กลายเป็น ทอล์ค ออฟ เดอะทาวน์ เมื่อพรรคเพื่อไทยที่ประกาศนโยบายหาเสียงด้วยการแจก “เงินดิจิทัล” คนละ 10,000 บาท ต่อมาภายหลังเปลี่ยนมาเป็นคำว่าแจก “คูปอง 10,000 หมื่นบาท” แทน โดยจะให้กับทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ไม่ว่าจะยากดีมีจนมหาเศรษฐีหรือยาจก ลองคิดเล่น ๆ ว่าในบ้านหนึ่งถ้ามีลูกหลาน 4-5 คนครอบครัวนั้นรับ 40,000-50,000 บาททันที บางครอบครัวที่เป็นครอบครัวใหญ่อาจจะรับเหนาะ ๆเกือบแสนบาทเลยก็มี
แต่เงินดังกล่าวเงินถูกกำหนดให้ใช้กับสินค้าในชุมชนในรัศมี 4 กิโลเมตรเท่านั้น ผู้มีสิทธิ์ใช้เงินดิจิทัลโดยดูจากบัตรประชาชนเป็นหลัก กลุ่มนี้ประมาณ 85% ของประชากรไทยทั้งหมด หรือไม่น้อยกว่า 50 ล้านคน และคาดว่าจะใช้เงินทั้งหมด 500,000 ล้านบาท
ดร.กิตติ ลิ่มสกุล นักเศรษฐศาสตร์ระดับด็อกเตอร์ทุนรัฐบาลญี่ปุ่นและปัจจุบันเป็นรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยที่เป็นคนคิดนโยบายนี้ ได้อรรถาธิบายให้ฟังว่า อันที่จริงนโยบายแจกเงินนี้ คล้าย ๆ กับโครงการ “คนละครึ่ง” ของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาในช่วงสถานการณ์โควิดแพร่ระบาด เพียงแต่คราวนี้นำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ ส่วนโครงการคนละครึ่งผ่าน “เป๋าตัง” แต่โครงการนี้เป็นเงินดิจิทัลผ่านอีวอลเลต
โครงการคนละครึ่งใช้วิธีทยอยใส่เงินไปทีละก้อน แต่โครงการนี้แจกครั้งเดียว 10,000 บาทเป็นเวลา 6 เดือน เพื่อให้เกิดแรงกระเพื่อมเศรษฐกิจครั้งใหญ่หลังจากซบเซามานาน
สำหรับเงิน 500,000 ล้านบาทที่ใช้ในโครงการนี้ ไม่ใช่เงินสดที่ใส่ลงไป แต่เป็นเครดิต เป็นตัวเลขที่โอนกันตอนซื้อของจากร้านค้าในชุมชน เมื่อผู้ซื้อกับผู้ขายมีการทำธุรกรรมกันแล้ว ร้านค้าจึงมาขึ้นเป็นเงิน และเมื่อเกิดการซื้อขายแล้วก็ต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งเป็นรายได้เข้ารัฐ ภาษีมูลค่าเพิ่มจะเป็นรายได้ส่วนหนึ่งที่จะมาจะชดเชยเงิน 500,000 ล้านบาทที่ตั้งไว้
ดร.กิตติ บอกอีกว่า เงิน 500,000 ล้านบาทที่หมุนเข้าสู่ระบบเกิดการหมุนเวียนแบบทวีคูณ 6 รอบหรือ 6 เท่า ก็จะได้เม็ดเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจจากมาตรการนี้ 3 ล้านล้านบาท หรือราว ๆ 2.5% ของจีดีพี รวมกับของเดิมที่คาดว่าจีดีพีจะโต 2.5-3% ก็จะทำให้จีดีพีปีนี้โตขึ้นมาทันที ไม่ต่ำกว่า 5% แน่นอน
เมื่อเศรษฐกิจขยายตัว กำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมที่ปัจจุบันอยู่แค่ 60% ของกำลังการผลิตทั้งหมด ก็จะมีการผลิตเพิ่มขึ้น เมื่อธุรกิจมีรายได้มากขึ้นก็จะเสียภาษีนิติบุคคลมากขึ้น รัฐก็จะมีรายได้มากขึ้นตามมา เมื่อหักกลบลบกันก็อาจจะใกล้เคียงกับเงินที่ใช้จ่ายในโครงการนี้ ประกอบกับอาจจะไปจัดงบประมาณใหม่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ไปตัดงบไม่จำเป็นมาใส่ในโครงการนี้ รัฐอาจจะไม่ต้องใช้เงินใหม่เลยก็เป็นได้
ฟังดูแล้วกลยุทธ์พรรคเพื่อไทยเน้นหวังผลทางจิตวิทยาทำให้ประชาชนรู้สึกมี “ความหวัง” และเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น ชาวบ้านกล้าจะจับจ่ายใช้สอย อันนี้เป็นหลักการพื้นฐานในการแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ คือ ความเชื่อมั่นและความหวัง
อย่างที่เกริ่นว่ารูปแบบที่พรรคเพื่อไทยใช้นั้น ก็ไม่ต่างจาก “คนละครึ่ง” แต่วิธีการต่างกัน เพื่อไทยเล่นเกมใหญ่วัดดวงด้วยการอัดเงินก้อนใหญ่ใส่เข้าไปในระบบ เพื่อให้เกิดแรงเหวี่ยงแรง ๆ แต่โครงการคนละครึ่งค่อย ๆ ทยอยใส่ทีละนิดจึงไม่มีพลังพอที่จะไปกระตุ้นเศรษฐกิจให้โตได้ เหมือนเอาก้อนอิฐโยนลงน้ำไม่เกิดแรงกระเพื่อมต่างจากการทุ่มก้อนหินก้อนใหญ่ ๆ ลงไป
ต้องบอกว่าสไตล์พรรคเพื่อไทยนั้นชอบเล่นเกมเสี่ยงแบบวัดดวง เหมือนอย่างกรณีจำนำข้าวที ที่ไม่ใช่แทรกแซงเพื่อยกระดับราคาแบบที่เคยทำเท่านั้นแต่เป็นการตั้งราคาสูง ๆ และรับจำนวนไม่จำกัดจนกลายเป็นซื้อข้าวชาวนาทุกเม็ด ทำให้งบบานปลายหลายแสนล้าน ครั้งนี้ก็เช่นกันแทนที่จะแจกเงินเฉพาะกลุ่มที่เปราะบางกลุ่มที่จำเป็นจริง ๆ แต่กลับแจกทุกคนแบบเหวี่ยงแห
จึงไม่แปลกใจที่คนจำนวนไม่น้อยจะคัดค้าน กลัวว่าจะเป็นการตำพริกละลายแม่น้ำ หรือเป็นการใช้งบประมาณของรัฐที่มาจากภาษีประชาชนซื้อเสียงล่วงหน้า และมีคำถามตามมามากมายจากนักเศรษฐศาสตร์ทั้งรุ่นใหญ่รุ่นกลางที่เป็นห่วง
อย่างไรก็ตาม ความหวังของพรรคเพื่อไทยที่จะเห็นพลัง 500,000 ล้านบาท ทำให้วงรอบเงินที่ไปกระตุ้นสูงถึง 3 ล้านล้านบาท จะสดใสหรือจะแป้ก เพราะในจำนวน 50 ล้านคน มีคนส่วนหนึ่งต้องย้ายถิ่นฐานมาทำงานในต่างถิ่น ไม่ได้อยู่ตามที่อยู่ในบัตรประชาชน ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะถูกตัดสิทธิ์เลยหรือไม่ ถ้าไม่ถูกตัดสิทธิ์ส่วนหนึ่งก็อาจจะกลับมาใช้ แต่ที่น่าสนใจคนที่เข้าไม่ถึงเทคโนโลยีและเข้าไม่ถึงอินเทอร์เน็ตโดยเฉพาะคนสูงอายุที่มีฐานะยากจนในชนบท คนกลุ่มนี้ก็มีไม่น้อย
รวมทั้งเงินที่ได้รับบางคนอาจจะไม่ได้เอาไปซื้อของในชุมชน อาจจะเอาเงินไปใช้หนี้เงินกู้แทนเหมือนอย่างที่เป็นมา อาจจะทำให้ตัวเลขหนี้ครัวเรือนดีขึ้น แต่ก็ไม่ช่วยให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจตามที่ตั้งเป้าไว้ หรือคนรุ่นใหม่อาจจะไปซื้อของออนไลน์ ที่ไม่ได้อยู่ในชุมชนส่วนใหญ่เป็นสินค้าจีน ทำให้เม็ดเงินไม่ตกอยู่กับชุมชน ไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนตามเจตนารมณ์ ตรงนี้จะมีมาตรการป้องกันอย่างไร
ที่สำคัญความหวังที่จะให้เกิดตัวคูณ 6 เท่านั้น นั้น มีนักเศรษฐศาสตร์บางคนออกมายืนยันว่า งานวิจัยทั่วโลกระบุว่า ตัวคูณ หรือค่า multiplier อยู่ระหว่างที่ 0 ถึง 0.7 เท่านั้น ไม่ใช่เราจินตนาการเองว่าจะเกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจมหภาค 6 เท่าตามที่กล่าวอ้าง เมื่อเป็นเช่นนั้นโอกาสที่จะเห็นจีดีพีโต 5%ตามที่พรรคเพื่อไทยตั้งเป้าไว้ ก็คงเป็นไปได้ยากเช่นกัน
ดังนั้น หากภาษีที่คาดว่าจะเก็บได้จากการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้หนีไม่พ้นต้องกู้เพิ่ม จะทำให้เงินกู้ของรัฐบาลในปี 2567 เพิ่มขึ้นเป็น 1.14 ล้านล้านบาท จากเดิมงบปี 2567 ขาดดุล 593,000 ล้านบาท เป็นจำนวนพอ ๆ กับการกู้ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดที่กู้ 1.5 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว แต่เพื่อไทยมั่นใจว่าจะไม่ต้องกู้ ก็คงต้องรอดูต่อไป
แต่ถ้าต้องกู้เพิ่มนั่นเท่ากับว่าตัวเลขหนี้สาธารณะที่จากเดิมอยู่ราว ๆ 10 ล้านล้านบาท ต้องเพิ่มสูงขึ้น หรือราว 61% กว่า ๆ ต่อจีดีพี จะเพิ่มเป็น 64% กว่า ๆ ต่อจีดีพี จากเพดานที่ขยายล่าสุด 70% ต่อจีดีพี ทั้งที่เดิมมีแนวคิดจะลดสัดส่วนหนี้สาธารณะให้เพดานกลับมาอยู่ที่ 60% ต่อจีดีพี เหมือนเดิมนั้นคงเป็นไปได้ยาก
ในแง่จังหวะเวลา ประสบการณ์ที่ผ่านมาการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการใช้ “ยาแรง” จะได้ผลต่อเมื่อเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาขึ้นแล้วมีเงินอัดฉีดลงไปเหมือนพรรคไทยรักไทยทำสำเร็จในการเลือกตั้งปี 2544 แต่วันนี้สถานการณ์เศรษฐกิจไม่ใช่ช่วงขาขึ้นเงิน 500,000 ล้านบาท ที่อัดลงไปในช่วงสั้น ๆ อาจจะไม่แรงพอจะฉุดเศรษฐกิจให้โงหัวขึ้นมาได้ และอย่าลืมว่าในระบบเศรษฐกิจมีรอยรั่วมากมายที่ไม่ทำให้เป็นไปตามแผน เช่น มีการทุจริต หรืออย่างคำถามข้างต้นเรื่องอาจมีการนำเงินไปใช้หนี้หรือซื้อสินค้าออนไลน์ และยังมีช่องโหว่อื่น ๆ อีกมายมายที่ยังคาดไม่ถึง
ในสถานการณ์อย่างนี้ พรรคการเมืองต้องใช้เงินให้มีประสิทธิภาพ ควรกระตุ้นให้ตรงจุดกับกลุ่มคนที่จำเป็นจริง ๆ เช่น กลุ่มเปราะบาง กลุ่มคนด้อยโอกาส และเม็ดเงินส่วนหนึ่งมาทำให้เกิดการจ้างงาน เช่น จ้างนักศึกษาที่ยังว่างงานทำข้อมูลในระดับรากหญ้ามาเป็นคลังข้อมูลของรัฐ เพื่อใช้ในการตัดสินใจนโยบายต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำ รวมถึงสร้างทักษะที่จำเป็นหรือทักษะที่ต้องใช้ในอนาคตให้กับประชาชนเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคตน่าจะดีกว่า เหมือนหลาย ๆ ประเทศทำในช่วงโควิดระบาด
การแจกคนละหมื่นในทางเศรษฐกิจนั้นพรรคเพื่อไทยเชื่อว่าจะเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ก็คงต้องลุ้น แต่ในทางการเมืองต้องไม่ปฏิเสธว่านี่คืออาวุธลับที่จะทำให้เกิดการแลนด์สไลด์ในทางการเมืองอย่างมิอาจปฏิเสธได้