหม่ และรอบนี้เป็นอีกรอบของเอไอที่จะทำให้เกิด wealth ใหม่ หากเข้าได้ทัน เข้าได้ถูก ก็น่าจะได้ผลตอบแทนที่ดี แน่นอนว่าการตั้งบริษัท Thai GPT ขึ้นมาเพื่อผลตอบแทนทางธุรกิจ ที่มองว่ามีโอกาสทางธุรกิจสูง 

“เราไม่ใช้บริษัทวิจัยที่วิจัยเพื่อการวิจัย แต่เราวิจัยเพื่อทำผลตอบแทนทางธุรกิจ เหมือนกับช่วงที่อินเทอร์เน็ตเกิดขึ้น สมัยนั้นก็มีสนุกดอทคอมเกิดขึ้น พอโมบายเกิดขึ้นก็เกิดบริษัทโมบายใหญ่อย่าง MFEC พอมาบล็อกเชนก็เกิด Bitkub ตอนนี้มาถึงเอไอ เราก็อยากจะเป็นหนึ่งในนั้นที่จะเกิดขึ้น” 

ThaiGPT เพิ่งตั้งไม่ถึงเดือน มีคนอยากเข้ามาร่วมงานจำนวนมาก ซึ่งหมอจิมฝันอยากเป็นเหมือนตอนที่ Open AI เกิดขึ้น ตอนที่ Open AI เกิดขึ้น เกิดขึ้นจาก Elon Muk อยากทำบริษัทเอไอที่ทำแล้วเป็นประโยชน์กับคนในวงกว้าง จึงไปชวน Greg Brockman มาตั้งทีม AI วิธีการคือ Blockman บินไปหา 1 ใน 3 ของอาจารย์ที่เก่งเรื่อง Deep Learning ให้ลีสรายชื่อนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำด้านเอไอ 10 คน และเชิญทั้ง 10 คนมาดื่มไวน์ และให้เวลา 3 สัปดาห์เพื่อตัดสินใจว่าจะมาทำงานกับ Open AI หรือไม่ ผลคือ 9 ใน 10 คนตอบรับ 

ดังนั้น Open AI จึงเกิดขึ้นด้วยลักษณะพิเศษ คือ ประกอบด้วยคนชั้นเยี่ยม ที่ตอบรับเพราะมีคนชั้นเยี่ยมมาทำงานด้วย ไม่ได้ตอบรับเพราะว่าบริษัทนี้ใหญ่ บริษัทนี้ตั้งขึ้นด้วยพันธกิจที่ไม่หวังผลตอบแทนทางธุรกิจ นักวิจัยอยากวิจัยอะไรก็ทำ หมอจิมคาดหวังว่าจะเติบโตในแบบเดียวกันได้ 

หมอจิม บอกว่า กำลังระดมทุนในรอบ seed เพื่อออกโปรดักส์ชิ้นแรกในเดือนมีนาคมนี้ ลงทุนแล้วคือ Bitkub Group และจะมีรายอื่น ๆ ตามมาอีกในอนาคตอันใกล้นี้

“เราอยากเป็น solution provider เจ้าใหญ่ สำหรับงานด้าน AI ในประเทศไทย เมื่อเราเก่งในประเทศแล้ว เราก็น่าจะเก่งในตลาดโลกได้” หมอจิม กล่าวทิ้งท้าย

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

เปิดพันธกิจ 2 แบงก์ “ออมสิน-ซีไอเอ็มบี” นำนวัตกรรมขับเคลื่อนดิจิทัลเซอร์วิส

ศิริราช ใช้ AI วินิจฉัยภาพเอกซเรย์ทรวงอก เพื่อความถูกต้องและแม่นยำ

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ