พล.อ.ท.ดร.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ รองเลขาธิการ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เปิดเผยกับ The Story Thailand ถึงการเปลี่ยนผ่านจากระบบสัมปทานมาเป็นระบบใบอนุญาตของธุรกิจดาวเทียม เนื่องจากสัญญาสัมปทานครั้งแรก ระหว่างกระทรวงคมนาคม กับบริษัท ชินแซทเทิลไลท์ จำกัด ที่เกิดขึ้นครั้งแรก เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2534 อายุสัมปทาน 30 ปี กำลังจะสิ้นสุดลงในวันที่ 11 กันยายน 2564
- ซิสโก้ชี้ ดิจิทัลมีความจำเป็นสำหรับ SMEs ในการเพิ่มพัฒนาประสิทธิภาพและรายได้
- ออริจิ้น มั่นใจสมาร์ทคอนโดยังโตได้ เตรียมเปิดขายโครงการแบบไม่มีสำนักงานขาย
จากรัฐธรรมนูญปี พ.ศ.2560 มาตรา 60 ระบุไว้ว่า รัฐต้องรักษาไว้ซึ่งคลื่นความถี่และสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมอันเป็นสมบัติของชาติเพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน ดังนั้น กสทช. มีหน้าที่บริหารจัดสรร สิทธิวงโคจรดาวเทียม เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่าน กิจการดาวเทียมสื่อสาร จาก “สัญญาสัมปทาน” มาเป็น”ใบอนุญาต”
“เดิมที่สัมปทานทำระหว่างเอกชนและกระทรวงคมนาคม ก่อนเปลี่ยนมาเป็นกระทรวงไอซีที และกระทรวงดีอีเอสในปัจจุบัน ดังนั้น สิทธิดาวเทียมเป็นสินทรัพย์ของกระทรวงดีอีเอส ส่วนสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียม และคลื่นความถี่ กสทช. เป็นคนดูแล”
ดาวเทียมดวงแรก เกิดจากสัญญาสัมปทาน 10 กันยายน พ.ศ. 2534 ระยะเวลาสัมปทาน จำนวน 30 ปี สิ้นสุด ในวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2564 เกิดการเปลี่ยนผ่าน กสทช.เอาสิทธิวงโคจรดาวเทียมมาออกประกาศเสนอแนวทางการคัดเลือก กับผู้ที่สนใจใบอนุญาต ซึ่งกฎหมายเรื่องกิจการดาวเทียม ไม่ได้บังคับว่าจะต้องใช้การประมูล (Auction) เพียงวิธีเดียวเท่านั้น อาจจะใช้วิธีการคัดเลือก (Beauty Contest) หรือวิธีอื่นใดก็ได้
ในช่วงนี้ กสทช. ได้มีการเตียมการ ในการจัดทำแผน 3 แผน ซึ่งได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการกสทช.เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ประกอบด้วย
- แผนการบริหารสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียม
- หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมประเทศไทย
- หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้ช่องสัญญาณดาวเทียมต่างชาติในการให้บริการในประเทศ
ก่อนหน้านี้ สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียม หรือที่เรียกว่า เอกสารข่ายงานดาวเทียม (Satellite Network Filing) ของประเทศไทยทั้งหมดที่ได้รับการอนุมัติจากสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU: International Telecommunication Union) มีวงโคจร 7 Slot 14 ไฟล์ลิ่ง เอามาจัดชุดเป็น 4 ชุด เพื่อทำการประมูลหรือคัดสรร เปิดให้บริษัทที่สนใจมาประกอบกิจการดาวเทียมให้บริษัทรายเก่าและใหม่เบื้องต้นจัดแบ่งเป็น 4 ชุด (หรือ 4 Package) ดังนี้
- ชุดที่ 1 ประกอบด้วย วงโคจร 50.5E (ข่ายงาน C1 และ N1) และ วงโคจร 51E (ข่ายงาน 51)
- ชุดที่ 2 ประกอบด้วย วงโคจร 78.5E (ข่ายงาน A2B และ LSX2R)
- ชุดที่ 3 ประกอบด้วย วงโคจร 119.5E (ข่ายงาน IP1, P3 และ LSX3R) และ วงโคจร 120E (ข่ายงาน G2K และ 120E)
- ชุดที่ 4 ประกอบด้วย วงโคจร 126E (ข่ายงาน 126E) และ วงโคจร 142E (ข่ายงาน G3K และ N5)
“ดาวเทียมไทยคม 4 อายุสัมปทานจะหมดลงในปี 2564 แต่อายุดาวเทียมทางวิศวกรรมจะหมดลงในปี 2566 ดังนั้น แม้จะหมดอายุสัมปทานแล้วแต่ตัวดาวเทียมยังคงใช้ได้อีก 2 ปี ในขณะที่ดาวเทียมไทยคม 5 อายุสัมปทานจะ หมดปลายปีนี้ แต่ตัวดาวเทียมเสียก่อนหมดอายุสัมปทาน ในการประมูลครั้งนี้ เราจะประมูลดาวเทียมดวงที่อายุสัมปทานหมดลง คือ ดาวเทียมไทยคม 5 ส่วนดาวเทียมไทยคม 4 วงโคจร 119.5 องศา จะเอาออกมาประมูลล่วงหน้า เนื่องจากต้องมีการสร้างดาวเทียมซึ่งต้องใช้เวลา แต่จะใช้ใบอนุญาตได้หลังปี 2566”
นอกจากนั้น ยังมีการคุยกันในหลักการระหว่าง กสทช.และกระทรวงดีอีเอส ว่า ช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ หากกระทรวงฯ มอบสิทธิดาวเทียมให้ใครใช้งานก็ตาม กสทช.ก็จะให้สิทธิการใช้วงโคจรหน่วยงานนั้น จนสิ้นสุดอายุทางด้านวิศวกรรม
“ส่วนการประมูลดาวเทียมนั้น ถ้าเป็นไปได้จะเปิดประมูลภายในปี 2563 ซึ่งกิจการดาวเทียมถือเป็นการให้บริการสื่อสารชนิดหนึ่งเช่นกัน ดังนั้น โดยพื้นฐานต้องเป็นไปตามกฎหมายของไทย เพื่อความมั่นคง คือ บริษัทต่างชาติถือหุ้นไม่เกิน 49% บริษัทไทย 51% ต่อให้ในข้อกำหนดหลักเกณฑ์การประมูลจะระบุว่า บริษัทที่เข้าประมูลต้องมีความพร้อม ด้านเงินลงทุนและอื่น ๆ รวมทั้งต้องมีประสบการณ์ในการดำเนินงานกิจการดาวเทียมด้วย ซึ่งบริษัทคนไทยนอกเหนือจาก “ไทยคม” อาจจะไม่มีบริษัทที่มีปราบการณ์ แต่ไม่ถือเป็นการกีดกัน เนื่องจาก กสทช. จะมีการอนุญาตบริษัทในลักษณะกิจการร่วมค้า (Joint Venture) และกิจการค้าร่วม (Consortium) ได้”
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ